เคราะห์กรรมของคนช่างนินทา
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เคราะห์กรรมของคนช่างนินทา  (อ่าน 1511 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« เมื่อ: ธันวาคม 26, 2010, 01:44:04 pm »

เรื่องโดย วารี

คุณเคยได้ยินกลอนบทนี้ของท่านสุนทรภู่บ้างไหม
“อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน แค่องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา”
แม้คำนินทาจะอยู่คู่โลกทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ดิฉันก็ไม่คิดว่าการพูดนินทาคนอื่นจะเป็น “กรรม” หนักหนาสาหัสอะไร เพราะใครๆก็คงเคยพูดนินทาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจกันมาบ้าง
ครั้งหนึ่งดิฉันเคยไปฟังพระเทศน์เกี่ยวกับการนินทา พระท่านเป็นผู้มีความรู้ จึงคิดบัญญัติศัพท์เกี่ยวกับการนินทาด้วยคำชวนหัวว่า นินทาวิทยา ( Gossipology ) ตามความหมายและคำแปลจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานให้ความหมายว่า นินทาคือ “คำติเตียนลับหลัง”
แต่พระท่านว่า หากพิจารณาจากที่ไปที่มาและสภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่ในสังคมอาจหมายรวมไป ถึงการตำหนิ เพราะผู้พูดไม่ชอบใจ ผู้พูดไม่สบอารมณ์ และไม่ตำหนิต่อหน้าหรือไม่ได้ว่ากล่าวตักเตือนต่อหน้า แต่กลับนำเรื่องของเขาไปตำหนิลับหลัง ทั้งๆที่เขาเป็นคนดี ทั้งๆ ที่เขาทำดีอยู่แล้ว เพราะการนินทาหมายถึง การเล่าเรื่องในทางที่ไม่ดี เล่าเรื่องในแง่ที่ไม่ดีของคนอื่นลับหลัง หรือนำเรื่องที่ไม่ดีของบุคคลที่สองไปเล่าต่อบุคคลที่สาม เพื่อให้ผู้ถูกเล่านั้นได้รับความเสียหายอับอาย เสื่อมเสียชื่อเสียง เสียเกียรติ เสียความเคารพนับถือ แม้เรื่องที่เล่านั้นอาจไม่เป็นจริง และรวมถึงเรื่องนั้นเป็นจริง แต่เป็นเรื่องที่ไม่ควรนำไปเล่าต่อที่สาธารณะหรือกับบุคคลอื่น เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องเฉพาะส่วนบุคคล เป็นเรื่องภายในครอบครัว
เพราะท่านยังว่า พฤติกรรมของคนช่างนินทานั้น ทุกคนโปรดเข้าใจไว้ด้วยว่า มิใช่เป็นพฤติกรรมของคนที่มีความสุข เพราะไม่ได้เกิดจากจิตที่มีคุณธรรมเป็นเครื่องปรุงเครื่องผสม หากแต่เป็นเชื่อของกิเลสชนิดหนึ่งเป็นตัวกระตุ้น แล้วทำใจให้เศร้าหมอง ขุ่นมัว ทุรนทุรายอยากว่าร้าย ใส่ร้ายคนอื่น จนแสดงอาการออกมา
นอกจากนั้น การนินทาถือเป็นการทำผิดศีลอีกด้วย ดิฉันรับรู้รับฟังเรื่องการนินทาว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่ไม่เคยคิดว่าจะนำพาเคราะห์กรรมหนักหนามาให้ จนกระทั่งวันหนึ่ง ดิฉันก็ได้ประสบกับเหตุการณ์นั้นแบบต่อหน้าต่อตาด้วยตัวเอง
เพื่อนบ้านของดิฉันชื่อคุณมารศรี อายุ ราว 50 ปลายๆ เธอเปิดร้านของของชำอยู่ใกล้บ้านของดิฉัน ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าคุณมารศรีเป็นคนช่างคุย ช่างเมาท์และช่างนินทาเป็นที่หนึ่งของหมู่บ้าน หากใครอยากรู้เรื่องอะไรของใครก็จะเข้าไปกระแซะถามจากคุณมารศรี เธอก็จะเล่าได้เป็นคุ้งเป็นแคว หลายครั้งเรื่องราวที่เธอเล่าไม่ได้เป็นความจริงเลยสักนิด แต่เมื่อเธอใส่สีตีไข่เข้าไป คนที่ได้ฟังก็นำไปเล่าต่อๆกัน นำความเดือดร้อนมาสู่คนที่เธอนินทาอยู่เนืองๆ
แม้เธอจะทำตัวเป็นกรมกระจายข่าวที่ช่วยให้คนอื่น “ทันเหตุการณ์” แต่กลับไม่มีใครรัก นับถือ ชื่นชมเธอเลย มิหนำซ้ำ คนช่างนินทาอย่างเธอก็ถูกคนอื่นนินทาเอาเหมือนกัน
คุณมารศรีแต่งงานอยู่กินกับสามีมาหลายปี แต่ก็ยังไม่มีลูกเมื่ออายุเข้าใกล้วัยกลางคน สามีของคุณมารศรีจึงขออนุญาตภรรยาเพื่อไปบวชเป็นพระตลอดชีวิต บวชอยู่หลายปี ในที่สุดก็ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสของวัดซึ่งมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
เพื่อนบ้านบอกว่า พระรูปนี้นำเอาข้าวของที่ผู้มีศรัทธานำมาถวายท่านมาให้คุณมารศรีผู้เป็น ภรรยาขายที่ร้านขายของชำ สังเกตได้จากข้าวของที่นำมาขายนั้นมักเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่ผู้คนนิยมนำ ไปถวายพระนอกจากนี้ บางครั้งคุณมารศรียังเผลอเล่าในเชิงอวดว่า ตัวเองมีกินมีใช้ ไม่ลำบากอะไร เพราะมีบุญเก่า มีคนช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูอยู่
แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าการนำข้าวของที่คนอื่นถวายพระมาขายเพื่อนำเงินมาใช้ส่วน ตัวเป็นสิ่งที่ผิด แต่คุณมารศรีก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ระยะหลังๆ ถ้าหากใครถามเรื่องนี้ เธอมักจะบอกว่า ที่วัดไหนเขาก็ทำกัน ขายของได้เธอก็นำเงินไปถวายวัดนั่นแหละ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วไม่สามารถมีใครรู้ได้ว่าเธอนำเงินไปถวายวัดอย่าง ที่พูดจริงหรือไม่
แล้ววันหนึ่ง เหตุการณ์ร้ายก็เกิดขึ้นกับคุณมารศรีโดยไม่ทันตั้งตัว
หนึ่งเดือนหลังจากที่คุณมารศรีเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคหัวใจอยู่ดีๆ ระหว่างที่เธอกำลังยืนคุยอยู่กับดิฉัน เธอก็เป็นลมล้มพับลงไปต่อหน้าต่อตา เมื่อดิฉันพาไปหาหมอจึงพบว่า เธอมีอาการหลอดเลือดในสมองตีบ คุณหมอบอกว่า คนที่ป่วยเป็นโรคนี้มักจะมีอาการชาหรืออ่อนแรงครึ่งซีกทันทีทันใด ซ้ำร้ายไปกว่านั้น กล้ามเนื้อของคุณมารศรีก็ยังยึด ทำให้ร่างกายบิดเบี้ยวผิดรูปผิดร่าง
ปากที่เคยค่อนแคะ นินทาคนอื่นมานักต่อนักของคุณมารศรีบิดเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ดูแล้วน่าเกลียดน่ากลัว คล้ายคนกำลังร้องไห้โหยหวนไม่มีผิด แม้คุณมารศรีจะพยายามรักษาด้วยการไปหาทั้งหมอพื้นบ้าน หมอแผนปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาอาการแขนขาอ่อนแรง ชาครึ่งซึก พูดไม่ชัด และปากเบี้ยวให้หายขาดได้
เพื่อนบ้านได้แต่มองคุณมารศรีอย่างสังเวช ต่างพูดกันว่า นี่คงเป็นผลกรรมจากการที่ชอบนินทาคนอื่น มิหนำซ้ำยังนำข้าวของที่คนอื่นถวายวัดมาขาย นำเงินเข้ากระเป๋าตัวเองอีกด้วย ผลกรรมที่ทำไว้จึงรุนแรง ทำให้ได้รับผลอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ดิฉันได้ประสบมากับตัว จึงสามารถบอกได้ว่าคำพูดของคนเรามีอานุภาพมาก ดังนั้นจะคิด พูด ทำสิ่งใด เราต้องมีความระมัดระวัง อย่าประมาทว่า “เป็นแค่เพียงคำพูด”
เพราะไม่เช่นนั้นก็อาจประสบกับเคราะห์กรรมอย่างคุณมารศรีก็เป็นได้


ที่มา www.kanlayanatam.co m


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: