ทาน ศีล ภาวนา
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ทาน ศีล ภาวนา  (อ่าน 3092 ครั้ง)
ช้าง ณ.ปากพนัง -LSV team
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน112
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 143


อีเมล์
« เมื่อ: มกราคม 19, 2007, 07:33:20 am »

ทาน

     ทานคือเครื่องแสดงน้ำใจของมนุษย์ผู้มีจิตใจสูง ผู้มีเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ผู้อาภัพ ด้วยการให้ทาน
เสียสละแบ่งปันมากน้อยตามกำลังของวัตถุเครื่องสงเคราะห์ที่มีอยู่ จะเป็นวัตถุทาน ธรรมทาน หรือวิทยาทานแขนง
ต่างๆก็ตาม ที่ให้เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นโดยมิหวังค่าตอบแทนใดๆ นอกจากกุศลคือความดีที่เกิดจากทานนั้น ซึ่งจะเป็น
สิ่งตอบแทนให้เจ้าของทานได้รับอยู่โดยดีเท่านั้น ตลอดอภัยทานที่ควรให้แก่กัน ในเวลาอีกฝ่ายผิดพลาดหรือล่วงเกิน

      คนมีทานหรือคนที่เด่นในการให้ทานย่อมเป็นผู้สง่าผ่าเผยและเด่นในปวงชน ผู้เช่นนี้มนุษย์และสัตว์ตลอด
เทวดาก็เคารพรัก จะตกทิศใดแดนใดย่อมไม่อดอยากขาดแคลนหากมีสิ่งหรือผู้อุปถัมภ์จนได้ไม่อับจนทนทุกข์
แม้ในแดนมนุษย์เรานี้ก็พอเห็นได้อย่างเต็มตารู้ได้อย่างเต็มใจว่า ผู้มีทานเป็นเครื่องประดับตัวย่อมเป็นคนไม่ล้า
สมัยในสังคม และบุคคลทุกชั้นไม่มีใครรังเกียจ

      อำนาจทาน ทำให้ผู้มีใจบริจาคเกิดความเคยชินต่อนิสัยจนกลายเป็นผู้มีฤทธิ์ บันดาลไม่ให้อดอยากในภพ
ที่เกิด กำเนิดที่อยู่นั้นๆ ฉะนั้นทานและคนที่มีใจเป็นนักให้ทานเสียสละ จึงเป็นผู้ค้ำจุนโลกให้เฟื่องฟูตลอดไป
โลกที่มีการสงเคราะห์กันอยู่ ยังจัดเป็นโลกที่มีความหมายตลอดไป

      ทานจึงเป็นสาระสำคัญสำหรับตัวและโลกทั่วๆไป ผู้มีทานย่อมเป็นผู้อบอุ่นและหนุนโลกให้ชุ่มเย็น
ไม่เป็นบุคคลและโลกที่แห้งแล้งแข่งกับทุกข์ตลอดไป

ศีล

      ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านเมตตาสั่งสอนฆราวาสให้รู้คุณของศีล และรู้โทษของความไม่มีศีล ว่าศีล
คือรั้วกั้นความเบียดเบียน และทำลายร่างกายและจิตใจของกันและกัน ศีลคือพืชแห่งความดีอันยอดเยี่ยมที่ควร
มีประจำชาติมนุษย์ไม่ปล่อยให้สูญหายไปเสีย เพราะมนุษย์ที่ไม่มีศีลเป็นรั้วกั้นและเป็นเครื่องประดับตัว ก็คือ
กองเพลิงแห่งมนุษย์เราดีๆนี่เอง

      การเบียดเบียนทำลายกันย่อมเป็นไปทุกย่อมหญ้า และทั่วโลกดินแดน ไม่มีเกาะมีดอนพอจะเอา
ศีรษะซุกนอนให้ปลอดภัย แม้โลกจะเจริญด้วยวัตถุจนกองสูงกว่าพระอาทิตย์บนท้องฟ้า แต่ความรุ่มร้อนแผดเผา
จะทวีคูณยิ่งกว่าพระอาทิตย์เป็นไหนๆ โลกจะไม่มีที่ปลงใจได้เลย ถ้ายังมัวคิดว่าวัตถุมีค่ามากกว่าศีลธรรม

      เพราะศีลธรรมเป็นสมบัติของจอมมนุษย์คือพระพุทธเจ้า ผู้ค้นพบและนำมาประดับโลกที่กำลังมืดมัวกลัวทุกข์
 พอให้สว่างไสวร่มเย็นควรให้อาศัยได้บ้างด้วยอำนาจศีลธรรมเป็นเครื่องปัดเป่ากำจัด ศีลจึงเป็นเหมือนยาปราบ
โรคทั้งโรคระบาดและโรคเรื้อรัง อย่างน้อยก็พอให้คนไข้ที่สุมด้วยกิเลสกินอยู่หลับนอนได้บ้าง ไม่ถูกบีบคั้นด้วย
โรคที่เกิดแล้วไม่ยอมหายนี้ตลอดไป มากกว่านั้นโรคนี้ก็หายขาดอยู่สบาย

      คำว่าศีลแท้จริงเป็นไปด้วยความมีสติ รู้สิ่งที่ควรหรือไม่ควร ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม คอยบังคับ
กาย วาจา ใจ ให้เป็นไปในขอบเขตของศีลที่เป็นสภาพปกติ ไม่คะนองกาย วาจา ใจ

อานิสงส์ของการรักษาศีล ๕
๑. ทำให้อายุยืนปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
๒. ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในความปกครอง มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้าย
๓. ระหว่าง ลูก หลาน สามี ภรรยา อยู่ด้วยกันผาสุก ไม่มีผู้คอยล่วงล้ำกล้ำกราย ต่างครองอยู่ด้วยความเป็นสุข
๔. พูดอะไรมีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์เป็นที่จับใจไพเราะด้วยสัตย์ด้วยศีล
๕. เป็นผู้มีสติปัญญาดีเฉลียวฉลาด


ภาวนา

      ภาวนาคือการอบรมใจให้ฉลาดเที่ยงตรงต่อเหตุผล อรรถธรรมรู้จักวิธีปฏิบัติต่อตนเองและสิ่งทั้งหลาย
ไม่ให้จิตผาดโผนโลดแล่นแบบไม่มีฝั่งมีฝา ยึดการภาวนาเป็นรั้วกั้นความคิดฟุ้งของใจให้อยู่ในเหตุผล
อันจะเป็นหนทางแห่งความสงบสุขใจที่ยังมิได้รับการอบรมจากภาวนา

      ใจควรได้รับรู้ในเรื่องของตัวเองเสียบ้าง จะเป็นผู้ควรแก่การงานทั้งหลาย ทั้งส่วนหยาบส่วนละเอียด
ทั้งส่วนเล็กส่วนใหญ่ ทั้งภายในและภายนอก ผู้มีภาวนาเป็นหลักใจจะทำอะไรชอบใช้ความคิดอ่านเสมอ ไม่ค่อย -
เอาตัวเข้าไปเสี่ยงต่อการกระทำที่ไม่แน่ใจ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตนและผู้เกี่ยวข้องตลอดส่วนรวม

      การภาวนาจึงเป็นงานเพื่อผลในปัจจุบันและอนาคต ไม่เสียประโยชน์ทั้งสองทาง ประโยชน์สำคัญคือประโยชน์
เฉพาะหน้าที่เรียกว่า “ทิฎฐธรรมมิกัตถประโยชน์ การทำงานทุกชนิดที่ทำด้วยใจของผู้ภาวนาจะสำเร็จลงด้วย
ความเรียบร้อย ขณะที่ทำก็ไม่ทำแบบขอไปที แต่ทำด้วยความใคร่ครวญและเล็งถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจาก
งานเมื่อสำเร็จลงไปแล้ว

โดย พระภูริทัตโต (หลวงปู่มั่น)
จดจารึกโดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (พระญาณสัมปันโน บัว)


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: