มารู้จัก โรคภูมิแพ้กันดีกว่า โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่กำงลังคุกคามสุขภาพของคนเป็นจำนวนมาก มีรายงานว่าในสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้กว่าห้าสิบล้านคน สำหรับประเทศไทยจำนวนผู้ที่ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้นั้นกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นทุกปี
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ปารยะ อาสนะเสน ภาควิชาโรคจมูกและภูมิแพ้ โรงพยาบาลศิริราชกล่าวว่า ภูมิแพ้เกิดจากระบบภูมิต้านทานในร่างกายทำปฎิกิริยาผิดปกติ คือการทำงานไวเกินเหตุหรือมากเกินไปต่อสารที่พบตามธรรมชาติ ซึ่งไม่เป็นอันตรายกับร่างกาย เช่น ฝุ่น ไรฝุ่น ละอองเกสร ดอกไม้ เชื้อรา อาหารบางชนิด และสัตว์เลี้ยงที่มีขน โดยหลังจากสัมผัสกับการก่อภูมิแพ้ครั้งแรกแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานชนิดอี (IgE: Immunoglobulin E) ขึ้นเพื่อคอยรับมือกับสารดังกล่าว เมื่อร่างกายได้รับสารนั้นอีกครั้ง ภูมิต้านทานไอจีอีที่ร่างกายสร้างไว้จะเข้ามาทำปฎิกิริยาด้วยทันทีในฐานะศัตรู ทำให้เกิดอาการต่างๆของโรคขึ้น เช่น ขอบตาล่างดำคล้ำ เยื่อบุจมูกบวม หายใจมีเสียงวี้ด หรือมีผื่นขึ้นตามข้อพับ ทั้งนี้แล้วแต่ชนิดของภูมิแพ้ที่เป็น
บำบัดโรคภูมิแพ้ด้วยตนเอง
1.
การฝึกหายใจ ทำได้โดยหายใจเข้า-ออกช้าๆ เพื่อให้อากาศสามารถผ่านเข้าไปยังปอดทุกกลีบได้อย่างทั่วถึงควรเน้นการฝึกหายใจในขณะที่อากาศอบอุ่น เพราะจะเป็นการเพิ่มพลังความร้อนให้ร่างกายได้ป็นอย่างดี
2.
การฝึกทำสมาธิ ความเครียดอาจเป็นสาเหตูให้โรคภูมิแพ้ต่างๆและโรคหืดกำเริบ การทำสมาธิจะช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการลงได้
3.
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคหืด ได้แก่ รำกระบอง ไทชิ ว่ายน้ำ เดิน และขี่จักรยาน
4.
การฝึกโยคะ เป็นการออกกำลังกายทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ป่วยภูมิแพ้ โดยเฉพาะโรคหืด เพราะการฝึกโยคะมีการควบคุมระบบหายใจไปในตัวด้วย ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อการหายใจแข็งแรงและผ่อนคลายขึ้น โดยช่วยลดการหดตัวของกล้ามเนื้อหลอดลมเวลาอาการหอบหืดกำเริบ การฝึกอย่างน้อยวันละ 5 นาทีเป็นประจำทุกวันจะช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้ลึกและช้าลงจนเป็นธรรมชาติ
5.
การกดจุด สามารถลดอาการในขณะเริ่มเป็นได้ ซึ่งทำได้ด้วยตัวเอง โดยการกดจุดที่อยู่ระหว่างง่ามมือ ตรงบริเวณที่ติดกับโคนกระดูกนิ้วชี้ ให้กดนิ่งไว้อย่างน้อย 2 นาที โดยทำทีละข้างขณะที่หายใจเข้า-ออกลึกๆ ผลที่ได้เหมือนกับการใช้ แอนติฮิสทามีน (antihistamine) ซึ่งช่วยให้การแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้ต่างๆทุเลาลง
6.
การฝังเข็ม โดยเฉพาะคนที่เป็นภูมิแพ้ผิวหนังหรือมีน้ำมูกไหล การฝังเข็มจะช่วยบรรเทาอาการได้ โดยแทงเข็มเข้าไปในบริเวณจุดที่เกี่ยวเนื่องกับอวัยวะที่เป็น (ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง)
วิตามินแก้ภูมิแพ้1.
สังกะสี จะช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมไทมัส ซึ่งควบคุมการทำงานของเม็ดเลือดขาวที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายพบมากในอาหารจำพวกข้าวซ้อมมือ ยีสต์ ข้าวหมก ขนมปังโฮลวีท และ อาหารทะเล
2.
ซีลีเนียม ได้จากบรอกโคลี เห็ด กะหล่ำปลี แตงกวา หัวหอม และ กระเทียม
3.
วิตามินเอ หากร่างกายขาดวิตามินเอ ภูมิชีวิตจะลดลง แหล่งอาหารที่สำคัญได้แก่ กล้วย มะเขือเทศ กระถิน แครอท มะละกอสุก ข้าวโพด และผักกาดหอม
4.
วิตามินอี มีมากในน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด ข้าวซ้อม-มือ ถั่วแดง และถั่วเหลือง
5.
วิตามินซี โดยเฉพาะส้ม เพราะมีสารฟลาโวนอยด์และวิตามินซีสูง ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิชีวิต
อย่างไรก็ตาม แม้ในขณะนี้จะมีวิธีดูแลตัวเองอย่างง่ายๆหลายแบบ การแพทย์แผนปัจจุบันก็กำลังคิดคันหากระบวนการในการรักษาภูมิแพ้ให้หายขาด เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ คนทั่วโลกจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยโรคภูมิแพ้อีกต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก aia