หลวงพ่อสอนพระกรรมฐานในระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑ - สรุปอนุสติ ๑๐
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: หลวงพ่อสอนพระกรรมฐานในระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑ - สรุปอนุสติ ๑๐  (อ่าน 1220 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« เมื่อ: มกราคม 17, 2011, 05:01:41 pm »

หลวงพ่อสอนพระกรรมฐานในระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑ - สรุปอนุสติ ๑๐

ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็จะขอเป็นวันสรุปอนุสติ ๑๐ คำว่าอนุสตินี่แปลว่าการตามระลึกนึกถึงอารมณ์ ๑๐ ประการ ก็ได้แก่
๑ นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่าพุทธานุสติ
๒ ระลึกนึกถึงความดีของพระธรรม เรียกว่า ธัมมานุสติ
๓ ระลึกนึกถึงความดีของพระอริยสงฆ์ เรียกว่า สังฆานุสติ
๔ ระลึกนึกถึงความดีที่องค์สมเด็จพระมหามุนีทรงสอน เรียกว่า สีลานุสติ
๕ ระลึกถึงความดึของทานการบริจาคที่เราสละไปแล้ว เพื่อหวังการเกื้อกูลบุคคลอื่นให้มีความสุข และเราไม่มีอารมณ์ผูกพันเพื่อหวังผลการตอบสนอง อย่างนี้เรียกว่า จาคานุสติ
๖ นึกถึงคุณธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดา คำว่าเทวดาแปลว่าประเสริฐ คำว่าประเสริฐก็คือความดีไม่มีที่ติ เรียกว่า เทวตานุสติ
๗ นึกถึงความตายที่มันจะเข้ามาถึงซึ่งเป็นของที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรียกว่า มรณานุสติ
๘ ระลึกนึกถึงกายว่ามันสักแต่ว่ากาย คือเป็นธาตุ ๔ ประชุมกัน และแบ่งเป็นอาการ ๓๒ มีการสลายตัวไปในที่สุด เรียกว่า กายคตานุสติ
๙ นึกถึงลมหายใจเข้าออกให้สติทรงอยู่ เรียกว่า อานาปานุสติ
๑๐ นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ อย่างนี้เรียกว่า อุปสมานุสติ

เป็นอันว่าอนุสติทั้ง ๑๐ ประการนี้ ถ้าท่านทั้งหลายจะถามผมว่า เราควรจะทรงอนุสติอะไรดี จึงจะเป็นการสมควร ถ้าจะให้กระผมตอบ ผมก็ขอตอบกับท่านทั้งหลายว่า อนุสติทั้ง ๑๐ นี้จำเป็นจะต้องทรงทั้งหมด เพราะว่าเป็นของดีทั้งหมด การนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นของดี นึกถึงพระพุทธเจ้าจงอย่านึกถึงแต่ความดีที่พระองค์ทรงปฏิบัติอย่างเดียว จงพากันนึกถึงขันธ์ ๕ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วย ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมานาน เพื่อจะรวบรวมปัญญาความรู้ขององค์สมเด็จพระพิชิตมารมาสอนพวกเราว่า ถึงที่สุดแล้วสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สามารถจะรักษาขันธ์ ๕ ให้ทรงอยู่ ในที่สุดองค์สมเด็จพระบรมครูก็ต้องเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน มองดูขันธ์ ๕ ขององค์สมเด็จพระพิชิตมารเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ทุกขัง ถ้ายึดมันก็เป็นทุกข์ อนัตตา ในที่สุดก็สลาย ก็องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ ขันธ์ ๕ ของพระองค์ท่านยังพังได้ แล้วก็ของเราล่ะมันจะอยู่ได้ยังไง มันจะเป็นเราเป็นของเราได้ยังไง นี่คิดไว้อย่างนี้โดยใช้ปัญญาพิจารณา

ถ้าจะสรุปลงมาว่าผลอะไรที่จะพึงได้ จากการทรงอนุสติทั้ง ๑๐ ประการ คำว่าอนุสตินี่ปฏิบัติง่ายๆ นะขอรับ ท่านไม่ให้เคร่งเครียดอะไรนัก ใช้อารมณ์สบายๆ ให้จิตใจมันทรงตัว นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คุมศีล คุมจาคะ คุมหิริโอตตัปปะ รับรู้มีความรู้สึกว่าจะตาย เห็นว่าร่างกายเป็นธาตุ ๔ อาการ ๓๒ อานาปานุสตินี้ทรงสติสัมปชัญญะให้ทรงตัว อานาปานุสตินี่ดีมาก เพราะว่าสามารถคุมจิตให้ทรงตัวที่เรียกว่าสมาธิ และก็เป็นการระงับกายสังขาร คือระงับทุกขเวทนา แล้วก็อุปสมานุสติ ทำจิตให้เป็นสุข สุขที่สุดคืออารมณ์รักพระนิพพาน

