ช่วงที่1
http://www.manager.co.th/vdo/defaultrun.aspx?NewsID=5530000132629ช่วงที่2
http://www.manager.co.th/vdo/defaultrun.aspx?NewsID=5530000132630ช่วงที่3
http://www.manager.co.th/vdo/defaultrun.aspx?NewsID=5530000132631ช่วงที่4
http://www.manager.co.th/vdo/defaultrun.aspx?NewsID=5530000132632ในเครื่อง Computer ของท่านต้องมี Program macromedia flash ถึงจะดูได้
โรงเรียน อมาตยกุล
โรงเรียนเอกชน นครหลวง เปิดสอนระดับอนุบาล1 - ม.6
โรงเรียนทางเลือก โดยมีวัตถุประสงค์
ใช้แนวนีโอฮิวแมนิสม์ ที่เชื่อว่า ความเก่ง ความฉลาดซึ่งเป็นศักยภาพที่มีอยู่ในตัวมนุษย์
ถูกถึงออกมาใช้เพียง5-10% เท่านั้น
ทั้งๆที่มนุษย์สามารถจะพัฒนาศักยภาพได้สูงมากกว่านี้
และเชื่อว่าความเป็นคนที่สมบูรณ์เกิดจากศักยภาพที่สำคัญทั้ง 4 คือ
ร่างกาย จิตใจ ความมีน้ำใจ และวิชาการ
ที่อยู่ : 100/20 หมู่ 6 ซอย 51 พหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม 10220
โทรศัพท์ :02974-5, 029863-4, 0255
เวลาทำการ : จันทร์-ศุกร์ 08:00-16:30
หลายๆ ท่าน คงพอจะรู้จัก และคุ้นเคยกับคำว่าโรงเรียนเตรียมความพร้อมกันมาบ้างแล้ว และโรงเรียนอมาตยกุลก็เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงทางด้านนี้ค่ะ เพราะโรงเรียนอมายตกุล เป็นโรงเรียนที่มีปณิธาณในการสร้างเด็กให้เป็นเด็กที่ ฉลาด เก่ง ดี และมีความสุข
ทางโรงเรียนอมายตกุลเน้นไปในการปลูกฝังให้เด็กๆ เห็นภาพพจน์ที่ดีของตนเอง เสริมสร้างความมั่นใจให้กับเด็กผ่านกิจกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดนีโอฮีวแมนนิสต์ เป็นการเรียนการสอนที่เน้นให้เด็กๆ เป็นศูนย์กลาง โดยมุ่งเน้นวิธีทางบวกต่างๆ ในการเรียนการสอนในโรงเรียนค่ะ
โรงเรียนอมายตกุลเชื่อว่า การชื่มชมเด็กเวลาเด็กทำในสิ่งที่ดีเป็นสิ่งที่สมควร และหากเด็กทำไม่ดี จะไม่มีการลงโทษรุนแรง แต่ตะช่วยปรับพฤติกรรมของเด็กไปอย่างนุ่มนวล ทำให้เด็กๆ กล้าพูด กล้าคิด กล้าแสดงออก
บรรยากาศภายในโรงเรียนอมายตกุลจึงแตกต่างจากโรงเรียนทั่วไป
ดังนั้นในระดับเด็กเล็กอย่างระดับอนุบาลจะเน้นไปที่การพัฒนาร่างกายและจิตใจ เพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็กมากกว่าเร่งรัดการอ่านเขียน ทางโรงเรียนอมายตกุล ยังปลูกฝังให้เด็กรู้จักรักและเข้าใจผู้อื่น รวมถึงรักธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย
จากแนวคิดของนีโอฮิวแทนนนิสต์ ซึ่งมีผลการวิจัยรองรับ ทางโรงเรียนอมายตกุลบอกไว้ว่า ถ้าเด็กได้ขยับมือและเท้ามากเท่าไหร่ ยิ่งช่วยให้เซลล์สมองแตกแขนงได้ดี ซึ่งทั้งหมดทางโรงเรียนอมายตกุล ๆด้ผ่านการทดลองมาแล้วเป็นเวลานาน ทำให้สามารถปรับปรุงแนวทางของโรงเรียนอมายตกุล ให้เป็นอย่างทุกวันนี้ คือเด็กๆ มีความสุข กระตือรือร้นกับการเรียนรู้
หลักสูตร
เป็นการจัการศึกษาในแบบ ของนีโอฮิวแทนนนิสต์ คือใช้วิธีคิดบวก เพื่อสร้างให้เด็กเก่ง ฉลาด แข็งแรง และมีจิตใจดี
วิธีการต่างๆ ได้แก่ การสร้างบรรยากาศให้มีคลื่นสมองต่ำ การพัฒนาเซลล์สมองเด็ก การสร้างภาพพจน์ด้านบวกตต่อตนเองให้แก่เด็ก ให้ความรัก และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ
ชั้นเรียน
อนุบาล 1-มัธยมศึกษาปีที่ 6
ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
ค่าแรกเข้า 3000 บาท(สำหรับอนุบาล)
ค่าเทอมรวมค่าอาหาร 14,000-17,800 ต่อปี
(33):
การศึกษาแบบนีโอฮิวแมนนิส
Neo-Humanist Education
ความ เป็นมา
จุดเริ่มของแนวคิดนี้มาจากโยคีชาวอินเดียผู้ยิ่งใหญ่ พี.อาร์.ซาร์การ์ (P.R.Sarkar)
ที่นำศาสตร์ทางตะวันออกกับความทันสมัยแบบตะวันตกมาผสมผสานเข้าด้วยกัน
เช่น มีการให้เด็กๆฝึกสมาธิ ทำโยคะ ขณะเดียวกันก็ใช้เสียงเพลงและวิธีการสอนใหม่ๆรวมเข้าไปด้วย โดยให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนในเด็กเล็กว่า
“กิ่งไผ่อ่อนสามารถจะถูกดัดหรือปรับให้อยู่ในรูปแบบใดก็ได้ ส่วนกิ่งไผ่แก่จะต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด ในการดัดหรือปรับให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม ซึ่งก็อาจหักหรือเสียหายโดยง่าย นี่คือเหตุผลสำคัญที่เราควรให้ความสนใจการศึกษาระดับอนุบาลยิ่งกว่าการศึกษา ระดับใดๆทั้งสิ้น”
หลักการ
สิ่งแวดล้อมและการศึกษาในวัยต้นๆของ ชีวิต มีอิทธิพลเป็นอย่างยิ่งต่อความเฉลียวฉลาด คุณธรรมและความสุขของคนเรา
โดย เชื่อว่าความเก่ง ความฉลาด ซึ่งเป็นศักยภาพที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ แต่มนุษย์ดีงศักยภาพดังกล่าวออกมาใช้แค่ 5-10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และเชื่อว่าความเป็นคนที่สมบูรณ์นั้นเกิดจากศักยภาพที่สำคัญ 4 ด้านคือ
1. ร่างกาย (PHYSICAL) จะต้องแข็งแรง
2. จิตใจ (MENTAL) ถ้ารูปร่างดีแข็งแรง แต่จิตใจไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได้ ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ก็ไม่มีประโยชน์
3. ความมีน้ำใจ (SPIRITUAL) มีความรักให้กับคนอื่นในวงกว้าง ช่วยเหลือคนอื่นโดยที่ไม่หวังผลตอบแทน มีความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ มีใจที่เปิดกว้าง
4. วิชาการ (ACADEMIC) ถ้าเราไม่มีวิชาการ ไม่มีความรู้ก็ไม่มีทางที่เราจะมีอะไรมาบำรุงตัวเอง
ทั้ง 4 ด้านคือหลักการสู่ความเป็นคนที่สมบูรณ์ การศึกษาที่ดีจะต้องจัดให้ครบทั้งหมดนี้
กระบวนการ
เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายความเป็นคนที่สมบูรณ์ กิจกรรมที่ทำในโรงเรียนนีโอฮิวแมนนิสจะต้องสอดคล้องกับหลัก 4 ข้อ คือ คลื่นสมองต่ำ การประสานของเซลล์สมอง ภาพพจน์ต่อตัวเอง และการให้ความรัก ซึ่งต้องไปด้วยกัน เด็กจึงจะไปในทิศทางที่ดี
1. คลื่นสมองต่ำ
นักวิทยาศาสตร์ได้ประดิษฐ์เครื่องมือวัดคลื่นสมอง ซึ่งสามารถตรวจพบว่าประสิทธิภาพการทำงานของคนเราจะแปรเปลี่ยนไปตามคลื่นสมอง ที่เราส่ง ยิ่งต่ำลงมากเท่าไรจะยิ่งมีประสิทธิภาพดีมากขึ้นเท่านั้น เพราะเราจะมีความสงบทางจิตใจ อารมณ์ดี ใจเย็น มีความคิดสร้างสรรค์สูง เกิดสมาธิ จิตใจเป็นหนึ่งเดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวก
กิจกรรมจึงต้องสร้างให้เด็กเกิดภาวะคลื่นสมองต่ำมากที่สุด เช่น ก่อนเข้าห้องเรียน เด็กๆได้ฝึกทำโยคะ นั่งสมาธิ อันถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้เขาเรียนหนังสือได้อย่างสบายใจ และมีความสุขในการรับรู้
โยคะและสมาธิ จะช่วยให้กล้ามเนื้อและประสาทผ่อนคลาย
ขณะเด็กทำโยคะ จิตใจเขาจะเป็นหนึ่งเดียว เรื่องอะไรที่วุ่นวายจะค่อยสงบลงๆ การเล่านิทาน การกอด เสียงเพลง และท่าที คำพูดจากคนรอบข้าง ก็มีส่วนทำให้คลื่นสมองต่ำได้เช่นเดียวกัน ถ้าเด็กอยู่ใกล้คนคลื่นสมองต่ำ เขาก็จะต่ำด้วย แต่ถ้าใกล้คนที่คลื่นสมองสูง อารมณ์เขาก็พลอยรุนแรงสูงตามไปด้วย ดังนั้น บทบาทของครูจึงเป็นเรื่องสำคัญ ครูต้องอารมณ์เย็น ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาไพเราะ พูดให้กำลังใจ และไม่พูดในแง่ลบ
อาหารการกินก็มีส่วนต่อคลื่นสมองของคนเราด้วยเช่นกัน ยิ่งถ้าเป็นอาหารธรรมชาติมากเท่าไหร่ จะยิ่งส่งผลดีมากเท่านั้น อาหารที่โรงเรียนจึงเป็นแบบกึ่งมังสวิรัติ ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น หมู เนื้อ แต่กินเนื้อสัตว์เล็กตั้งแต่ไก่ลงมา เน้นผ้ก ผลไม้ นม และดื่มน้ำมากๆ
2.การประสานของเซลล์สมอง
เราเคยเชื่อว่าความฉลาดมาจากพันธุกรรม พ่อเก่ง แม่เก่ง ลูกจะออกมาเก่ง
แต่นีโอฮิวแมนนิสมีความเห็นต่างออกไปจากนั้น โดยเชื่อว่าความฉลาดสามารถฝึกฝนกันได้ ไม่ขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ แต่ขึ้นกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า ว่าได้มีส่วนช่วยทำให้เซลล์สมองประสานกันมากน้อยแค่ไหน
การที่คนไหนจะฉลาดหรือไม่ฉลาด เกิดจากเซลล์สมองประสานเข้าด้วยกันหรือที่เรียกว่าเซลล์ประสานประสาท ถ้าใครมีมากๆคนนั้นจะฉลาด เรียนรู้เรื่องต่างๆได้เร็ว อย่างเรามีเพื่อน ทำไมบางคนอ่านหนังสือสิบนาที จำได้หมด แล้วเรากลับจำไม่ได้
มีการค้นพบว่าเซลล์ประสานประสาทจะขยายตัวได้ดี เมื่อมือกับเท้าของเราทำงานมาก เพราะปลายประสาทจะอยู่ตรงส่วนนี้มาก ฉะนั้นในแนวคิดนี้จึงให้เด็กเรียนๆเล่นๆ เรียนก็จริงแต่ต้องได้เคลื่อนไหวด้วย ดังนั้นกิจกรรมจึงมุ่งให้เด็กได้ออกนอกห้อง ได้ปีนป่าย ได้วิ่งเล่น เพื่อให้มือกับเท้าทำงานมากที่สุด
นีโอฮิวแมนนิสจะไม่เชื่อเรื่องให้เด็กเรียนอย่างเดียว หรือเล่นอย่างเดียว เพราะในช่วง 3-6 ปี จะเป็นช่วงที่สมองของคนเราเจริญเติบโตมากที่สุด ถ้าไม่ให้เรียนเสียเลย แล้วมาเรียนตอน 7-8 ขวบจะยิ่งช้าไป ดังนั้นจึงต้องเรียนบ้างโดยกระจายให้เหมาะสม และใช้วิธีการที่จูงใจให้เด็กเรียนรู้ด้วยคลื่นอัลฟาหรือคลื่นสมองต่ำมากที่สุด
ส่วนวิธีการสอนแม้เป็นนามธรรม แต่ก็มีวิธีจูงใจอย่างมีระบบจากรูปธรรมง่ายๆ ไปสู่สิ่งที่เป็นรูปธรรมยากๆ แล้วจึงค่อยไปสู่นามธรรมโดยที่เด็กแทบจะไม่รู้ตัวเลย
เช่น แทนที่เด็กจะต้องท่องตัวอักษรต่างๆ เขาก็จะรู้จักเจ้าตัวพวกนี้ผ่านเกม โดยวิ่งไปตามพื้นห้องให้เป็นรูปตัวอักษร ทำตัวเองให้เป็นรูปนั้น หรือเล่นเกมบัตรคำสนุกๆ และแทนที่จะต้องหลับหูหลับตาท่องตัวเลขมากมายอย่างไร้ความหมาย พวกเขาก็จะได้เรียนรู้การใช้จากของจริงเช่น นับตัวเลขจากลูกปัดหอยหรือผลไม้ ถ้าหากจะเรียนสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต ครูก็จะพาพวกเขาไปสัมผัสกับประสบการณ์จริงนอกห้องเรียน อาจพาไปดูปลาในบ่อ พาไปรู้จักสัญญาณไฟจราจรริมถนน เป็นต้น
3. ภาพพจน์ของตัวเอง (SELF CONCEPT)
ความรู้สึกที่คนเรามีต่อตัวเรา ตามหลักจิตวิทยาสมัยใหม่พบว่าความรู้สึกที่มีต่อตัวเราจะส่งผลไปถึงความ รู้สึกที่เรามีต่อคนอื่นด้วย ถ้าเรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง เราก็จะไม่เชื่อมั่นคนอื่น
ความรู้สึกที่มาจากตัวเรามันมาจากประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เป็นตัวบันทึก โดยเฉพาะทางตากับทางหูเป็นเรื่องของจิตใต้สำนีก ซึ่งวัยเด็กเป็นวัยที่รับรู้สูงที่สุด ถ้าจิตใต้สำนึกบันทึกไว้แต่เรื่องด้านลบ ได้ยินคนรอบข้างพูดเรื่อยๆว่าไม่เก่ง ซน เด็กเติบโตขึ้นก็จะกลายเป็นคนที่ไม่เก่ง ซน ซุ่มซ่าม เมื่อภาพพจน์ที่มีต่อตัวเองเป็นลบ พฤติกรรมที่ออกมาก็จะเป็นลบด้วย
ดังนั้นบทบาทของครูจึงเป็นเรื่องสำคัญ (กรณีเดียวกับเรื่องคลื่นสมองต่ำ) เชื่อว่าพฤติกรรมของครูคือบทเรียนที่ดีที่สุดของเด็ก เช่น ถ้าครูไม่กินผัก เด็กก็จะไม่กินผัก ถ้าครูพูดจาไพเราะ เด็กก็จะพูดจาไพเราะ แนวคิดนี้ไม่เชื่อว่าทำอย่างที่ครูสอน แต่อย่าทำอย่างที่ครูทำ
ดังนั้นคนที่เป็นครูที่ดีจึงต้องสมบูรณ์พร้อมทั้งพฤติกรรมส่วนตัวและเทคนิค การสอนด้วย เด็กจึงจะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ
4.การให้ความรัก เปรียบเสมือนกับแก้วน้ำ
ถ้าความรักของเด็กคนนั้นเต็ม มันย่อมไหลเผื่อแผ่ไปถึงผู้อื่น ตรงกันข้าม ถ้าความรักของเขามีเพียงค่อนแก้ว เขาย่อมเรียกร้องต้องการการแสดงออกซึ่งความรักแก่เด็กที่จะทำให้เขาได้รับ ความรักล้นเต็ม
วิธีที่จะได้ความรัก
1. รอยยิ้ม ตามหลักจิตวิทยา การยิ้มคือการยอมรับในความเป็นมนุษย์
2. คำชม การนำเอาข้อดีมาพูด
3. การสัมผัส ในเด็กวัย 3-6 ขวบต้องการสิ่งนี้มาก
นักจิตวิทยาบอกว่า คนเราต้องการการสัมผัสอย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง
เพื่อการมีชีวิตรอด 8 ครั้งเพื่อการมีชีวิตอยู่อย่างปกติ
และ 14 ครั้งเพื่อการมีชีวิตอย่างมีความสุข
ถ้าไม่ได้รับเลยเขาจะอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิด ดังนั้นในโรงเรียนนีโอฮิวแมนนิส ครูจึงกอดเด็กหลังเช็กชื่อในตอนเช้าเสมอ
โดย รศ.ดร.เกียรติวรรณ อมาตยกุล ภาควิชาการศึกษานอกโรงเรียน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
http://www.thaischool.in.th/10050030/