http://www.naewna.com/news.asp?ID=236149 ภาคเดิมแผ่นดินจีนยุคสามก๊ก เป็นแผ่นดินที่เต็มไปด้วยการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของนักการเมืองกลุ่มต่างๆ
แผ่นดินแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย
ฮ่องเต้ตกอยู่ในภยันตรายและถูกละเมิดพระราชอำนาจอย่างหนักจากนักการเมืองบางพวก
"ตั๋งโต๊ะ" เป็นนักการเมืองรุ่นใหญ่คนหนึ่งที่มาจากหัวเมือง
เข้ามามีอำนาจในเมืองหลวงภายใต้การสนับสนุนของเหล่าขุนศึกบางคน
ทำตัวเป็นศูนย์กลางของอำนาจ ไปไหนมาไหนมี "ลิโป้" ขนาบข้าง
สร้างความครั่นคร้ามแก่ผู้พบเห็น
"ลิโป้" เป็นหนุ่มใหญ่จากเมืองฉุยฝู่ที่อยู่ในมณฑลชานตงทางภาคคะวันออกเฉียงเหนือของจีน
หนุ่มใหญ่คนนี้เยี่ยมยุทธ์ในการต่อสู้เป็นอย่างมาก
แต่เป็นคนเห็นแก่ได้เป็นที่สุด สามารถทรยศถึงขั้นฆ่าฟันผู้มีบุญคุณให้ความอุปการะดูแลให้ล้มตายลงไปอย่างเลือดเย็น
เพียงแค่ได้รับสิ่งที่ต้องการตามที่มีผู้นำมามอบให้
ภาคพิสดารแผ่นดินเสียมก๊ก แม้จะเคยเป็นแผ่นดินที่ร่มเย็นสงบสุข
น้ำท่าบริบูรณ์ฝนตกต้องตามฤดูกาลนำมาซึ่งความสะดวกสบายในการเพราะปลูก
ผู้คนในแผ่นดินนี้ไปไหนมาไหนใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสจนได้ชื่อเรียกขานกันไปทั่วว่า "ยิ้มเสียมก๊ก"
แต่ในขณะนี้ไม่เป็นเช่นนั้น
ทั่วทั้งแผ่นดินเกิดความแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายระหว่างกันไม่เหมือนก่อน
เหตุเป็นเพราะนักการเมืองเสียมก๊กกำเริบเสิบสานลำพองในอำนาจยิ่งกว่าครั้งใดๆที่ผ่านมา
นอกจากกำเริบเสิบสานลำพองในอำนาจแล้ว
นักการเมืองเสียมก๊กยุคนี้ยังอุกอาจกระทำการฉ้อราษฎร์บังหลวงแบบเย้ยฟ้าท้าดิน
ไม่เกรงกลัวผู้ใดทั้งสิ้นแม้กระทั่งฮ่องเต้
โกงกินกันอย่างตระกละตระกลามจนแผ่นดินเสียมก๊กในขณะนี้เหลือแต่หนังกับกระดูก
มีหนี้สินพะรุงพะรังทั้งประชาชนและบ้านเมือง
หยาบช้าสามานย์ด้วยคำโกหกหลอกลวงผู้คนในแผ่นดินเสียมก๊กให้หลงเชื่อเพื่อประโยชน์ตน
ยุให้แยกแตกสลายไปทั่วทุกหัวระแหง
ไม่เว้นกลไกรัฐที่ใช้อำนาจเข้าไปแทรกแซงแต่งตั้ง
โยกย้ายและควานหาประโยชน์
ทุกตำแหน่งแหล่งที่คนดีไม่มีโอกาส
เพราะทุกตำแหน่งสำคัญๆ เหล่านั้นถูกนำออกประมูลขายกันอย่างโจ่งแจ้ง
คนดีถูกเก็บถูกดอง
มีแต่พวกโกงชาติยินดีเป็นม้ารับใช้เท่านั้นจึงจะได้เข้าไปอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆเหล่านั้น
เป็นชะตากรรมของชาวเสียมก๊กตั้งแต่ "โจสิน" เข้ามามีอำนาจ
แม้ในขณะนี้ "โจสิน" จะหมดอำนาจไปแล้ว
เพราะถูกขุนศึกคณะหนึ่งไล่เตะออกไปก็ตาม
แผ่นดินเสียมก๊กก็ยังไม่สงบสุขและเป็นปัญหาสืบเนื่องกันมาไม่สิ้นสุดจนทุกวันนี้
ชาวเสียมก๊กยังคงต้องผจญกับนักการเมืองเลวๆทั้งหลาย
อยู่ต่อไปด้วยความระทมขมขื่น
แม้กระทั่งฟ้าก็ยังต้องร้องไห้
หลั่งน้ำตารินไหลท่วมแผ่นดินเสียมก๊กไปแทบทั่วในขณะนี้
ค่ำวันนั้นเสียงฟ้าร้องฟ้าลั่นสนั่นกึกก้อง
ท่ามกลางความมืดจากเมฆนาบท้องฟ้า "ตั๋งเทือก" กับ "ลิห้อย"
กำลังนั่งเสพสุรากันอยู่ ระหว่างนั้นเองมีลมแรงพัดกระหน่ำ
เมฆดำเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว
กลายเป็นรูปคล้ายมังกรผยองท่องอยู่ในอากาศ "ตั๋งเทือก" ชี้ให้ "ลิห้อย" ดู
แล้วถามว่า "ท่านแจ้งหรือไม่คือมังกรสำแดงฤทธิ์
จึงเกิดลมและเมฆมืดมิดอย่างนี้ แลมังกรนั้นมีฤทธิ์ประการใด"
"ลิห้อย" รู้ทันว่าเป็นการถามเพื่อหยั่งความคิดว่าใครจะเป็นมังกรผู้มีฤทธิ์อย่างที่เห็น
จึงแสร้งตอบว่าตนมีปัญญาน้อย ไม่ทราบเรื่องอย่างนี้
"ตั๋งเทือก" จึงว่า "อันมังกรนั้นมีฤทธิ์เดชมาก
สามารถแปลงร่างให้ใหญ่ก็ได้ ให้เล็กก็ได้ เหาะเหินซ่อนเร้นได้
เวลาแปลงร่างใหญ่ก็จะกระจายเมฆพ่นหมอก
แม้แปลงร่างเล็กก็จะดั่งพญางูที่ซ่อนร่าง
แม้ลอยขึ้นไปก็จะบินผงาดเผ่นโผนโจนทะยานเหนือเมฆแห่งจักรวาล
แม้ซ่อนร่างก็จะแอบแฝงอยู่ในคลื่นทะเล
ปัจจุบันนี้เป็นฤดูฝน
มังกรจะฉวยโอกาสเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงประดุจบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
แล้วออกมาฝาดโผนในทุกทิศทุกทาง
ดังนั้นการปรากฎกายของพญามังกรจึงอุปมาดังได้พบยอดบุรุษในแผ่นดินเสียมก๊ก
ที่จะก้าวเข้ามาครองอำนาจต่อไปนั่นเอง"
แล้ว "ตั๋งเทือก" ก็ถาม "ลิห้อย" ว่าทุกวันนี้ท่านเห็นผู้ใดมีสติปัญญา
มีฤทธิ์เดชมากเหมือนพญามังกรสำแดงฤทธิ์อย่างนี้บ้าง
"ลิห้อย" ได้ฟังดังนั้นก็บอกว่าตนมีความรู้และสติปัญญาน้อย
ทุกวันนี้อยู่ได้ก็เพราะบารมีท่านเท่านั้น
"ตั๋งเทือก" ยกจอกสุราขึ้นจิบพร้อมกล่าวว่า
ขอท่านอย่าได้กล่าวเลยว่าเป็นเพราะบารมีเรา
ถ้าไม่มีท่าน ก็ไม่มีเราในวันนี้
"ลิห้อย" ยกจอกสุราขึ้นทำทีเป็นคารวะในคำพูดของ "ตั๋งเทือก"
พร้อมกับกล่าวขอบคุณ แต่ในใจของ "ลิห้อย"
นั้นอยากจะบอก "ตั๋งเทือก" ว่า "ไม่มีมึง กูก็เป็นใหญ่ได้"