ทีนี้เราก็มานั่งไล่กันดูว่าอนุสติทั้ง ๑๐ ประการให้ผลประการใด นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระอริยสงฆ์ มีศีลบริสุทธิ์ ๔ ประการนี้ถ้าจิตทรงตัว นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เรานึกถึงพระวรกายขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาว่าเป็นอนิจจังนะ ความจริงพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าไม่น่าจะนิพพานเพราะเป็นอัจฉริยมนุษย์ แต่ในที่สุดร่างกายก็เป็นร่างกาย เป็นกฎธรรมดาของมัน ห้ามปรามไม่ได้ เกิดขึ้นในเบื้องต้นและก็สลายตัวไปในที่สุด นี้ด้านร่างกายของเราก็ต้องพังอย่างนี้ เมื่อจะพังก็ขอให้ทรงความดี คือยึดอำนาจของพุทธานุสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ ขอเกาะชายสังฆาฏิของพระพุทธเจ้าไว้ รักเคารพพระพุทธเจ้า ไม่สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ รักพระธรรม รักและก็ปฏิบัติตาม นึกถึงความดีของพระอริยสงฆ์ ที่ธรรมะที่สมเด็จพระพุทธองค์ทรงสอน พระอริยสงฆ์รุ่นแรกก็กรุณารวบรวมเข้าไว้ แล้วก็พระสงฆ์ทั้งหลายก็นำมาสอนตาม ๔ ประการนี้ถ้าทรงตัวอยู่ องค์สมเด็จพระบรมครูทรงเรียกว่าท่านผู้นั้นเป็นพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ถ้าจิตทรงตัวจริงๆ นะ หมายความว่าจิตทรงตัวจริงๆ ไม่ปรามาสพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีศีลบริสุทธ์ และรู้ว่าขันธ์ ๕ คือร่างกายมันจะต้องตาย อย่างนี้ชื่อว่าเราสามารถทำลายสังโยชน์ ๓ ประการได้แล้ว ก็เป็นอะไรล่ะ ก็เป็นพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี นี้ไม่ยากเลยนะครับ

สำหรับจาคานุสตินี้ จาคานุสตินี่มีกำลังใหญ่ จาคะแปลว่าเสียสละ อยากจะเอาพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาพูดกับท่าน ผมซึ้งใจในพระราชดำรัสมาก เพราะคนที่จะคิดนอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมไม่เคยได้ยินที่ไหน คำว่าจาคะถ้าแปลว่าเสียสละยังมีกำลังยึด ถ้าตัดคำว่าเสียออกไป เหลือแต่สละ อารมณ์ยังติด ต้องใช้คำว่าละ แหม ตัวนี้ ถ้าเหลือละตัวเดียวล่ะท่านเอ๋ย ตัวนี้ตัวเดียวไปนิพพาน แล้วก็เล่นกันง่ายๆ เอาง่ายๆ ดีกว่า จาคะเราควรสละอะไร สละสิ่งของภายนอกก็ควรทำ เป็นการเพาะกำลังใจให้มีกำลังในด้านการสละ แต่จาคะตัวนี้เราควรจะสละอารมณ์อย่างหนึ่งที่เป็นเครื่องเกาะนั่นก็คือกาม ฉันทะ เพราะว่ากามฉันทะ เรารักคน รักสัตว์ รักวัตถุด้วยอำนาจกามารมณ์ แล้วก็ความนิยมในการรักน่ะมันเกิดประโยชน์อะไรบ้าง รักกันจะตาย พอแต่งงานเข้าหน่อยประเดี๋ยวเดียวก็ทะเลาะกัน มันดีเรอะ เวลาก่อนจะแต่งงานกันก็เลือกสวยเลือกงาม แต่ไอ้ความสวยความงามนี้มันทรงตัวหรือเปล่า มันทรุดโทรมลงไปทุกวัน แล้วในที่สุดต่างคนก็ต่างจากกันไปด้วยความตาย สุขใดๆ ที่จะมาจากการแต่งงานไม่มีเลย หาสุขจริงๆ ไม่ได้ อยู่คนเดียวสบาย จะไปไหนก็ได้ ทำอะไรก็ได้ หลับเมื่อไร ตื่นเมื่อไร กินมากกินน้อย ขี้เกียจ ขยัน ไม่มีใครเขาบ่น แต่พออยู่ด้วยกันสองคน ขี้เกียจไม่ได้ ต้องเพิ่มภาระกิจการงานให้มากขึ้น นี่มันยุ่งตรงนี้ ถ้าอยู่ด้วยกันก็ใช่จะมีความดีชื่นบานหรรษาตลอดกาลตลอดสมัยก็หาไม่ เดี๋ยวก็ขัดคอกัน ข่าวสารมีอยู่เสมอ ยิงกันตายบ้าง ติดตะรางบ้าง เดินขึ้นสถานีตำรวจขอหย่าจากกันบ้าง นี่มันเป็นเรื่องของกามตัณหา ที่มีความปรารถนาในจิต เราไม่คิดถึงความเป็นจริง ถ้าบรรดาคนชายและหญิงมีความรู้สึกอย่างนี้ อยู่เสียคนเดียวสบาย ตัดกำลังใจคือสละความรักให้มันสลายตัวไป อยู่คนเดียวดีกว่า มันเป็นสุข ถ้าเราจิตเราละกามฉันทะตัวนี้ได้จะอาศัยจาคะสละตัดทิ้งไปเลย ละเสียเลยอารมณ์ไม่ติด

แล้วก็จิตมีอภัยคือความเมตตาปรานี ตัวนี้น่าจะมาจากศีล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรามีศีล ก่อนจะมีศีลมันมีเมตตา ถ้าศีลเคร่งเครียดขึ้นมาทรงอารมณ์ เมตตามันก็สูง กรุณามันก็สูง การให้อภัยกับคนที่สร้างความชั่วทำตัวไม่เป็นมิตร จิตที่จะคิดเป็นศัตรูไม่มี อันนี้ผมว่าถ้าทรงอาการ ๒ ประการนี้ได้ ความเป็นพระอนาคามีก็มาได้ ถ้าฉลาดนะครับ ถ้าขี้เกียจก็ตามใจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าก้าวมาถึงเทวตานุสสติแล้วไซร้ จะเข้าถึงพระอนาคามีได้อย่างเป็นสุข เพราะเทวตานุสสตินี้อายความชั่วกลัวความชั่ว ความชั่วที่จะมีมาได้นั่นคือปัจจัยของความทุกข์ อะไรก็ตามถ้ามันเป็นปัจจัยของความทุกข์ อาการอย่างนั้นเราเรียกกันว่าความชั่ว และไอ้ความรักในเพศมันเป็นปัจจัยของความสุขหรือความทุกข์ แล้วการโกรธ พยาบาทคิดพิฆาตเข่นฆ่าเป็นศัตรูซึ่งกัน มันเป็นปัจจัยจองความสุขหรือความทุกข์ มันเป็นความทุกข์แล้วมันเป็นความไม่ดี มันเป็นความชั่ว อารมณ์เข้าถึงเทวตานุสติกรรมฐานเพียงเท่านี้ ใจก็เป็นสุข การทรงความเป็นพระอนาคามี ผมว่าเป็นพระอรหันต์ยังได้เลย นี่ย่อไว้ว่าเท่านี้ว่าเป็นพระอนาคามีได้

