@รัฐบาลอังกฤษพ่ายสภาสูงแก้ไขกฎหมายปราบปรามการก่อการร้าย
รัฐบาลอังกฤษพยายามผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายการก่อการร้ายให้สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยว่ามีความผิดเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายได้นานถึง 42 วัน โดยไม่ต้องตั้งข้อหา
ปรากฏว่า สภาขุนนางอังกฤษ หรือสภาสูง ก็ไม่ได้ให้ความเห็นชอบ โดยเสียงส่วนใหญ่ในสภาขุนนางยืนกรานให้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้เหมือนเดิมคือ 28 วัน เดิมทีรัฐบาลอังกฤษทำท่าว่าจะไม่ยอมถอยและยืนกรานว่าจะนำเรื่องเข้าสู่สภาใหม่ แต่ล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา(14 ต.ค.) ก็ยอมถอนประเด็นนี้ออกไปแล้ว
บรรดานักวิเคราะห์ก็มองกันว่า ความพ่ายแพ้ของรัฐบาลอังกฤษในประเด็นนี้ใหญ่หลวงนัก เพราะไม่เฉพาะฝ่ายค้านเท่านั้นที่ไม่เห็นด้วยกับการขยายเวลาคุมตัวผู้ต้องสงสัยจาก 28 เป็น 42 วัน แต่สมาชิกสภาขุนนางฟากรัฐบาลเองก็มีไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วย และผลออกมาก็คือเสียงส่วนใหญ่ 309 เสียง ไม่เห็นด้วย มีแค่ 118 เสียงที่สนับสนุน พูดง่าย ๆ ว่ารัฐบาลแพ้มากถึง 119 เสียง ซึ่งเท่ากับว่ากฎหมายข้อนี้ของรัฐบาลถูกฉีกกระจุยไปแล้ว การจะนำเสนอเข้าสภาใหม่อีกครั้งโดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
จริง ๆ แล้วนี่ก็ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ครั้งแรกในประเด็นนี้ของรัฐบาลอังกฤษ เมื่อสองปีก่อนก็เคยมีการเสนอว่า จะให้ออกกฎหมายกำหนดให้คุมตัวผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายโดยไม่ต้องตั้งข้อหาได้นานถึง 90 วัน แต่ผลที่ออกมาคือคุมได้แค่ 28 วัน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการประนีประนอมอย่างที่สุดแล้วของสภาอังกฤษ จะว่าไปแล้วรัฐบาลอังกฤษใช่ว่าจะหมดหนทางเสียทีเดียว รัฐบาลสามารถใช้กฎหมายรัฐสภาบังคับให้ข้อเสนอคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้นาน 42 วันบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ แต่รัฐบาลเองตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำอย่างนั้น เพราะจะเสียเวลาและคงจะเป็นประเด็นฉาวโฉ่พอสมควรทีเดียว
@คุณครูในอังกฤษต้านหน้าที่ใหม่...ให้จับตานักเรียนที่ต้องสงสัยว่าจะมีพฤติกรรมหัวรุนแรง
ตอนนี้บรรดาคุณครูทั้งหลายในอังกฤษต่างถูกขอร้องให้จับตาดูพฤติกรรมของนักเรียน และแจ้งให้ทางการและตำรวจทราบ หากสงสัยว่านักเรียนหรือวัยรุ่นคนไหนมีแนวโน้มที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มหัวรุนแรง
นี่ไม่ใช่แค่การขอร้องกันธรรมดา แต่เป็นรายละเอียดที่บรรจุอยู่ในข้อเสนอแนะที่รัฐบาลจัดทำขึ้นและเผยแพร่ต่อโรงเรียนต่าง ๆ เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง เพราะรัฐบาลอังกฤษถือว่าโรงเรียนเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันภัยก่อการร้าย
เรื่องนี้รัฐมนตรีศึกษาธิการของอังกฤษ นายเอ็ด บอลส์ เรียกร้องให้โรงเรียนทุกแห่งหันมาถกกันอย่างจริงจังในประเด็นเรื่องการก่อการร้าย โดยคุณครูทั้งหลายถูกขอให้พูดคุยกับนักเรียนในเรื่องราวเกี่ยวกับองค์กรก่อการร้ายอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายก่อการร้ายอัลไคด้า และกลุ่มหัวรุนแรงขวาจัด ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทำที่มีการใช้ความรุนแรงในหมู่นักเรียน วัยรุ่นที่ชอบเอาใจออกห่างสังคมและสนใจไปเข้ากับกลุ่มที่ไม่เหมาะสม
แต่การที่จะให้คุณครูลุกขึ้นมาพูดเรื่องเครือข่ายก่อการร้ายโดยไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเลยก็คงจะยากลำบากเหมือนกัน รัฐบาลอังกฤษก็เลยกำหนดแนวทางมาให้ เช่นว่า จะเริ่มต้นคุยกับนักเรียนอย่างไรในชั้นเรียนไม่ให้เป็นการปลุกเร้าความรุนแรง รวมทั้งมีเสนอแนะเพิ่มด้วยว่า ให้เชิญบรรดาอิหม่ามที่เป็นคนที่เกิดในอังกฤษมาคุยกับนักเรียน และให้ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนได้มีสิทธิ์เต็มที่สามารถแสดงความเห็นได้อย่างเสรี และจากจุดนี้เองที่จะทำให้ครูจับตาดูได้ว่านักเรียนคนไหนที่พกพาค่านิยมแห่งเกลียดชังเอาไว้
ประเด็นที่ก่อให้เกิดการถกเถียงมากที่สุดตอนนี้คือ การขยายความรับผิดชอบของครูซึ่งเป็นคนที่ดูแลเด็กตอนอยู่ในโรงเรียน หรือพูดง่าย ๆ ว่าตอนที่พ่อแม่ไม่อยู่ด้วยให้เป็นคนจับตาดูว่าเด็กคนไหนมีความคิดหัวรุนแรง และให้แจ้งทางการทราบ หากเห็นว่าเด็กมีพฤติกรรมน่าห่วง โดยหน่วยงานที่จะแจ้งได้ก็มีตั้งแต่หน่วยงานสังคมสงเคราะห์ เจ้าหน้าที่แรงงานชุมชนและตำรวจ
จริง ๆ แล้วมาตรการป้องปรามการชักชวนวัยรุ่นเข้าไปพัวพันกับการก่อการร้ายนั้นไม่ใช่เพิ่งจะเริ่มใช้กับโรงเรียน ก่อนหน้านี้รัฐบาลอังกฤษเคยมีการออกข้อเสนอแนะในทำนองเดียวกันนี้ให้ครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัยทำมาแล้วเหมือนกัน แต่มีเสียงก่นด่าตามมาจากสหภาพแรงงานอาจารย์ในมหาวิทยาลัยว่า ทำให้ครูอาจารย์ต้องทำตัวเหมือนเป็นสายลับคอยรายงานพฤติกรรมนักศึกษาที่ตัวเองสอนอยู่ ต่อมามีการแก้ไขข้อเสนอแนะที่ระบุให้จับตาเด็กนักศึกษามุสลิมเป็นพิเศษ ให้เป็นคอยดูนักศึกษาที่มีแนวคิดหัวรุนแรงทั้งหมด
สำหรับครูทั้งหลายไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ต้องมาจับตานักเรียนของตัวเอง ก็ออกมาให้สัมภาษณ์เช่น เลขานุการทั่วไปของสมาคมครูและอาจารย์บอกว่า ครูมีหน้าที่ดูแลเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กนักเรียนเข้าไปพัวพันกับพฤติกรรมผิดกฎหมายในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งอาจทำลายอนาคตของเด็กได้ แต่ว่าครูไม่ได้ถูกสอนมาให้รับมือกับพวกหัวรุนแรงซักหน่อย
ส่วนรักษาการเลขานุการทั่วไปของสมาคมครูแห่งชาติก็ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เพื่อให้เป้าหมายของรัฐบาลในเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ ในโรงเรียนเองต้องสร้างบรรยากาศแห่งความไว้เนื้อเชื่อใจกันก่อน ซึ่งแน่นอนว่าครูคงไม่อาจเพิกเฉย เมื่อเห็นพฤติกรรมที่ชัดเจนว่านักเรียนมีแนวโน้มจะเข้าพวกหัวรุนแรง แต่ก็จำเป็นที่ครูจะต้องยอมให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นเต็มที่
ในระหว่างที่จัดให้มีการถกเถียงกันในเรื่องนี้ และไม่ใช่ว่าพอนักเรียนพูดอะไรไปแล้วครูจับไปรายงานทั้งหมดว่า เด็กมีพฤติกรรมเข้าข่ายหัวรุนแรง จุดนี้เองที่เป็นประเด็นเหมือนกันว่า ครูจะตัดสินอย่างไรโดยปราศจากอคติ
@นโยบายทำบัตรประชาชนให้คนอังกฤษก็ยังถูกต้านไม่เลิก
เมื่อครั้งที่รัฐบาลอังกฤษประกาศใหม่ๆว่า มีนโยบายจะออกบัตรประชาชนให้คนอังกฤษใช้เป็นหลักฐานแสดงตนก็มีเสียงโวยวายมากพอสมควรแล้ว ล่าสุดนโยบายเรื่องนี้ดูจะวิกฤตยิ่งขึ้นทุกขณะ
รัฐบาลอังกฤษมีแผนจะออกบัตรประชาชนให้กลุ่มคนบางกลุ่มก่อนในช่วงเริ่มต้นนี้ เช่น พนักงานที่สนามบินและนักศึกษา ทำให้บรรดานักบินของสายการบินต่าง ๆ กว่าหมื่นคนประกาศว่า จะดำเนินมาตรการทางกฎหมายเพื่อสกัดกั้น
เรื่องนี้ ขณะที่ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และหน่วยงานเทศบาลที่เจ้าหน้าที่จะต้องทำบัตรประชาชนด้วยนั้นก็ออกมาโวยวายเหมือนกัน ซึ่งอาจจะทำให้แผนของรัฐบาลที่จะเริ่มนำระบบการใช้บัตรประชาชนมาใช้ในอังกฤษนั้นต้องพบกับอุปสรรคใหญ่หลวงเสียแล้ว
เดิมทีรัฐมนตรีมหาดไทยอังกฤษหวังว่านโยบายทำบัตรประชาชนนี้จะได้เสียงสนับสนุนจากประชาชน โดยชี้ให้เห็นว่ามีความจำเป็นต่อนโยบายปราบปรามการก่อการร้ายของรัฐบาล แต่ปรากฏว่าสมาคมนักบินสายการบินอังกฤษ และสภาแรงงานต่างยืนกรานว่าบัตรประชาชนไม่ได้ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้สนามบิน หรือช่วยต่อสู้กับพวกก่อการร้ายได้เลย และยังเกรงว่ารายละเอียดส่วนตัวที่ปรากฏอยู่บนบัตรของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานที่สนามบินซึ่งรวมถึงนักบินด้วย อาจจะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้
ตามแผนการนั้น กระทรวงมหาดไทยอังกฤษคาดว่าจะเริ่มออกบัตรประชาชนใบแรกได้ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป และคาดว่าปลายปี2553 จะเริ่มทำบัตรประชาชนให้คนหนุ่มสาว โดยเฉพาะนักเรียน โดยจะให้ทำตามความสมัครใจก่อน จากนั้นอีกสองปี ก็จะกำหนดให้ใครก็ตามที่ขอทำพาสปอร์ตจะต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
อังกฤษเป็นประเทศที่รัฐบาลไม่สามารถบังคับให้ประชาชนต้องมีบัตรประชาชนได้ หากไม่ได้มีการลงมติในสภาก่อน อย่างไรก็ตาม นโยบายออกบัตรประชาชนก็ถูกชาวอังกฤษคัดค้านมาตลอด
นี่ถ้าไม่มีบรรดาเทศบาลท้องถิ่นซึ่งต้องการใช้บัตรประชาชนเพื่อแสดงตนสำหรับผู้ที่มาขอรับผลประโยชน์จากทางการแล้วล่ะก็ โครงการทำบัตรประชาชนให้ชาวอังกฤษคงเป็นหมันมานานแล้ว
ตอนนี้กระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าทุกอย่างยังเป็นไปตามแผนและเชื่อมั๊ยว่า ต้นทุนราคาค่าทำบัตรประชาชนอังกฤษตกหัวละ 100 ปอนด์ทีเดียว ซึ่งคงรวมค่าใช้จ่ายจิปาถะ อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องไม่เฉพาะตัวบัตรประชานอย่างเดียวเท่านั้น
@หมอฟันอังกฤษ....ฟันราคาค่ารักษาจนถูกตำหนิ
เมืองผู้ดีอะไรๆก็แพงไปหมด รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านยาด้านหมอ ที่ทางการต้องรับภาระด้วย
ที่เอ่ยมาอย่างนี้ เพราะเราจะคุยกันต่อถึงเรื่องที่ว่า หมอฟันของโรงพยาบาลในอังกฤษนั้นถูกตำหนิว่านัดชาวบ้านมาตรวจเช็คฟันก่อนกำหนด ทั้งที่ไม่มีความจำเป็น นี่ก็เป็นเพราะหมอฟันต้องการทำกำไรจากการนัดชาวบ้านมาทำฟันนั่นเอง
หน่วยงานที่ออกมาตำหนิคือ สถาบันเพื่อความเป็นเลิศทางสุขภาพและการแพทย์ของอังกฤษบอกว่า คนไข้ที่มีสุขภาพฟันดีไม่จำเป็นต้องกลับมาหาหมอฟันมากเกินไปกว่าหนึ่งครั้งต่อสองปี ฟังดูก็ออกจะขัดๆ กับคำแนะนำของหมอฟันในเมืองไทยหรือเมืองไหน ๆ ที่ว่าควรจะพบทันตแพทย์ทุก ๆ หกเดือน
หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านทันตกรรมบอกว่า มีคนไข้ที่ถูกทันตแพทย์นัดให้มาพบโดยไม่มีความจำเป็นทุก ๆ หกเดือน หรือไม่ก็ต้องจ่ายเงินเพื่ออุดฟันใหม่ ครอบฟัน หรือรักษาอย่างอื่นที่สามารถทำให้เสร็จในคราวเดียวได้...แต่กลับไม่ทำ
ตัวเลขที่รวบรวมโดยกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษพบว่า มีการนัดหมายประมาณ 8 แสนครั้ง หรือราว ๆ 1 ใน 10 ที่เป็นการนัดที่ไม่จำเป็นเลย และยังเปิดเผยตัวเลขอีกด้วยว่า ตั้งแต่มีการปรับสัญญาค่าจ้างทำฟันใหม่เมื่อสองปีมานี้เอง หมอฟันก็ฟันรายได้เพียบเลย โดยเฉลี่ยแล้วรายได้ของหมอฟันเพิ่มขึ้นมาปีละเกือบหมื่นปอนด์ จาก 87,000 ปอนด์ เป็น 96,000 ปอนด์
แต่ถ้าเป็นเจ้าของคลีนิคทำฟันเอง รายได้ก็เพิ่มมาถึงสามสิบห้าเปอร์เซ็นต์ เป็นราว ๆ 172,000 ปอนด์
น่าสนใจไปเป็นหมอฟันที่อังกฤษนะคะ รายได้งามทีเดียว ที่อังกฤษเด็ก ๆ จะทำฟันฟรี และผู้ใหญ่ในบางกรณีก็ได้รับยกเว้น ไม่ต้องจ่ายค่าทำฟันเหมือนกัน
นอกจากนี้คนไข้ทั่วไปควรจะจ่ายค่าทำฟันแค่หนเดียว แม้ว่าบางครั้งจะต้องมาหาหมอฟันหลาย ๆ ครั้ง เพื่อรักษาอาการเดียว แต่ทันตแพทย์บางคนก็ตุกติกได้ ด้วยการเลื่อนนัดเพิ่มเติมเพื่อรักษาอาการเดียวนี้ออกไปให้อยู่หลังกำหนดวันมาตรวจสุขภาพฟันใหม่อีกรอบ จะได้คิดค่าทำฟันใหม่อีก ซึ่งก็เป็นจุดที่ทำให้หมอฟันได้เงินเพิ่มขึ้น
แหล่งข่าวบอกว่า ตอนนี้กระทรวงสาธารณสุขกำลังหาทางแก้ปัญหาอยู่ ซึ่งคงไม่ถึงกับลงโทษทางกฎหมายบรรดาหมอฟัน แค่ต้องการหยุดยั้งพฤติกรรมไม่เหมาะสมของทันตแพทย์บางคนเท่านั้นเอง
แต่สมาคมทันตแพทย์อังกฤษออกมาแย้งว่าไม่พบหลักฐานว่าคนไข้ถูกนัดให้มาพบหมอฟันบ่อยเกินจำเป็น
หมายเหตุ-ติดตามซอกแซกแดนผู้ดี.ทางสถานีวิทยุศึกษา เอฟเอ็ม 92.0 หรือ
www.moeraiothai.net ทุกวันพุธวันในรายการโลกของเรา เวลา 19.30 20.00 น. รับฟังรายการย้อนหลังได้ที่
www.thaivoice.com และ
www.thaicr.org ติดต่อรายการได้ที่
sttoday@gmail.com หรือตู้ปณ.81 ดินแดง กรุงเทพ 10407