ข้อเสนอ ป.ป.ช. "ดิจิทัลวอลเล็ต" เสี่ยงทุจริต-ผิดกฎหมาย ต้องหาทางป้องกัน-รอบคอบ
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่14"
พฤศจิกายน 27, 2024, 05:13:55 am *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อเสนอ ป.ป.ช. "ดิจิทัลวอลเล็ต" เสี่ยงทุจริต-ผิดกฎหมาย ต้องหาทางป้องกัน-รอบคอบ  (อ่าน 1268 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1887
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13886


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2024, 06:35:09 pm »

มาแล้ว! ข้อเสนอ ป.ป.ช. "ดิจิทัลวอลเล็ต"
เสี่ยงทุจริต-ผิดกฎหมาย
ต้องหาทางป้องกัน-รอบคอบ
แนะ กกต.ตรวจสอบตรงตามหาเสียงหรือไม่

ป.ป.ช.แถลงข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

ชี้มีความเสียงต่อการทุจริต และ
ผิดกฎหมายทั้งรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง
ต้องหาทางป้องกันและพิจารณาให้รอบคอบ
ระบุเศรษฐกิจยังไม่ถึงขั้นวิกฤติแค่ชะลอตัว
ควรช่วยแค่กลุ่มเปราะบาง และกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างยืน
พร้อมแนะ กกต.ควรตรวจสอบ
ตรงตามที่เพื่อไทยหาเสียงไว้หรือไม่

วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2567)
นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการสำนักงาน
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ในฐานะ โฆษกสํานักงาน ป.ป.ช. แถลงต่อสื่อมวลชนว่า
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ให้ความสําคัญ
กับการดําเนินนโยบายการเติมเงิน 10,000 บาท
ผ่าน Digital Wallet ของรัฐบาล
เนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.
มีหน้าที่และอํานาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. 2561 มาตรา 32 ในการเสนอ
มาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี
รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ
หรือองค์กรอัยการในการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ
หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันหรือ
ปราบปรามการทุจริต การกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ
หรือกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ ในการยุติธรรม
ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายที่ใช้งบประมาณค่อนข้างสูง
ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนและอาจสร้างภาระการคลังในระยะยาว

ในการนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงแต่งตั้ง
“คณะกรรมการเพื่อศึกษาและดําเนินการรับฟังความเห็น
เกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท
ผ่าน Digital Wallet” เพื่อศึกษารายละเอียด
ผลกระทบ และความเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
จากการดําเนินโครงการตามนโยบายดังกล่าว
โดยได้มีการศึกษาข้อมูล ข้อเท็จจริง จากเอกสารหลักฐานต่าง ๆ
รวมถึงการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล
กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet
จากส่วนราชการและหน่วยงาน ตลอดจนนักวิชาการและ
ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า
มีประเด็นสําคัญที่ควรพิจารณา จํานวน 4 ประเด็นหลัก ๆ ได้แก่

1. ประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริต อาทิ ประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย
ความเสี่ยงต่อการทุจริตจากกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินจากโครงการฯ

2. ประเด็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ กล่าวคือ การดําเนินนโยบายของรัฐบาล
ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะสมดุล
จะต้องคํานึงถึงความคุ้มค่าและมีความจําเป็น
ตลอดจนผลกระทบและภาระทางการเงินการคลังในอนาคต
และในกรณีที่มีความจําเป็นต้องดําเนินนโยบาย
ที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือประชาชน
ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤต
ควรมีการจัดลําดับความสําคัญ
รวมถึงการพิจารณากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง
อาทิ กลุ่มที่มีรายได้ต่ํากว่าเส้นความยากจน
จึงอาจเป็นทางเลือกที่จะไม่ส่งผลกระทบทางการคลัง
โดยเฉพาะดอกเบี้ยและสัดส่วนของหนี้สาธารณะได้มากกว่า

3. ประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมาย กล่าวคือ
การดําเนินโครงการภายใต้แนวนโยบายดังกล่าว
รัฐบาลจะต้องตระหนักและใช้ความระมัดระวังอย่างเคร่งครัด
และรอบคอบภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายที่ให้อํานาจไว้
รวมทั้งแนวปฏิบัติที่ชัดเจน โปร่งใส ปราศจากการทุจริตและประพฤติมิชอบ
อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 ตลอดจนกฎหมาย
คําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

4. ประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain)
และประเด็นเกี่ยวกับการ กําหนดนโยบายของพรรคการเมือง


คณะกรรมการ ป.ป.ช.ในการประชุมครั้งที่ 15/2567
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 พิจารณาแล้ว
มีมติเห็นควรเสนอข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล
กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ต่อคณะรัฐมนตรี
เพื่อพิจารณาดําเนินการตามควรแก่กรณี
ในการป้องกันมิให้เกิดการทุจริต หรือเกิดความเสียหาย
ต่อประโยชน์ของรัฐหรือประชาชน
โดยมีข้อเสนอแนะฯ จํานวน 8 ข้อ ดังนี้

1. รัฐบาลควรศึกษา วิเคราะห์ การดําเนินโครงการตามนโยบายฯ
รวมทั้งชี้แจงความชัดเจน อย่างเป็นรูปธรรม ว่า
ผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการ จะไม่ตกแก่พรรคการเมือง
นักการเมือง หรือเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บุคคลรายใดรายหนึ่ง
หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่
ที่มีศักยภาพ มากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย
ซึ่งเป็นการดําเนินนโยบายที่อาจเข้าข่ายการทุจริตเชิงนโยบาย
รวมทั้งประชาชน ที่เข้าร่วมโครงการเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
ที่จะได้รับประโยชน์จากการดําเนินโครงการของรัฐบาลอย่างแท้จริงเช่น
เป็นผู้ที่มีรายได้น้อย หรือกลุ่มเปราะบาง พร้อมกับต้องมีขั้นตอน
และวิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนเพื่อให้สามารถ
กระจายการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

2. การหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566
และ พรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล
ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566
เกี่ยวกับโครงการดังกล่าวนั้น มีความแตกต่างกัน
สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งควรดําเนินการตรวจสอบว่า
ขัดต่อรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 หรือไม่
มาประกอบการพิจารณาด้วย มิฉะนั้น
จะเป็นบรรทัดฐานสําหรับพรรคการเมืองสามารถหาเสียงไว้อย่างไร
เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว ไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตามที่ได้หาเสียงไว้

3. การดําเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet
ควรคํานึงถึงความคุ้มค่าและความจําเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ตลอดจนผลกระทบ และภาระทางการเงิน การคลังในอนาคต
ภายใต้หลักธรรมาภิบาล 4 ด้าน คือ

ความโปร่งใส (Transparency)
การถ่วงดุล (Checks and Balances)
การรักษาความมั่นคงของระบบการคลัง (Fiscal Integrity) และ
ความคล่องตัว (Flexibility)


ซึ่งรัฐบาลจึงต้องใช้ความระมัดระวัง พิจารณาระหว่างผลดี
ผลเสียที่จะต้องกู้เงิน จํานวน 500,000 ล้านบาท
ในขณะที่ตัวทวีคูณทางการคลังมีเพียง 0.4
การกู้เงินจึงเป็นการสร้างภาระหนี้แก่รัฐบาล
และประชาชนในระยะยาว ซึ่งจะต้องตั้งงบประมาณ
ในการชําระหนี้จํานวนนี้เป็นระยะเวลา 4 - 5 ปี
กระทบต่อตัวเลข การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ

4. การดําเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet
คณะรัฐมนตรีและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง
ควรพิจารณาประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมายอย่างรอบคอบ
ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (มาตรา 172)
พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (มาตรา 53)
พระราชบัญญัติ เงินคงคลัง พ.ศ. 2491
และที่แก้ไขเพิ่มเติม (มาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 6)
พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 ตลอดจนกฎหมาย
คําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การดําเนินโครงการ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย

5. คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ควรมีการประเมินความเสี่ยงในการดําเนินโครงการ
เติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet อย่างรอบด้าน
โดยกําหนดแนวทางหรือมาตรการในการบริหารความเสี่ยง
และการป้องกันการทุจริต ตลอดจนมีกระบวนการในการตรวจสอบทั้งก่อน
ระหว่าง และหลังจากการดําเนินโครงการ
ซึ่งอาจพิจารณานําข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อง
การบูรณาการป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐ
(โดยการติดตามประเมินผลการดําเนินงาน)
ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการ
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553 มาประยุกต์ใช้
เพื่อให้โครงการเติมเงิน 10,000 บาท
ผ่าน Digital Wallet สามารถดําเนินการได้อย่างโปร่งใส
ตรวจสอบได้ และเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน
และประเทศชาติอย่างแท้จริง

6. ในการนําเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain)
 มาใช้กับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet
คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ควรพิจารณาถึงความจําเป็นและความเหมาะสม
ตลอดจนระยะเวลา และงบประมาณที่ต้องใช้ในการพัฒนาระบบ
เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และระยะเวลา
ในการดําเนินโครงการ เติมเงิน 10,000 บาท
ผ่าน Digital Wallet ซึ่งเป็นการดําเนินโครงการ
แจกเงินเพียงครั้งเดียวโดยให้ใช้จ่ายภายใน 6 เดือน

7. จากข้อมูลภาวะเศรษฐกิจของหน่วยงานต่าง ๆ
ที่ได้จากการศึกษา และตัวทวีคูณทางการคลัง
รวมถึงตัวบ่งชี้ภาวะวิกฤตที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
ได้รวบรวมและประมวลข้อมูลจากงานศึกษาของธนาคารโลกและ IMF
มีความเห็นตรงกันว่า
ในช่วงเวลาที่ศึกษาอัตราความเจริญเติบโตของประเทศไทย
ยังไม่ถึงขั้นประสบภาวะวิกฤต เศรษฐกิจ เพียงแต่ชะลอตัวเท่านั้น
ดังนั้น ในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน
รัฐบาลควร พิจารณาและให้ความสําคัญต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
เช่น การกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน การกระตุ้นการใช้จ่าย
และการลงทุนภาครัฐ การเพิ่มทักษะให้แก่แรงงาน เป็นต้น
ในกรณีที่รัฐบาลต้องดําเนินนโยบายที่มีวัตถุประสงค์ในการ
ช่วยเหลือประชาชนภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤต
ควรพิจารณากลุ่มประชาชนเป้าหมายที่เปราะบาง
ที่สุด ซึ่งต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง
ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติ
วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
อาทิ กลุ่มที่มีรายได้ต่ํากว่าเส้นความยากจน

8. หากรัฐบาลมีความจําเป็นต้องการช่วยเหลือประชาชน
รัฐบาลควรช่วยเหลือกลุ่มประชาชน ที่มีฐานะยากจน ที่เปราะบาง
ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เท่านั้น
โดยแจกจากแหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่เงินกู้
ตามพระราชบัญญัติเงินกู้ และจ่ายในรูปเงินบาทปกติในอัตราที่เหมาะสม
เพื่อพยุงการดํารงชีวิตของกลุ่มประชาชน ที่ยากจน
โดยการกระจายจ่ายเงินเป็นงวด ๆ หลายงวดผ่านระบบแอปเป๋าตังที่มีประสิทธิภาพ

และมีฐานข้อมูลครบ สามารถทําได้รวดเร็ว การดําเนินการกรณีนี้
หากใช้แหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่จากการกู้เงินตามพระราชบัญญัติ เงินกู้
จะลดความเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ
ขัดพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561 และ
ขัด พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501
ประการสําคัญไม่สร้างภาระหนี้
สาธารณะของประเทศในระยะยาว

จีงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

โค๊ด:
https://mgronline.com/politics/detail/9670000011396


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!