และจิตใจต่อไปก็มานั่งพิจารณาถึงมรณานุสติ นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ว่า แล้วไอ้เรานี่มันต้องตาย เรานี่คือใคร ความจริงเราเข้าใจผิด คิดว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา มองดูกายคตานุสติว่า เอ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า ร่างกายนี้ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลมและธาตุไฟ มีอาการ ๓๒ เกลือกกลั้วกันไป มันไม่มีการทรงตัว มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด และก็มันเป็นใคร เมื่อสลายตัวก็เรียกว่าตาย ถ้าเป็นเราเป็นของเราจริง มันจะตายไหม มันก็ไม่ตายเพราะเราไม่ต้องการให้มันตาย ในเมื่อมันจะต้องตายอย่างนี้แสดงว่าเรากับมันก็ไม่ใช่เราไม่ใช่มัน ในเมื่อมันไม่ใช่เรา เราไม่ใช่มัน ผูกพันมันเพื่อประโยชน์อะไร ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี วัตถุธาตุทั้งหลายก็ดี เมื่อร่างกายที่เราทรงอยู่นี้มันพัง แล้วร่างกายของบุคคลอื่น วัตถุธาตุทั้งหลายอย่างอื่นที่เราคิดว่ามันเป็นสมบัติของเรา เราจะมีสิทธิปกครองมันไหม เป็นอันว่าเราก็ไม่มีสิทธิในการปกครอง ถ้ายังงั้นเราก็ควรทำยังไง เราก็ควรวางเสีย วิธีวางวางยังไง จับอานาปานุสติกรรมฐานให้มีอารมณ์ทรงตัว อานาปานุสติกรรมฐานนี่ทำให้ใจสบาย ทำให้ร่างกายสบายเพราะว่าเป็นกรรมฐานระงับกายสังขาร คือระงับทุกขเวทนา ให้มีกำลังใจตั้งมั่น มีความเก่งกล้าในการทรงสมาธิ แล้วก็มานั่งพิจารณาดูว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันมีความตายเป็นปรกติ เราชำระจิต อายความชั่ว กลัวผลของความชั่ว แต่ความชั่วนี่เราจะพ้นได้จากที่ไหน เพราะความชั่วเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ ถ้าเราเป็นคนมันก็ต้องเป็นทุกข์ ถ้าเราเป็นเทวดาหรือพรหมมันก็ต้องทุกข์ สิ่งที่พ้นทุกข์เป็นสุขจริงๆ ก็คือพระนิพพาน ที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารต้องการให้คนทุกคนไปที่นั่น เราเรียกกันว่าอุปสมานุสติกรรมฐาน เพียงเท่านี้คือจิตเรายอมรับนับถือซึ่งพระนิพพาน พระนิพพานนี่แปลว่าความดับ นิพพะแปลว่าดับ คือดับตัณหาทั้งหมด กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ดับมานะความถือตัวถือตน เพียงเท่านี้องค์สมเด็จพระทศพลก็ทรงตรัสว่า ท่านผู้นั้นเป็นผู้มีจิตว่างจากกิเลส จิตว่างจากกิเลสก็คือจิตเป็นพระอรหันต์

เห็นไหม บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน พระโยคาวจรทั้งหลาย อนุสติทั้ง ๑๐ ประการนี้ ถ้าจะทรงไว้พร้อมๆ กันก็ไม่เห็นจะมีอะไรหนัก ไม่ต้องไปนั่งไล่เบี้ยพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ มรณานุสติ กายคตานุสติ อานาปานุสติ อุปสมานุสติ ไม่ใช่ไปไล่อย่างนั้น ให้อารมณ์มันทรงคราวเดียวถึงกัน นี้เราก็มานั่งมองว่าองค์สมเด็จพระพิชิตมารสอนเราตรงนี้มุ่งอะไร ให้มุ่งความดีจุดสุดท้าย นั่นก็คือ อริยสัจ อริยสัจนี้ถ้าพูดกันมากมันก็รู้สึกว่ายาก ถ้าพูดกันแต่เพียงน้อยๆ มันก็ของไม่ยาก อริยสัจในอนุสติเรามองตรงไหนกันดี เราเรียนอนุสตินี่ เราก็ต้องใช้อนุสติเป็นอริยสัจ อันดับแรกมองสรีระร่างกายขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาว่า พระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเป็นมนุษย์ สวยจริงๆ และก็ทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ ประเสริฐกว่ามนุษย์ทั้งหมด แต่เวลานี้สรีระร่างกายขององค์สมเด็จพระบรมสุคตไปไหน อยู่หรือเปล่า แล้วเวลาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ร่างกายขององค์สมเด็จพระบรมครูน่ะทรงสภาพเป็นปรกติไหม พระพุทธเจ้าต้องฉันข้าวหรือเปล่า ต้องฉันน้ำหรือเปล่า พระพุทธเจ้าต้องพักผ่อนนอนหรือเปล่า พระพุทธเจ้าเมื่อทรงพระวรกายอยู่ มีโรคภัยไข้เจ็บหรือเปล่า พระพุทธเจ้าแก่หรือเปล่า ร่างกายของพระพุทธเจ้าดับสลายตัวหรือเปล่า

ก็เป็นอันว่าพระวรกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น ทุกอย่าง เหมือนกับเราเรา เมื่อพระพุทธเจ้าดีกว่าเรา แต่แล้วสรีระร่างกายของท่านก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย มีความทุกข์ของขันธ์ ๕ แต่จิตท่านไม่ทุกข์ เพราะอะไร ก็เพราะว่ามันเป็นกฎธรรมดา แล้วมาดูร่างกายของเราที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ อาการ ๓๒ มันมีการเคลื่อนไหวเข้าไปหาความตายเป็นปรกติ ประสบกับอารมณ์ที่ฝืนใจอยู่เสมอ อาการทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นความสุขหรือความทุกข์ ความแก่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ การป่วยไข้ไม่สบายเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ การกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ความตายเข้ามาถึงเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ถ้าให้ผมตอบ ผมพูดคนเดียวนี่ พูดคนเดียวไม่มีใครขัดคอ ผมก็ต้องตอบว่าอาการทั้งหลายเหล่านี้ ทั้งหมดมันเป็นทุกข์ มันหาความสุขไม่ได้ เมื่อมันเป็นทุกข์ ทำไมจึงทุกข์ ทำไมเราจึงต้องเกิด ที่เราต้องเกิดมานี่ก็เพราะอาศัยตัณหาเป็นสำคัญ ตัณหาอยากรัก ตัณหาอยากโลภ ตัณหาอยากโกรธ ตัณหาอยากหลง ตัณหาอยากรักก็คืออยากมีคู่ครอง ตัณหาอยากโลภก็อยากมีทรัพย์สินให้มันมาก เป็นคนมีวาสนาบารมีสูงส่ง ตัณหาอยากโกรธก็เป็นคนที่มีอารมณ์ถือเนื้อถือตัวเกินไป ใครทำอะไรมาไม่ถูกใจเพราะไม่ถูกความปรารถนา ลืมจริยาของเขาว่าคนที่เกิดมาในโลกนี้มันมาหลายพวก มาจากนรกก็มี มาจากเปรตก็มี จากอสุรกายก็มี จากสัตว์เดรัจฉานก็มี จากพรหมก็มี จากเทวดาก็มี เมื่อคนที่มาจากต่างแดนอย่างนี้จะมีจริยาเหมือนกันไม่ได้ เพราะต้องเป็นไปด้วยอำนาจกฎของกรรม เราไม่ได้คิด ไม่ได้คิดถึงข้อนี้ คิดแต่อย่างเดียวว่าอะไรถ้าไม่ถูกใจเรา เราก็โกรธ อย่างนี้มันเป็นตัณหา เขาเรียกตัณหาโกรธ

ตัณหาหลง มันหลงยังไง หลงว่ากายของเรามันดีวิเศษเสียหมด มันจะต้องไม่แก่ มันจะต้องไม่ปวด มันจะต้องไม่ตาย คนที่เรารัก สัตว์ที่เรารัก วัตถุที่เรารักมันจะต้องทรงตัว อยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัย อันนี้ก็เป็นตัณหาอีก ตัณหาหลง ถ้าเราจะไม่หลง มันจะทำยังไง ก็คิดหาความจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจัากล่าวว่า ทุกข์เกิดขึ้นเพราะตัณหา วิธีที่จะตัดตัณหาก็ต้องใช้มรรค ๘ ย่อลงเหลือ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อันดับแรกทรงศีลให้บริสุทธิ์ เมื่อทรงศีลบริสุทธิ์จริงๆ ศีลเป็นเอกัคตารมณ์ ถ้าทรงศีลบริสุทธิ์ได้โดยอาศัยความเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ อันนี้เราก็เป็นพระโสดาบัน เข้าถึงกระแสพระนิพพานแล้ว

ต่อไปสมเด็จองค์พระประทีปแก้วให้ทรงสมาธิ อารมณ์ตั้งมั่นคิดว่าตายแน่หนอ ชีวิตไม่อยู่ความรักในเพศไม่มีความหมาย ความโกรธไม่มีความหมาย ตั้งใจไว้ในพรหมวิหาร ๔ เอากายคตานุสติ กับมรณานุสติ ทั้งสองประการนี้บวกกัน เห็นว่ามันไม่ใช่ดินแดนที่จะทรงการตั้งมั่น ไม่ใช่สถานที่ที่จะยึดมั่นไว้ได้ ไม่ช้าก็ตาย จนกระทั่งกำลังใจของเราหมดจากความรักในระหว่างเพศ หมดจากความโกรธ เพราะกายคตานุสตินี่มันสร้างความรังเกียจในร่างกาย จนกระทั่งจิตใจเห็นคนทั้งหลาย เห็นสัตว์ทั้งหลายเหมือนกับซากศพ เมื่อพบกับอารมณ์ที่เราไม่ถูกใจ ให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเขา ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของคนมีกิเลส อันนี้องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ถือว่า ท่านผู้นี้เป็นพระอนาคามี แล้วในที่สุดกำลังของเรานี้ก็ตัดมานะ ความถือตัวถือตน เพราะว่าการถือตัวถือตนไม่ใช่ความดี เป็นปัจจัยของความทุกข์ ไม่ใช่สายของความสุข อารมณ์จิตคิดอย่างเดียวคือเราต้องการดับ ดับเสียทั้งหมด สักกายทิฏฐิ การถือว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา เราดับ เรายอมรับนับถือว่ามันไม่ใช่และในไม่ช้ามันก็พัง วิจิกิจฉา ความสงสัยในองค์สมเด็จพระจอมไตรไม่มี เพราะใช้ปัญญาพิจารณาแล้วว่าเป็นของจริง ดับความสงสัย สีลพตปรามาส การลูกคลำศีลไม่มี มีความมั่นในศีล ไม่สงสัยในศีล ยืดมั่น ดับอารมณ์ที่ไม่มั่นในศีลเสีย

แล้วก็กามราคะก็ดับไว้ด้วยกายคตานุสติ อสุภกรรมฐาน แล้วก็ความโกรธ ความพยาบาทนั้น ดับเสียด้วยความเมตตาปรานี คือ พรหมวิหาร ๔ การหลงในฌานทั้ง ๒ ประการ คือรูปฌาน และอรูปฌานไม่มี คิดว่าความดีไม่ได้อยู่แค่นั้น

ต่อไปก็ดับความถือตัวถือตน ดับอารมณ์ฟุ้งซ่านที่คิดว่ายังไม่ต้องไปนิพพานเถอะเพราะแค่พระอนาคามีก็พอ เราไม่คิดอย่างนั้น คิดว่าชีวิตินทรีย์ยังทรงอยู่ จะไม่ยอมให้เวลาทำความดีที่มีนี้ โอกาสที่จะสร้างความดีให้หมดจด จะทำให้หมดไปในเมื่อลมปราณยังมีอยู่ ต่อมาก็ยอมรับนับถือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมครูคือ ฉันทะ ตัดเสีย ดับฉันทะคือความพอใจในมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ราคะเราก็ดับเสีย คือเห็นว่ามนุษย์สวย เทวดาสวย พรหมสวย ไม่มี เพราะดินแดนทั้งหลายเหล่านี้เป็นดินแดนแห่งความทุกข์หาความสุขไม่ได้ สิ่งที่เราต้องการก็คือพระนิพพาน อารมณ์ใจยึดมั่นถือมั่น หมายความว่าตั้งใจเฉพาะนิพพานมีอารมณ์เป็นสุข จนกระทั่งอารมณ์ทรงอุเบกขาคือความวางเฉย เฉยต่ออารมณ์ต่างๆ ที่มากระทบใจ เฉยต่ออาการทั้งหลายที่เข้ามากระทบจิตใจ ใจสบายเป็นสุข ชื่อว่าเราเข้าเขตแดนของความหมดทุกข์ที่เรียกกันว่าพระอรหันต์

เพียงเท่านี้ บรรดาพระโยคาวจรทุกท่าน อนุสติทั้ง ๑๐ ประการถ้าทรงได้จริงๆ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง อุบาสกอุบาสิกา พระภิกษุสามเณร ท่านทั้งหลายก็จะมีกำลังใจพ้นทุกข์ มีแต่ความสุขคืออารมณ์เข้าถึงพระนิพพาน

เวลานี้หมดเสียแล้วนี่ท่าน ขอลาก่อน ขอท่านทั้งหลายจงบรรลุธรรมที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัส ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าถึงธรรมนั้นโดยฉับพลัน สวัสดี


ที่มา: http://board.palungjit.com


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: