เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนตั้งเสาหลักเมือง
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนตั้งเสาหลักเมือง  (อ่าน 1457 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1887
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13886


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: ตุลาคม 13, 2011, 09:58:16 am »

Credit     http://www.navy22.com/smf/index.php?topic=16584.0;wap2


อ่านกระแสพระราชโองการตั้งพระมหานคร

ขุนโหรเริ่มประกอบพิธีกล่าวอุทิศเทพสังหรณ์

อัญเชิญก้อนดินซึ่งพลีมาแต่ทิศทั้ง 4 แห่งพระนคร

กระทำให้เป็นก้อนกลมดุจลูกนิมิต

ลงสู่ก้นหลุมเป็นลำดับกันไปเริ่มแต่

ทิศบูรพา ทักษิณ ปัจฉิมและอุดร จากนั้นนำแผ่นศิลา

เลขยันต์สำหรับรับรองหลักวางลงบนก้อนดินทั้ง 4 ก้อนนั้น

ส่วนภายในก้นหลุมนั้นเล่า

ก็ได้ตกแต่งไว้เรียบร้อย กรุด้วยผ้าขาวสะอาดบริสุทธิ์

ดาษไปด้วยใบไม้อันเป็นมงคล9 ประการ

โปรยปรายแก้วนพรัตน์ไว้เรียงราย

โดยรอบขอบปริมณฑลภายในก้นหลุมนั้น?

    ขณะที่ได้พระฤกษ์ พระโหราย่ำฆ้อง

บอกกำหนดพระฤกษ์ ชีพราหมณ์เป่ามหาสังข์

แกว่งบัณเฑาะว์ เจ้าพนักงานประโคมดุริยางค์

แตรสังข์และพิณพาทย์ เจ้าหน้าที่ประจำ

ยิงปืนใหญ่เป็นมหาพิชัยฤกษ์

เริ่มพระราชพิธีอัญเชิญเสาหลักเมืองลงสู่หลุม

โดยวางไว้บนแผ่นศิลายันต์

    ทันทีนั่นเอง ก็เกิดปรากฏการณ์เป็นมหัศจรรย์ขึ้น

โดยปรากฏว่ามีงูตัวเล็กๆ 4 ตัว

 ปาฏิหาริย์ลงไปอยู่ในหลุมนั้น

และก็บังเอิญบันดาลให้ทุกคนที่ไปร่วมชุมนุมประกอบพิธี

อยู่ ณ ที่นั่น ได้เห็นงูในขณะที่เคลื่อนเสาหลักเมือง

นั้นลงไปในหลุมเสียแล้ว

ซึ่งเมื่อก่อนที่จะยกเสาลงสู่หลุมนั้น

หาปรากฏว่ามีงู 4 ตัวดังกล่าวนั้นไม่

และก็หมดโอกาสที่จะแก้ไขประการใดๆ ได้ทั้งสิ้น

เพราะเมื่อตอนที่เห็นงูนั้น เป็นขณะที่เสาได้เคลื่อนลงหลุมแล้ว

จึงจำเป็นจะต้องปล่อยให้เลยตามเลยไป

โดยปล่อยให้เสาลงไปในหลุมและกลบดินให้แน่น

ทำให้งูทั้ 4 ตัวนั้น ต้องตายอยู่ภายในก้มหลุมนั่นเอง

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่ฝังเสาหลักเมืองนี้ ได้ยังพระวิตกให้แก่

สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นอันมาก

ทรงเรียกประชุมเหล่าเสวกามาตย์ราชบัณฑิตปุโรหิตาจารย์

พระราชาคณะและบรรดาผู้รู้ทั้งปวงมาร่วมประชุมวิจารณ์

ถึงเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นครั้งนี้ว่า จะเป็นมงคลนิมิตหรืออวมงคลนิมิต

บรรดาผู้รู้ทั้งปวงต่างก็ให้ความเห็นสอดคล้องต้องกันว่า

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จัดว่าอยู่ในจำพวกอวมงคลนิมิต

แต่ก็ไม่สามารถจะชี้ลงไปได้ว่า

ผลจะปรากฏออกมาในทำนองใด นอกจาก

จะลงความเห็นว่างูเล็กทั้ง 4 นั่นแหละ

จะเป็นมูลเหตุนำความอวมงคลให้แก่บ้านเมือง

    แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นการบอกกล่าว

ของเทพยดาฟ้าดินขึ้นมาในระยะนั้น

โดยเกิดฟ้าผ่าไฟไหม้พระที่นั่งอมรินทร์มหาปราสาท

ทำให้ทรงพระราชวินิจฉัยออกมาว่า

เป็นการสะเดาะเคราะห์เมือง

โดยที่เทพยดาบันดาลให้เกิดฟ้าผ่าจนไฟไหม้พระมหาปราสาท

 ตามธรรมดาต้องเสียเมืองก่อนจึงจะเสียพระมหาปราสาท

คราวนี้ได้เสียพระมหาประสาทไปแล้วเท่ากับเสียเมืองไป

เพราะเหตุที่ชะตากรุงเทพมหานครในระยะเริ่ม

ตั้งแต่ฝังเสาหลักเมืองมานั้น ชะตาเมืองอยู่ในเกณฑ์ร้ายถึง 7 ปี 7 เดือน

เป็นอันเสร็จสิ้นพระเคราะห์เมืองไป

และจะถาวรลำดับกษัตริย์ไป 150 ปี

(เทพย์ สาริกบุตร ?โหราศาสตร์ในวรรณคดี?)

    คนไทยทุกคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ หรือเคยเดินทางมากรุงเทพฯ

ก็คงจะได้พบได้เห็นศาลเจ้าพ่อหลักเมือง

ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

เป็นประธานในการทำพิธีฝังตามคัมภีร์ของคนไทยที่ชื่อว่า

คัมภีร์พระนครฐาน แต่สำหรับคนธรรมดาสามัญทั่วไป

 หรือเฉพาะคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ นับจำนวนล้านๆ คน

อาจจะไม่เคยทราบว่าการทำพิธี

ฝังเสาหลักเมืองในวันนั้น เป็นเรื่องไม่ธรรมดา

    พิลึกพิลั่นและมีเหตุการณ์อันประหลาดมหัศจรรย์มากมายเพียงใด

หรือคนโบราณเขาได้ทำกันอย่างไร

และมีอะไรประกอบขึ้นมาบ้างก่อนที่จะมาเป็นศาลเจ้าพ่อหลักเมือง

ที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์

จึงสามารถทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ

 ทรงทำนายทายทักออกมาได้ว่า

นับตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2325 เป็นต้นไป ระบอบการปกครอง

ของไทยจะต้องเปลี่ยนจากระบอบราชาธิปไตย

ไปเป็นประชาธิปไตยอย่างที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้

    และยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงในวันทำเสาหลักเมืองนั้น

ทุกคนที่ร่วมชุมนุมทำพิธีเหล่านั้น ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ

และบรรดาชีบานาสงฆ์ฐานันดรสูงสุดของประเทศ

ได้เห็นเป็นประจักษ์พยานว่า มันมีสิ่งบอกเหตุว่าจะต้องเกิดขึ้น

เพราะในหลุมลึกที่ฝังเสาหลักเมืองที่กรองก้นหลุมไว้ด้วยผ้าขาว

และสรรพคาถาอาคมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายนั้น

เมื่อเวลานำเสาลงหลุมเสร็จและกำลังจะกลบด้วยดินตามปกตินั้น

ทุกคนก็ได้เห็นว่ามีงูเล็ก 4 ตัวลงไปนอนเล่นอยู่ในหลุม

โดยที่ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้ นอกจากถมให้ตายลงไป

และงูตัวนั้น โบราณหรือกษัตริย์ของกรุงรัตนโกสินทร์ทรงทราบว่า

มันบอกถึงการสิ้นสุดของระบอบราชาธิปไตยของคนไทย

ว่าการสิ้นสุดของระบอบนั้นจะเกิดจากการถือกำเนิดของเชื้อพระวงศ์ 4 พระองค์

ของกรุงรัตนโกสินทร์ และเหตุการณ์ก็เป็นจริง

เพราะว่าจากวันนั้นมาถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475

เป็นวันที่ครบ 150 ปี จากวันที่ฝังเสาหลักเมือง

และการตายของงูทั้ง 4 ตัวนั้นเหมือนกับนัด

    ในระยะนั้น เจ้านาย 4 พระองค์เป็นผู้รับผิดชอบกิจการของบ้านเมือง

ทั้งฝ่ายนอกฝ่ายในคือ

(1) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

(2) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิจ

(3) กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน

(4) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินทร


ซึ่งทุกพระองค์ทรงมีพระราชสมภพในปีเดียวกันทั้ง 4 พระองค์คือ

ปีมะเส็งซึ่งหมายถึง งูเล็กหรืองูทั้ง 4 ตัวที่ตายอยู่ในหลุมฝังเสาหลักเมืองวันนั้น

    ดวงชะตาเมืองที่จัดทำขึ้นวันนั้น

มันมีอาถรรพ์และมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของ

คนไทยโบราณ และมันแสดงให้เห็นเป็นประการแรกที่พิสูจน์ได้

    สมัยเจ้าฟ้าทั้ง 4 พระองค์ หรือคนโบราณรู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น

หรือไม่เกิดหรือจะสิ้นอายุ 150 อายุพระนคร

ตามที่พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงให้คำทำนายไว้นั้น

ตามประเพณีไทยก็ต้องไปทำบุญแก้เคล็ดหรือสะเดาะเคราะห์ไว้ก่อน

เพราะฉะนั้นเจ้าฟ้าทั้ง 4 พระองค์นี้

ก็ได้ร่วมกันสร้างตึกขึ้นหลังหนึ่งที่เรียกว่า

ตึกสี่มะเส็ง ที่บริเวณโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

หรือที่สถานเสาวภาทุกวันนี้

    การที่จะคาดหมายว่าอะไรจะเกิดขึ้นอย่างไร

ของคนโบราณอย่างที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ

ทรงทำนายไว้นั้น ความจริงไม่เพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเท่านั้น

แต่ตามประเพณีก็จะดูกันจากดวงชะตาเมือง

ซึ่งโหรไทยหรือนักศึกษาโหราศาสตร์ไทย

ทุกคนก็จะรู้กันดีว่าเอาอะไรมาทำนายทายทักกันอย่างไร

    อย่างไรก็ตาม เรื่องของขนบประเพณีในการสร้างบ้านสร้างเมือง

หรือหลักการสร้างบ้านสร้างเมืองตามพิธีนครฐานนั้น

เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ร้อยแปดที่จะต้องการสองประการคือ

 (1) จะต้องมีอาถรรพ์หรือคำสาปแช่งนานาประการ

ที่จะป้องกันเสนียดจัญไรหรืออันตรายทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นแก่บ้านเมือง

ผู้ใดที่ไม่หวังดีหรือได้กระทำความชั่วให้เกิดเหตุร้ายแก่

บ้านเมืองจะต้องวินาศฉิบหายไป

อริราชศัตรูหรือผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมืองที่กระทำการอัน

เป็นโทษต่อบ้านเมืองนั้น

จงแพ้ภัยแก่ตัวเองและจะประสบความวินาศฉิบหายไป

(2) ให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ไม่ให้ผู้คนอดอยาก

และได้รับเวรภัยใดๆ ให้ประสบแต่ความสมบูรณ์พูนสุขทั้งบ้านเมือง

ทั้ง 4 มุมเมืองของกรุงเทพมหานครนั้น คนโบราณเล่ากันต่อไป

ว่าได้มีการฝังอาถรรพ์ไว้ทั้งทิศเหนือ ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตก

เพื่อป้องกันคนชั่วและคนที่มีความประสงค์ร้ายต่อบ้านเมือง

อย่าได้มีโอกาสเข้ามาพ้นจากมุมที่ท่านฝังอาถรรพ์

เหล่านั้นไว้เป็นอันขาด

    ว่ากันว่าคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางคาถาอาคม

หรือเครื่องรางของขลังแน่นขนาดไหนก็ตาม

 เพียงแต่เดินผ่านมุมเมืองทั้งสี่มุมใดมุมหนึ่งเข้ามา

ท่านก็ว่าวิชาอาคมทั้งปวงก็จะเสื่อมหมด

ไม่ว่าจะชื่อเณรแอหรืออาจารย์กู้และหลวงตาจันทร์ก็เถอะ

ดีไม่ดีติดคุกเอาง่ายๆ ในชีวิตจะ

หมดสิริมงคลทำมาหากินไม่ขึ้นเอาทีเดียว

    ที่มีการบอกกล่าวกันว่า ได้มีการฝังอาถรรพ์ไว้ทั้ง 4 มุมเมืองในวันนั้น

ก็เป็นเพียงรับรู้และบอกเล่ากันมา

แต่ความจริงที่ทำอย่างแน่นอนก็คือ การอัญเชิญท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4

เข้ามาประกอบพิธีด้วย

ท่านว่าและให้ปลูกโรงศาลโรงพิธีขึ้นใกล้ๆ กับหลุมที่จะขุด

เพื่อจะปักเสาหลักเมืองนั้น ตั้งศาลจตุโลกบาลทั้ง 4 ทิศขึ้น 4 ศาล?

ซึ่งอาจจะเป็นการฝังอาถรรพ์ทั้ง 4 มุมเมืองที่บอกกล่าวกันมาก็ได้

    เช่นเดียวกับเจ้าขุนมูลนายหรือผู้ปกครองบ้านเมือง

ที่คิดว่าตัวเองคือพระเจ้าที่อยากจะทำอะไรตามใจตัวเองก็ทำได้นั้น

ก็ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ นอกจากความวิบัติฉิบหาย

น้อยมากตามกรรมตามเวรของแต่ละคน

ก็ได้พิสูจน์กันมาแล้วเป็นลำดับ เฉพาะอย่างยิ่ง

ตั้งแต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา

ดูเหมือนจะอยู่จะตายพร้อมกับเสียง

สาปแช่งของผู้คนไม่มากก็น้อยหรือเอากันว่า

โอกาสที่จะตายดีกันอย่างสามัญชนกันนั้น

มีน้อยคนทีเดียว!

    ตัวอย่างคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง

ซึ่งคนสำคัญๆ ล้วนแต่ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา

กันมาแล้วทั้งนั้น และเมื่อปฏิวัติแล้วก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ

แล้วทุกคนก็แตกกระสานซ่านเซ็นกันไปเกือบทุกคน

เท่านั้นยังไม่พอ ยังพยายามติดตามจองล้างจองผลาญกัน

อย่างไม่ลืมหูลืมตาเอาด้วย ไม่ว่าเป็นพระยาทรงสุรเดช

พระยาศรสิทธิสงครามและคนอื่นๆ

แม้แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามเอง

ทุกคนใช้ชีวิตสุดท้ายด้วยความทุกข์ยากและตายไม่ดี

กันทั้งนั้น

แม้แต่หลวงประดิษฐ์มนูธรรม แม้ว่าจะทำบุญกุศล

และสร้างเกียรติยศให้แก่บ้านเมืองเพียงไร

ก็ไม่มีโอกาสได้ตายอย่างรัฐบุรุษของชาติ

แต่ตายนอกประเทศที่ตนเองกอบกู้มันเอาไว้

และที่ร้ายที่สุดก็คือ

ความแตกแยกชนิดเอากาวอะไรทาก็ไม่ยอมติด

นั่นคือความอาถรรพ์ของดวงชะตาเมือง

และรัฐบาลชุดนี้ที่ถือเอาฤกษ์วันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมานั้นเป็นหลัก

สิ่งที่จะเกิดก่อนอื่นที่ไม่สามารถจะแก้ไขก็คือ

ความแตกแยกที่จะต้องแตกกันขนาดต้องพังไปข้างหนึ่ง

อย่างไม่ต้องสงสัยอะไร


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: