ชีวจิตกับการใช้ความรัก "บำบัดโรค"
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่14"
พฤศจิกายน 23, 2024, 05:40:20 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวจิตกับการใช้ความรัก "บำบัดโรค"  (อ่าน 1611 ครั้ง)
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« เมื่อ: มีนาคม 04, 2009, 07:02:25 pm »

ชีวจิตกับการใช้ความรัก "บำบัดโรค" (มติชนรายวัน)


เราคงเคยได้ยินว่าหากผู้ป่วยที่กำลังเป็นโรคร้ายไม่ว่าจะเป็นโรคเอดส์ หรือโรคมะเร็ง เมื่อได้รับกำลังใจก็จะช่วย ต่อชีวิตของพวกเขาให้ยืนยาวขึ้น "กำลังใจ" ที่ผู้ป่วยได้รับส่วนใหญ่เกิดจากความรักจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นจากคนรัก ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ฯลฯ ซึ่งทำให้คนที่กำลังเจ็บป่วยมีความสุข มีจิตใจที่เข้มแข็ง พร้อมที่จะต่อสู้กับปัญหา และอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ความรัก จึงเป็นเหมือนน้ำทิพย์ ที่มีสรรพคุณมากกว่าที่เราจะคาดคิด

เคยมีคนอธิบายว่า เหตุใดความรักจึงสามารถช่วยให้โรคหายเร็วหรือยืดชีวิตของคนป่วยได้ ถ้าเรามองอย่างผิวเผิน ก็จะได้รับคำตอบที่ว่า เพราะความรักเป็นพลังที่สำคัญ ที่ทำให้คนที่ถูกรัก รู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีคุณค่าและมีความหมาย เมื่อรู้สึกอย่างนี้ก็จะมีกำลังใจ คลายความกังวลต่างๆ ลงไป ร่างกายก็จะกลับมาต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้

มีตัวอย่างของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งติดเชื้อเอชไอวีจากสามี เมื่อเธอรู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้ายนี้ก็เริ่มวิตกกังวล จนในที่สุดภูมิต้านทานก็ลดลงเรื่อยๆ จนเข้าสู่ภาวะเอดส์ เนื่องจากโรคต่างๆ รุมเร้า เมื่อคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพ่อ-แม่ และลูกๆ รู้ก็ให้กำลังใจให้ต่อสู้ชีวิต ในที่สุดเธอก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเพียงผู้ติดเชื้อที่สุขภาพร่างกายเหมือนกับคนธรรมดา

ความรักและการยอมรับจึงเป็นเหมือนยาชูกำลัง ยารักษาโรคเอดส์ที่ได้ผลดีที่สุดจึงเป็นยาที่ชื่อว่าความรัก เช่นเดียวกับโรคร้ายอื่นๆ ที่คนไข้ได้รับความรักความเข้าใจ เขาก็จะหายจากโรคต่างๆ นั้นเร็วกว่าปกติ

ในทางวิทยาศาสตร์อธิบายว่า เหตุที่ความรักสามารถช่วยบำบัดโรคได้นั้น เพราะความรักช่วยส่งเสริมให้การรักษาเป็นไปได้ง่ายขึ้น หายเร็วขึ้น เนื่องจากสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทที่เรียกว่า Endorphin และ Oxytocin ออกมาทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานช้าลง ส่งผลให้ระบบภูมิต้านทานดีขึ้น สาร Endorphin ยังสามารถลดความเจ็บปวดได้ โดยพบว่าผู้ป่วยที่โดนมีดบาดหากมีคนรักมาคอยปลอบโยนร่างกายจะหลั่งสาร Endorphin ออกมา เพื่อปิดกั้นสัญญาณความเจ็บปวดที่จะส่งถึงสมองจึงเป็นผลให้ลดความเจ็บปวดลงไปได้

มีนายแพทย์ท่านหนึ่งเคยเล่าประสบการณ์จากการสังเกตคนไข้ที่มีอาการป่วยแบบเดียวกัน การรักษาแบบเดียวกัน แต่ปรากฏว่า คนไข้ที่มีคนรักคอยดูแลอยู่ตลอดเวลาจะมีอัตราการหายป่วยเร็วกว่าคนไข้ที่ไม่มีคนรักมาคอยดูแล

รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมแสดงความรักและปรารถนาดีต่อกัน เริ่มตั้งแต่ตอนที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เพราะจะเป็นยาชั้นเลิศที่ทำให้คนได้รับมีความสุข ส่วนคนที่กำลังเจ็บป่วยจำเป็นต้องแสดงออกทั้งการพูดและการกระทำไปพร้อมๆ กัน เริ่มตั้งแต่แสดงออกให้เห็นถึงความเอื้ออาทรทางแววตา การกอด การสัมผัสซึ่งเป็นอวัจนภาษาที่ดีในการเพิ่ม ภูมิต้านทานได้ การพูดจาด้วยถ้อยคำไพเราะ นุ่มนวล ก็ทำให้ ผู้ฟังรู้สึกว่าได้รับความรักได้เช่นกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ถูกรักอบอุ่นใจ สงบลง ระบบภูมิต้านทานร่างกายมีการฟื้นตัว ได้ดีขึ้น ส่งผลให้การตอบสนองต่อการรักษาดีขึ้นด้วย



เคล็ด (ไม่) ลับ ใช้ความรักบำบัดโรค

"โรค" ในที่นี้ อาจจะไม่ใช่โรคเมื่อตอนที่คนรักเจ็บป่วยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นโรคทางใจที่ทำให้ คนรักซึมเศร้าเหงาหงอย หรือแปลกไปกว่าปกติ จำเป็นที่จะเติมความรักลงไปได้เช่นกัน

 1. ให้กำลังใจ การให้กำลังใจอาจแสดงออกได้หลายวิธี ทั้งจากการพูดจาและการกระทำ (อย่างจริงใจ) โดยเฉพาะเมื่อคนที่เรารักกลายเป็นคนป่วย (คนป่วยส่วนใหญ่มักต้องการให้คนเอาใจ และขี้ใจน้อยได้ง่ายกว่าปกติ) จำเป็นต้องเพิ่มความเอาใจใส่ยกกำลังสอง เช่น ปลอบโยนเกี่ยวกับโรคที่เป็นว่าจะต้องหาย ต้องอยู่กับเราไปนานๆ การที่เราพูดแบบนี้ จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า และทำให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ทำให้มีกำลังใจในการต่อกรกับโรคร้าย

 2. ไม่โดดเดี่ยว อย่าแสดงกิริยาอาการว่าเบื่อคนที่เรารัก โดยเฉพาะตอนที่ป่วยแล้วอ้างเหตุผลต่างๆ นานา ว่า ไม่มีเวลามาเยี่ยม ติดธุระต่างๆ หรือถกเถียงกันเรื่องการเฝ้าไข้ ต้องคอยเอาใจใส่ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด อย่าทำให้ผู้ป่วยรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะจะทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล ซึ่งมีผลต่อสุขภาพต่อผู้ป่วย ทั้งทางตรงและทางอ้อม

 3. ห่วงใย-สัมผัส พลังความรักความห่วงใยสามารถถ่ายทอดผ่านการสัมผัส การโอบกอด หรือการจับมือผู้ป่วยเพื่อให้เขารู้สึกดี รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย แน่นอนว่า จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคที่ดีเยี่ยมอีกวิธีหนึ่ง


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก   
 
คอลัมน์ วิถีชีวจิต
โดย เจสดาร์


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!