กรรมดี ของพระพุทธเจ้า ที่ควรเรียนแบบ.....
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กรรมดี ของพระพุทธเจ้า ที่ควรเรียนแบบ.....  (อ่าน 1712 ครั้ง)
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2009, 04:28:44 pm »

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงตรัสถึง วิบากกรรมอันเป็นผลบุญของพระองค์ให้แก่เหล่าภิกษุในที่นั้นได้ฟังว่า



ไม่มีใครข่มได้
"ตถาคตเคยเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน เป็นผู้ถือปฏิบัติมั่นคงในกุศลธรรม ไม่ถดถอยในการปฏิบัติทั้งกาย วาจา ใจอันสุจริต ไม่ถดถอยในการทำทาน รักษาศีล ไม่ถดถอยในการปฏิบัติดีแก่บิดามารดา สมณะพราหมณ์ ไม่ถดถอยในการเคารพผู้ใหญ่ในสกุลในธรรมอันเป็นกุศลชั้นสูงฯ ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อมเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ย่อมไม่มีเหล่าข้าศึกภายใน คือ ราคะ โมหะ โทสะ หรือศัตรูภายนอก คือ สมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกนี้จะพึงข่มเราได้เลย"

เป็นที่รักยิ่ง
 "ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ไม่เคยเลยที่จะถลึงตาดูใครๆ ไม่ค้อนตาดู ไม่ชำเลืองตาดู เป็นผู้ซื่อตรง มีใจตรงเป็นปกติ แลดูใครๆก็ดูตรงๆ ดูด้วยดวงตาอันเป็นที่รักอยู่ ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้น คือ เป็นผู้ที่มหาชนเห็นแล้วรัก เป็นที่รัก ที่เคารพ ที่พอใจของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค และคนธรรพ์"

อายุยืน
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน เป็นผู้ละเว้นปาณาติบาต (ไม่เบียดเบียนชีวิตคนและสัตว์) เว้นขาดจากปาณาติบาตแล้ววางทัณฑะ (ไม่ลงโทษ) วางศาตราแล้ว มีความละอาย มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้ผลบุญนั้น คือ มีอายุยืนนาน ไม่มีข้าศึกศัตรูใด แม้สมณพราหมณ์ เทวดา พรหม มาร ใครๆในโลกนี้ จะสามารถปลงชีวิตเราให้ตกร่วงไปได้เลย"

โรคน้อย
 "ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ได้เป็นผู้ไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนหิน ด้วยท่อนไม้ แม้ด้วยศาตรา (ของมีคม) ใดๆเลย ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้ผลบุญนั้น คือ มีโรคน้อย มีความลำบากน้อย สมบูรณ์ด้วยธาตุไฟย่อยอาหารได้ดี ทั้งไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก ปานกลางพอดี เหมาะควรแก่ความเพียร"

บริวาร สะอาด
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน เป็นผู้ละมิจฉาอาชีพ (อาชีพที่ชั่วบาป) กระทำการเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยสัมมาอาชีพ (อาชีพที่ดีเป็นบุญ) เว้นขาดจากการโกงด้วยตาชั่ง โกงด้วยของปลอม โกงด้วยเครื่องตวงวัด โกงด้วยการรับสินบน เว้นขาดจากการหลอกลวงและตลบตะแลง เว้นขาดจากการตัด ฆ่า จองจำ ตี ชิง ปล้น และกรรโชกผู้อื่น ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้ผลบุญนั้น คือ มีบริวารผู้สะอาดจากกิเลสเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์"

ผู้นำของมหาชน
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน เคยเป็นหัวหน้าของมหาชนผู้ใฝ่ธรรมในกุศลทั้งหลาย เป็นประธานด้วยกายสุจริต วาจาสุจริต ใจสุจริต เป็นผู้นำในการถือศีล บำเพ็ญทาน ในการปฏิบัติดีแก่มารดาบิดา สมณพราหมณ์ ในความเคารพต่อผู้ใหญ่ในสกุล และเป็นผู้นำให้ความเคารพในธรรมที่เป็นกุศลชั้นสูงยิ่งๆขึ้นไป ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้น คือ ได้เป็นผู้นำของมหาชนโดยธรรม ได้เป็นผู้ที่มหาชนคล้อยตาม ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์"

บริวารสามัคคี
 "ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ได้เว้นขาดจากคำส่อเสียด คือ ฟังความจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้น หรือฟังความจากข้างโน้นแล้วก็ไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อพวกเขาจะได้ไม่แตกร้าวกัน แต่จะพูดสมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง จะส่งเสริมคนที่สามัคคีกันแล้วบ้าง ชอบหมู่คนผู้สามัคคีกัน ยินดีในหมู่คนผู้สามัคคีกัน เพลิดเพลินในหมู่คนที่สามัคคีกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้หมู่คนสามัคคีกันเท่านั้น ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญอันนั้น คือ มีบริษัทไม่แตกแยกกันสามัคคีกัน ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์"

ศัตรูกำจัดไม่ได้
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ได้เคยประพฤติละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ มุ่งพูดให้ถูกเวลา พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดมีเนื้อหาสาระ พูดอิงธรรมะ พูดอิงวินัย พูดแต่คำที่มีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนดอันประกอบด้วยประโยชน์ในเวลาที่เหมาะควร ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญอันนั้น คือ ไม่มีข้าศึกศัตรูภายในทั้ง ราคะ โทสะ โมหะ ที่จะกำจัดเราได้ หรือแม้แต่ศัตรูภายนอกทั้งที่เป็นสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม ใครๆในโลกนี้ ไม่อาจกำจัดเราได้เลย"

เชื่อถือในวาจา
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ในภพนั้นๆ เราได้ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ ที่ไพเราะหู ชวนให้รักจับใจ อันเป็นคำของชาวเมือง ซึ่งคนส่วนมากรักใคร่พอใจยิ่งนัก ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญอันนั้น คือ วาจาของตถาคตเป็นที่รัก เป็นที่เชื่อถือของมหาชนทั้งหลาย ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์"

มหาชน ทำตาม
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ได้ประพฤติละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงความสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลักฐานอันควรเชื่อถือ ไม่กล่าวคำลวงโลกใดๆ ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น แต่เมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้น คือ ตถาคตเป็นที่ประพฤติตามของมหาชนทั้งหลาย ทั้งที่เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์"

มั่งคั่งร่ำรวย
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ได้ใส่ใจมหาชนที่ควรสงเคราะห์ รู้จักผู้ที่มีฐานะเท่าเทียมกันและฐานะที่ต่างกัน รู้จักว่าผู้มีฐานะเยี่ยงนี้ควรช่วยเหลืออย่างนี้ รู้จักว่าผู้มีฐานะพิเศษเยี่ยงนั้น ควรสักการะอย่างนั้น แล้วก็ลงมือทำกิจช่วยเหลือเป็นประโยชน์แก่บุคคลเหล่านั้น ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้น คือ เป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวย มีทรัพย์มาก มีสมบัติมาก ทรัพย์ของเราก็คือศรัทธา ศีล ความละอายที่ทำบาป ความเกรงกลัวที่ทำบาป สุตะ (ฟังธรรม) จาคะ (เสียสละแบ่งปัน) ปัญญา เหล่านี้เป็นอริยทรัพย์ของเรา"

ผิว ทอง,ผ้าเนื้อดี,บริโภคของปราณีต
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน เป็นผู้ไม่มีความโกรธ ไม่มีความแค้นใจ แม้จะถูกคนหมู่มากด่าว่าเอาก็ไม่ขัดใจ ไม่โกรธ ไม่ปองร้าย ไม่จองเวร ไม่ทำโกรธ ไม่ทำแค้นเคือง และไม่ทำเสียใจให้ปรากฏ อีกทั้งเรายังเป็นผู้ให้เครื่องลาดมีเนื้อละเอียดอ่อน ให้ผ้านุ่งห่มเนื้อละเอียด ได้ทำตนเป็นผู้ให้ของที่ควรเคี้ยว ของที่ควรบริโภคอันปราณีต มีรสอร่อย ให้น้ำที่น่าดื่มแก่คนทั้งหลาย ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้ผลบุญนั้น คือ มีผิวพรรณงามดั่งทองคำ ได้เครื่องลาดที่มีเนื้อละเอียดอ่อน ได้ผ้านุ่งห่มอย่างดีที่มีเนื้อละเอียด ได้ของที่ควรเคี้ยว ได้ของที่ควรบริโภคอันปราณีตมีรสอร่อย และได้น้ำที่ควรซดควรดื่ม"

บริวาร มาก
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ได้เป็นผู้นำความสุขมาให้แก่ชนเป็นจำนวนมาก บรรเทาภัยคือความหวาดกลัวและหวาดเสียว จัดการรักษาปกครองป้องกันโดยธรรม ทั้งทำทานพร้อมด้วยวัตถุเป็นอันมากไว้ ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้ผลบุญนั้น คือ มีบริวารมาก ทั้งที่เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์"

บริวารช่วยเหลือ
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน เป็นผู้สงเคราะห์ประชาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ คือ มีการให้ทาน การกล่าวคำเป็นที่รัก การประพฤติให้เป็นประโยชน์ และการทำตัวให้เข้าใจกัน ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญอันนั้น คือ มีบริวารช่วยเหลือเป็นอย่างดี ทั้งที่เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์"

ได้ปัจจัยเร็วพลัน
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ภพนั้นเราตั้งใจสอนเรื่องศิลปะ วิชชา จรณะ (ข้อที่ควรประพฤติ) และเรื่องของกรรม ด้วยการทำในใจว่าทำอย่างไรชนทั้งหลายจะพึงรู้เรื่องเหล่านี้ได้รวดเร็ว จะพึงสำเร็จผลได้เร็วไว ไม่ต้องทุกข์ลำบากนาน ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญอันนั้น คือ ได้รับจีวรหรือผ้าห่มอันสมควรแก่พุทธบริษัท ๔ โดยพลัน ได้บริขาร (เครื่องใช้สอย) อันสมควรแก่สมณะเร็วไว"

สิ้นความเสื่อม
"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อนนั้น ได้เป็นผู้หวังประโยชน์ให้เกิดแก่ประชาชนอันมาก ด้วยการทำในใจว่าทำอย่างไรหนอผู้คนทั้งหลายจะพึงเจริญด้วยศรัทธา เจริญด้วยศีล เจริญด้วยการฟังธรรม เจริญด้วยการเรียนรู้ เจริญด้วยการเสียสละแบ่งปัน เจริญด้วยธรรม เจริญด้วยปัญญา แม้แต่เจริญด้วยทรัพย์ เจริญด้วยนาและสวน เจริญด้วยบุตรและภรรยา เจริญด้วยทาสและกรรมกร เจริญด้วยญาติ เจริญด้วยมิตร เจริญด้วยพวกพ้องทั้งหลาย ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้น คือ ไม่มีความดีใดๆเสื่อมเป็นธรรมดา ไม่เสื่อมจากศรัทธา ไม่เสื่อมจากศีล ไม่เสื่อมจากการฟังธรรม ไม่เสื่อมจากการเสียสละแบ่งปัน ไม่เสื่อมจากปัญญา ไม่เสื่อมจากอริยทรัพย์ทั้งปวง"

เลิศด้วยปัญญา
"ตถาคตเคยเป็นมนุษย์ที่เข้าหาสมณะหรือหราหมณ์ แล้วซักถามว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ กรรมส่วนกุศลเป็นอย่างไร? กรรมส่วนอกุศลเป็นอย่างไร? กรรมที่มีโทษเป็นอย่างไร? กรรมที่ไม่มีโทษเป็นอย่างไร? กรรมอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำแล้วไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ แต่จะเป็นไปเพื่อทุกข์ตลอดกาล? กรรมอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำแล้วเป็นไปเพื่อประโยชน์ เป็นไปเพื่อสุขตลอดกาล? ด้วยผลแห่งกรรมที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญอันนั้น คือ เป็นผู้มีปัญญามาก มีปัญญากว้างขวาง มีปัญญาร่าเริง มีปัญญาว่องไว มีปัญญาเฉียบแหลม และมีปัญญาทำลายกิเลส โดยไม่มีสรรพสัตว์ใดในโลกนี้จะมีปัญญาเสมอเรา หรือมีปัญญาประเสริฐไปกว่าเราได้เลย"

เลิศกว่าใครๆในโลก

"ตถาคตเคยเกิดเป็นมนุษย์ในชาติกาลก่อน ภพนั้นเราเป็นผู้กล่าวถ้อยคำวาจาประกอบด้วยอรรถ (มีสาระ) ประกอบด้วยธรรม แนะนำประชาชนเป็นอันมาก เรายกย่องบูชาธรรมเป็นปกติ เป็นผู้นำเอาประโยชน์และความสุขมาให้แก่สัตว์โลกทั้งหลาย ด้วยผลแห่งบุญที่เราได้กระทำสั่งสมไว้นั้น ต่อเมื่อเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราจึงได้รับผลบุญนั้น คือ เป็นผู้ประเสริฐ เลิศ ยอด เป็นประธานสูงสุด ดีกว่าสรรพสัตว์ใดๆในโลก"

ขอบคุณที่มา : จากหนังสือ รู้ชีวิตกำหนดชีวิต


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: