วันเสาร์ที่ผ่านมา ดิฉันได้นำอาหาร
ไปถวายพระสงฆ์ที่วัดใกล้บ้านเช่นที่เคย ทำทุกสัปดาห์
ปกติท่านเจ้่าอาวาสจะ เทศนาเป็นภาษาอังกฤษ
แก่ผู้ที่ภาษาไทย ไม่แข็งแรง (รวมทั้งลูกๆของดิฉันด้วย)
แต่สัปดาห์นี้ท่านตอบคำถามของคุณแม่สามีของ ดิฉัน
คุณแม่เป็นคนที่กลัวผีมาก และเพิ่งกลับจาก
ไปเที่ยว ที่Smoky Mountains, Tennessee
ท่านเล่าว่าถูกคนดึงขาถึงสองคืนที่พักอยู่ที่นั่น
พบว่าโรงแรมสร้างอยู่ข้างๆ สุสาน ท่านจึงถามว่า "ผี" มีจริงหรือไม่?
ท่านเจ้าอาวาสจึงกล่าวว่า
"อาตมามีเรื่องจะเล่าให้ฟังแล้วโยม คิดกันเอาเอง ว่า "ผี" มีจริงหรือไม่?
แล้วท่านก็เล่าเรื่องเป็นภาษาอังกฤษที่แปลเป็นไทย ได้คล้ายๆ แบบนี้
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2510 ได้มีชาวต่างชาติคนหนึ่ง
เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองไทย
ชาวต่างชาติผู้นี้มี ความนิยมชมชอบในวัฒนธรรมไทย
และยังศรัทธาใน พระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า
เมื่อมาอยู่เมืองไทยจึงชอบ ที่จะไปท่องเที่ยวตามวัดวาอารามต่างๆ
อยู่มาวันหนึ่งฝรั่งต่างชาติคนนี้ก็นั่งแท็กซี่มาที่
วัด บวรนิเวศฯแต่เช้าตรู่
รถก็พามาจอดตรงประตูทางเข้าพระ อุโบสถ
ซึ่งขณะนั้นฟ้ายังไม่สว่างประตูจึงยังไม่เปิด
และในเวลาปกติประตูตรงหน้าพระอุโบสถนี้ก็จะไม่เปิดอยู่แล้ว
นอกจากจะเป็นวันพระหรือภายในวัดมีงาน
แต่เพราะความไม่รู้ฝรั่งคนนั้นจึงยืนรออยู่บริเวณนั้น
สักพักต่อมาประตูก็เปิดออก
มีชายวัยกลางคนสวมชุดชาวทั้งชุดเดินตรงมาหาฝรั่งคนนั้น
และทักทายด้วยภาษาอังกฤษ
ถามว่า
"มายืนอยู่ทำไม"
ฝรั่งก็บอกว่า "ต้องการจะมาดูพระสงฆ์ออก บิณฑบาต"
ชายปริศนาในชุดขาวตอบว่า
"อีกนานกว่าพระจะออกมาบิณฑบาต ควรเข้าไปชมในวัดก่อนดีกว่า"
ฝรั่งก็ตกลงและเดินตามชายผู้นั้นเข้าไปในวัด
ชายปริศนานำฝรั่งเดินตรงไปเปิดประตูพระอุโบสถ พร้อมเชื้อ เชิญ
ให้เข้าไปชมความงดงามของศิลปะไทย ๆ ภายใน พระอุโบสถ
และยังอธิบายประวัติพระประธานคือ พระพุทธชินศรี
ซึ่งงดงามแบบพระพุทธชินราชที่จ.พิษณุโลก
ให้ดูพระรูปโลหะของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระมหาสมณ เจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
และสมเด็จกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
พร้อมยังเล่าประวัติให้ ฟังด้วย
เมื่อออกจากพระอุโบสถ
ชายชุดขาวก็พาฝรั่งไปชม พระพุทธรูปที่พระวิหารพระศรีศาสดา และ ที่พระเจดีย์
แล้วยังพาเดินผ่านกุฏิต่าง ๆ พร้อมบอกชื่อและความ
สำคัญของอาคารต่าง ๆ แถวนั้นอย่างละเอียด
สุดท้ายก็พาฝรั่งออกมาส่งที่นอกประตูวัด
บอกให้รอประเดี๋ยว จะมีพระบิณฑบาตผ่านมา
พูดจบแล้วชายชุดขาวก็เดินกลับเข้าไป ในวัดและปิดประตูลงดังเดิม
ฝรั่งชาวต่างชาติผู้นี้ ในภายหลัง ด้วยความศรัทธา
ในพระพุทธศาสนา จึงได้มาขอบวชกับ
สมเด็จพระญาณสังวรเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศฯ
และด้วยความที่ยังติดใจอยู่ กับชายปริศนาในชุดขาวที่เคยพาเที่ยวชมวัดบวรฯ
จึง พยายามตามหาอยู่ตลอด เพราะคิดว่าชายคนนั้นคงอาศัย อยู่ภายในวัด
แต่หลังจากพยายามตามหาเท่าไรก็ยังหาไม่พบ แม้
จะถามหาจากใครหลายคนที่เป็นคนเก่าแก่
และพระสงฆ์องค์เจ้าก็ไม่เคยมีใครรู้จัก
หรือพบเห็นชายในลักษณะดังกล่าวเลย
รูปการณ์นี้จึงมีการสันนิษฐานกันว่า
ชายคนดังกล่าวน่าจะเป็น"เทพ" ที่สถิตอยู่ในวัดบวรฯ
เพราะมีพฤติการณ์หลายอย่างที่ประหลาด
อย่างแรกก็คือ ประตูพระอุโบสถนั้นจะมีผู้ถือกุญแจอยู่ประจำ
ซึ่งไม่ใช่ชายในลักษณะดังกล่าว
และประการสำคัญประตูที่กำแพงวัด
กับประตูพระอุโบสถนั้นจะไม่มีการเปิดในเวลานั้นเด็ดขาด
ที่น่าอัศจรรย์คือ วิธีการเปิดประตูของชายคนนั้นไม่
ได้ใช้กุญแจแต่เป็นการผลักเข้าไปเฉยๆ ทั้ง ๆ ที่
ความเป็นจริงประตูทุกบานจะลั่นกุญแจไว้เสมอ
ฉะนั้นคน ธรรมดาไม่อาจถือวิสาสะเปิดเข้าไปได้แน่นอน
คนที่ทำเช่นนี้ได้เห็นจะมีแต่"เทพยดา" และผู้มีฤทธิ์เท่านั้น
จากประสบการณ์ที่พบเห็นเรื่องราวน่าประหลาด ของภิกษุหนุ่มชาวต่างชาติ
จึงเป็นเหตุให้ต่อมาเขาได้อุทิศ เวลา และความตั้งใจศึกษาปฏิบัติพระกรรมฐาน
เพื่อให้ได้ สมาธิชั้นสูง โดยหวังว่าวันหนึ่งคงได้พบชายชุดขาวนั้นอีกครั้ง
ซึ่งสำหรับผู้ปฏิบัติแล้วไม่เกินวิสัยที่สามารถทำได้ทั้ง เด็กและผู้ใหญ่
ดิฉันคัดลอกบทความนี้มาจาก "เทพ" และ "ผี"
ที่วัดบวรนิเวศฯคิดว่าหลายๆ ท่านอาจจะเคยได้ยินหรือได้อ่านมาก่อน
เพราะเรื่องเคยตีพิมพ์ในนิตยสารศรีสัปดาห์นาน มาแล้ว
ดิฉันนำเรื่องนี้มาเล่าอีกครั้ง ก็ เพราะว่า
ในระหว่างที่เล่า ท่านเผลอใช้
สรรพนามว่า "I"อยู่หลายครั้ง ก็เลย จับได้ว่าท่านคือ "ฝรั่ง"
เจ้าของเรื่อง ตัวจริง!
จึงได้ฟังรายละเอียดต่อ
ว่าไม่เพียงแต่ท่านได้ชมวัด หากแต่ได้ฟังประวัติของวัดบวรฯ โดยละเอียด
ท่านเล่าว่าชายในชุดขาว (ใส่โจงกระเบนแบบแขก ยาม) บอกกับท่านว่า
จริงๆ แล้ววัดบวรฯเป็นวัดสองวัด โดยชายชุดขาวเรียกอีกวัดหนึ่งว่า "วัดเหนือ"
พร้อมทั้ง แสดงความผิดหวังที่ไม่มีการบูรณะซ่อมแซมในส่วนนั้น เลย
ท่านเล่าว่า ท่านได้พักอยู่ที่คณะสูง
โดยอยู่ในความดูแลของพระขันติปาโล(พระภิกษุชาวอังกฤษ) ถึงสามสัปดาห์
เมื่อท่านเอ่ยถามเรื่องชายในชุดขาว
สมเด็จพระ ญาณสังวร(เป็นเจ้าคุณพระสาสนโสภณ ในขณะนั้น)
ก็ได้เรียกให้ไปพบ
และเมื่อท่านเล่าเรื่องจบพร้อมทั้งบอกเรื่อง
ที่ชายในชุดขาวผิดหวัง
สมเด็จฯได้เอารูปภาพหลายๆ ภาพให้ท่านดู
ท่านก็ได้พบชายในชุดขาวในภาพๆ หนึ่ง
ซึ่งต่อมา ก็ได้รู้จักชื่อของชายในชุดขาวที่พูดภาษาอังกฤษ
ได้คล่องแคล่วว่า "King Rama 4 Th "
หรือคนไทยรู้จักท่าน ในชื่อ
"พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯรัชกาลที่ ๔"
ผู้ทรงก่อตั้ง"คณะธรรมยุตินิกาย" ที่วัดบวรนิเวศวิหาร แห่งนี้