หัวข้อ: โมลาส (Molasses) คืออะไร เริ่มหัวข้อโดย: ช่างเล็ก(LSV) ที่ ตุลาคม 29, 2016, 11:36:03 am โมลาส(Molasses)หรือ กากน้ำตาล คืออะไร?
(http://www.108kaset.com/up-pic/2559/10-59/molas_102959_01.jpg) (http://www.leksound.net/picture/53/tria.gif)โมลาส (Molasses) มีรากศัพท์มาจากคำว่า Melaco ในภาษาโปรตุเกสหรือที่คนไทยเรียกกันว่า กากน้ำตาล กากน้ำตาลเป็นของเหลวลักษณะเหนียวข้นสีน้ำตาลดำ ที่เป็นผลพลอยจากการผลิตน้ำตาลทราย ซึ่งไม่สามารถจะตกผลึกน้ำตาลได้อีก เป็นเนื้อของสิ่งที่ไม่ใช่น้ำตาลที่ละลายปนอยู่ในน้ำอ้อย ซึ่งประกอบด้วยน้ำตาลซูโครส น้ำตาลอินเวอร์ท (invert sugar) และสารเคมี เช่น ปูนขาว ที่ใช้ในการตกตะกอนให้น้ำอ้อยใส (http://www.108kaset.com/up-pic/2559/10-59/molas_102959_03.jpg) (http://www.leksound.net/picture/53/tria.gif) ในการผลิตน้ำตาลทรายขาวแต่ละครั้งจะให้โมลาสมีสีและความเข้มข้นต่างกัน โมลาสที่มีสีอ่อนจะมีน้ำตาลอยู่มากกว่า จึงมีรสหวานกว่าโมลาสที่มีสีเข้ม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำตาลที่ถูกสกัดออกและวิธีการอันเนื่องมาแต่กรรมวิธีการผลิต โมลาส หรือ มอลาสเซส หรือน้ำเหลืองน้ำตาล มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เพราะประกอบด้วย วิตามิน บี 1 บี 2 บี 3 บี 5 และวิตามินบี 6 อินโนซิตอล โคลีน โปแตสเซี่ยม แคลเซี่ยม เหล็กและแมกนีเซียม (http://www.108kaset.com/up-pic/2559/10-59/molas_102959_02.jpg) (http://www.leksound.net/picture/53/tria.gif) กากน้ำตาลมีระดับพลังงานระดับต่ำถึงปานกลางขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำที่มีอยู่ในกากน้ำตาล มีโพแทสเซียม และมีปริมาณน้ำในระดับสูง ทำให้เกิดเชื้อราได้ง่าย กากน้ำตาลแบ่งได้หลายชนิด กากน้ำตาลจากอ้อย : เกิดจากกรรมวิธีการผลิตน้ำตาลทรายจากอ้อยโดยเริ่มจากการนำอ้อยเข้าหีบได้น้ำอ้อย กรองเอากากออกจากน้ำอ้อยแล้วเคี่ยวน้ำอ้อยจนได้ผลึกของน้ำตาลทรายตกตะกอนออกมา แยกผลึกน้ำตาลทรายด้วยหม้อปั่น ผลพลอยได้จะมี ขี้ตะกอน กากอ้อย และ กากน้ำตาล กากน้ำตาลจากหัวบีท : เป็นผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาลจากหัวบีท กากน้ำตาลจากส้ม : น้ำตาลที่ได้จากส้มมีกลิ่นและรสต่างจากกากน้ำตาลอ้อย กากน้ำตาลจากข้าวโพด : กากน้ำตาลจากข้าวโพด มีน้ำตาลมากกว่า 48 เปอร์เซ็นต์ หวานและหอมกว่าน้ำตาลอ้อย กากน้ำตาลจากไม้ : เป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมกระดาษ (http://www.leksound.net/picture/53/tria.gif)การนำไปใช้ 1) เป็นวัตถุดิบในการผลิตสุราและเอทานอล (โดยผ่านกระบวนการหมักด้วยยีสต์) 2) ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผงชูรส 3) ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตโปรตีน (Lysine) ในอาหารสัตว์ 4) ใช้ผสมอาหารสัตว์ เพื่อเพิ่มรสชาด 5) ใช้ทำน้ำสกัดชีวภาพ ใช้บำบัดน้ำเสีย ทั้งในครัวเรือน และอุตสาหกรรม (http://www.leksound.net/picture/53/tria.gif)โมลาส (กากน้ำตาล) ที่ดีดูยังไง? 1. ต้องมีลักษณะเหนียว ข้น ไม่ผสมน้ำ 2. ไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว บูด 3. มีค่าความหวานหรือ % TSAI ไม่ต่ำกว่า 50% , ค่า Brix ไม่ต่ำกว่า 80% 4. ซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ดีที่สุดคือมาจากโรงงานผู้ผลิตโดยตรง (http://www.108kaset.com/up-pic/2559/10-59/molas_102959_04.jpg) (http://www.leksound.net/picture/53/tria.gif)ประโยชน์ของโมลาส โดยทั่วๆไป โมลาสมีเกลือแร่เหล็กสูง และแร่เหล็กในโมลาสจัดเป็นเกลือแร่ธรรมชาติ จึงง่ายต่อการดูดซึมเข้าร่างกายกับจะไม่ทำให้กระเพาะหรือท้องไส้ปั่นป่วนอีกด้วย ผู้ที่ต้องการเกลือแร่เหล็กบางราย ปรากฎว่าไม่สามารถรับประทานธาตุเหล็กที่เป็นอาหารเสริมชนิดเม็ดได้เพราะทำมีอาหารท้องผูกทั้งๆที่ร่างกายต้องการ ในรายอย่างนี้ควรรับประทานโมลาสแทน ซึ่งจะช่วยได้อย่างดี โมลาสใช้เป็นยาระบายที่ให้ผลดี วิตามินบี 1 ในโมลาสป้องกันและรักษาโรคเหน็บชา ป้องกันอ่อนเพลีย ป้องกันการซึมเศร้า ตลอดจนป้องกันโรคเส้นประสาทอักเสบ โรคหลอดโลหิตแดงแข็งตีบหรือโรคเกี่ยวกับระบบประสาทมัลติเปิ้ลสเคลอโรซีส (Multiple sclerosis) กรดนิโคตินิค หรือวิตามินบี 3 หรือไนอะซีน ในโมลาส อันเป็นส่วนหนึ่งในวิตามินบีรวม สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคเพลลากร้า (Pellagra) หรือโรคผิวหนังเป็นจ้ำๆ สีม่วงช้ำ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนทริพโตฟาน (Tryptophan) ให้เป็นไนอะซีน (วิตามินบี 3) ได้ วิตามินบี 6 หรือ ไพริด็อกซิน มีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญโปรตีนในร่างกาย ซึ่งถ้าขาดวิตามินชนิดนี้จะทำให้เกิดโรคผิวหนังและเส้นประสาทอักเสบ ซึ่งในเด็กอาจขาดวิตามินนี้ได้ง่าย ดังนั้นถ้าให้เด็กรับประทานโมลาสจะช่วยได้ ในสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิด หรือผู้มีปัญหาก่อนถึงกำหนดมีประจำเดือน พบว่าต้องการวิตามินบี 6 มากขึ้น (โมลาสที่ได้จากหัวผักกาดแดง ไม่มีวิตามินบี 6) กรดแพนโทเธ็นนิค หรือวิตามินบี 5 อันเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินบีรวมจะช่วยต่อสู้ความเครียดได้ดีขึ้น ผู้ที่ขาดกรดแพนโทเธ็นนิคจะมีอาการอารมณ์หงุดหงิด ชอบหาเรื่องทะเลาะวิวาท เศร้าซึม มักเครียด มักเวียนศีรษะ เหน็บชา โมโหง่าย การรับประทานโมลาสจะช่วยเพิ่มกรดแพนโทเธ็นนิคในร่างกายและลดอาการเหล่านี้ได้ โมลาส มีอิโนสิตอล และโคลีนเป็นจำนวนมาก วิตามินบีทั้งสองชนิดนี้จะช่วยละลายไขมันที่เกาะติดอยู่ตามผนังหลอดเลือดแดงจึงช่วยการไหลเวียนของโลหิตได้ดีขึ้น การที่ร่างกายขาดโคลีนจะทำให้มีไขมันติดค้างอยู่ในตับมาก ตับทำงานไม่เต็มที่ จึงทำให้เป็นโรคตับแข็ง โปแตสเซี่ยม พบในโมลาสซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของหัวใจ ถ้าขาดเสียซึ่งโปแตสเซี่ยม จะทำให้หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ อ่อนเพลีย และสมองไม่อยากทำงาน ผู้ที่มีอาการท้องร่วงเรื้อรังควรจะนึกถึงการขาดโปแตสเซี่ยมไว้เสมอ แคลเซี่ยม มีความจำเป็นต่อร่างกายมากโดยเฉพาะเด็กๆ ซึ่งกำลังเจริญโตในโครงสร้างของกระดูกและฟันในผู้สูงอายุ แคลเซี่ยมยังมีความจำเป็นอยู่มากเพราะต้องใช้ในการบำรุงและซ่อมแซมส่วนสึกหรอของกระดูก ในสตรีมีครรภ์ แม่ในระยะให้นมเด็ก และเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเติบโตมีความจำเป็นต้องได้แคลเซี่ยมมากกว่า คนธรรมดา ซึ่งถ้าขาดแคลเซี่ยมจะทำให้กระดูกคด กระดูกนิ่ม กระดูกพรุน กระดูกหักง่าย เกลือแร่เหล็ก ในโมลาสช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ช่วยให้เม็ดโลหิตมีสีแดง สมบูรณ์และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ควรใส่ใจไว้ด้วยการขาด วิตามินบี 12 ทำให้โลหิตจางได้เช่นกัน แมกนีเซียม สารอาหารชนิดนี้จะพบในโมลาสเสมอ การที่ร่างกายขาดแคลเซี่ยมอาจเกิดกับผู้ที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง หรือผู้ที่มีต่อมพาราไทรอยด์ผิดปกติ และจะมีอาการคล้ายคลึงกับผู้ที่ขาดโปแตสเซี่ยมกับจะทำให้เกิดอาการซึมเศร้า สั่นและมีอาการชัก นอกจากนี้โมลาสยังใช้แก้ปัญหาสุขภาพได้อีกหลายอย่าง เช่น ลำไส้ใหญ่อักเสบ โรคผิวหนังตามมือและตามเท้า ให้นำโมลาสมาล้างมือล้างเท้า ผู้ป่วยไซนัสให้น้ำโมลาสผสมน้ำแล้วนำมาล้างจมูกแก้เนื้อเยื่ออักเสบและใช้น้ำยาล้างปาก ผู้ป่วยเป็นแผลมีหนองไหล หรือโรคไพโอเรีย (Pyorrhea) ใช้โมลาสเพื่อรักษาแผล ทำให้แผลหายเร็ว (http://www.leksound.net/picture/53/tria.gif)โมลาสคนก็กินได้ ปกติแล้วรับประทานประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่ชินกับรสของโมลาส ควรเริ่มด้วยครึ่งช้อนชาก่อน โดยผสมในอาหารหรือเครื่องดื่มแล้วจึงค่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทีละน้อยจนได้ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ รสของโมลาสจะมีรสหวานปนขม เพราะน้ำตาลได้ถูกสกัดไปเกือบหมดแล้ว ไม่ควรรับประทานโมลาสเปล่าๆ ผู้เขียนรับประทานโดยใช้โมลาสผสมกับน้ำมะนาว แล้วเติมน้ำผึ้งลงไปด้วยจะได้รสที่สดชื่นทั้งเพิ่มความอร่อยขึ้นอีกมาก แต่บางคนชอบผสมกับน้ำอุ่น แล้วจิบทีละน้อย วิธีที่นิยมรับประทานกันมากและง่ายที่สุดคือ ผสมทำเค้ก ทำขนมปัง มิลค์เชค น้ำเชื่อม ขนมเหนียว น้ำปลาหวาน รับประทานกับสะเดา น้ำปลาหวานรับประทานกับมะม่วง มะกอก ใช้ผสมกับน้ำเมี่ยงคำ หรือผสมกับซีเรียลรับประทานเป็นอาหารเช้า ขอบคุณ http://www.108kaset.com/goat/index.php/topic,230.0.html |