หัวข้อ: ผู้ชนะย่อมเขียนประวัติศาสตร์เสมอ ! เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ ตุลาคม 15, 2014, 06:47:45 am (http://image.free.in.th/v/2013/ii/141015070058.jpg) (http://picture.in.th/id/5e821e55be895d089984fd98b02aa9ac)
เมื่อวานเป็นวันหยุดของอเมริกาที่เรียกว่า วันโคลัมบัส สถานที่ราชการธนาคารและโรงเรียนหยุดหนึ่งวัน เพื่อเฉลิมฉลองวันอันน่าปิติที่คนขาวคนแรกจากสเปนได้เหยียบย่าง เข้ามาชำเราแผ่นดินแปลกหน้านามว่า อเมริกา และปล้นฆ่าข่มเหงจนแทบจะไม่เหลือที่อยู่ที่ยืน ให้เจ้าของแผ่นดินดั้งเดิมจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ในทางประวัติศาสตร์แล้วถือว่า วันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ.1492 เป็นวันที่ต้องจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นวันแห่งการค้นพบอเมริกา แต่ไม่ใช่ของชนชาติอินเดียนอย่างแน่นอน เพราะการมาถึงของโคลัมบัสนั้นนำมาซึ่งความตายของเผ่าพันธุ์ตน! คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เกิดเมื่อ ค.ศ. 1451 ที่เมืองเจนัว ซึ่งเป็นเมืองท่าทางการค้าประเทศอิตาลี ชาวยุโรปในยุคนั้นต้องการเดินทางไปประเทศอื่นๆ เช่น อินเดีย หรือ ประเทศจีน เพื่อดูลาดเลาว่าควรจะปล้นชิงอะไรมาเป็นของตนดี เพราะดินแดนเหล่านั้นมักมีสินค้าที่ชาวยุโรปต้องการ นั่นคือเครื่องเทศ ผ้า ไม้ และอัญมณี (http://image.free.in.th/v/2013/ii/141015064525.jpg) (http://picture.in.th/id/edf931a4bcab51d48dcd559d08ee5d0f) คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส โคลัมบัส ออกเดินเรือตั้งแต่อายุ 14 จนกระทั่งอายุ 30 ปี จึงเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการเดินเรือ กษัตริย์แห่งสเปนทรงให้ความช่วยเหลือ โดยพระราชทานเรือ 3 ลำ พร้อมกับลูกเรือให้แก่โคลัมบัส เมื่อ 12 ตุลาคม คศ. 1492 โคลัมบัสได้นำเรือเทียบท่าสู่ดินแดนที่ไม่เคยมีผู้ใดค้นพบมาก่อน (ในความคิดตัวเอง) จึงเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า ซาน ซัลวาดอร์ (San Salvador) แปลว่า พระเจ้าช่วย ซึ่งปัจจุบันก็คือ "เกาะบาฮามาส" ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกานั่นเอง วันแรกที่ โคลัมบัส ย่างเท้าเข้าไปสัมผัสแผ่นดินอเมริกา ก็นำมาแต่ความโหดร้ายและความตายในหมู่ชนพื้นเมือง มีหลักฐานบันทึกไว้ว่า โคลัมบัส ได้สถาปนาตนเป็นเจ้าเมืองและปกครองชนพื้นเมืองอย่างโหดร้าย ทั้งจับอินเดียนแดงมาใช้แรงงาน อีกทั้งปล้นระดมทรัพย์สิน หากใครขัดขืนก็จะทรมานร่างกายอย่างทารุณ และเมื่ออินเดียนแดงต่อต้านระบอบของโคลัมบัส โคลัมบัสก็สั่งปราบปรามอย่างรุนแรง เชื่อกันว่าการค้นพบอเมริกาของโคลัมบัส นำไปสู่การเสียชีวิตของอินเดียนแดงกว่า 3 ล้านคน! หลังจากปราบปรามอินเดียนแดงอย่างป่าเถื่อน โคลัมบัส ก็เสาะหาของดีมีค่าตามที่ประเทศตนต้องการส่งไปบรรณาการพระเจ้าแผนดินของตนอย่างไม่ขาดสาย พูดง่ายๆ แบบชาวบ้านก็คงต้องเรียกว่า ปล้น นั่นแหละ เพราะมองเป็นอย่างอื่นไมได้เลย รวมทั้งเอาอินเดียนแดงไปอวดพระเจ้าแผ่นดินตนเองราวกับสัตว์เลี้ยงที่จับมาได้ หลังจากนั้นชาวยุโรปก็หลั่งไหลกันเข้ามาตั้งถิ่นฐานในทวีอเมริกา เกิดความต้องการพื้นที่ในการเพาะปลูกจึงเริ่มมีการจับจองที่ดิน ในขณะที่อินเดียนแดงไม่มีความคิดนี้อยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย ดังสะท้อนในคำพูดของหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงว่า ท้องฟ้าและความอบอุ่นของแผ่นดินนั้น เขาซื้อขายกันได้อย่างไร ความคิดเช่นนี้เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดสำหรับพวกเรา หากความสดชื่นของอากาศและความใสสะอาดของธารน้ำมิได้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของเราแล้ว ท่านจะซื้อสิ่งเหล่านี้ไปจากเราได้อย่างไร วิญญานของคนขาวนั้นไม่มีความผูกพันกับถิ่นกำเนิดของเขา แต่วิญญานของพวกเราไม่มีวันรู้ลืมแผ่นดินอันแสนงดงาม และเปรียบเสมือนเป็นแม่ของชาวอินเดียนแดง เราเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดิน และแผ่นดินก็เป็นส่วนหนึ่งของเราเช่นกัน เมื่อชาวยุโรปอพยพเข้ามาอาศัยในอเมริกามากขึ้นก็ย่อมต้องการที่ทำกินเพิ่มขึ้น จนกระทบกระทั่งกับอินเดียนแดง ในปี ตศ. 1834 รัฐสภาสหรัฐจึงกำหนดเส้นเมอร์เดียนที่ 95 เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างฝรั่งอั้งม้อกับอินเดียนแดง แต่ถึงกระนั้นคนขาวก็รุกล้ำเข้าไปในเขตแดนของอินเดียนแดงตลอดเวลา จนถึงขั้นต้องจับอาวุธปกป้องตนเองจากคนขาว อินเดียนแดงต้องถอยร่นไปทางตะวันตกเรื่อย ๆ จนในที่สุดชาวอินเดียนแดงก็ลุกขึ้นต่อต้านการรุกรานของนักล่าดินแดนและพวกนักขุดทอง หลังสงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกาสงบลง ในปี ค.ศ.1865 อินเดียนแดงที่เคยมีอยู่เกือบล้านคนทั่วประเทศถูกสังหารหมู่ลดลงเหลือไม่ถึงสามแสนคน ขณะที่คนขาวหลั่งไหลกันเข้ามาแย่งชิงดินแดนของอินเดียนร่วม 30 ล้านคน ดังนั้นวันโคลัมบัสจึงเป็นเพียงวันแห่งการเชิดชูจักรวรรดินิยม และเหยียดเชื้อชาติผ่านการบิดเบือนทางประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งอินเดียนแดงถือว่า ทั้งสองวันคือวันอันอัปยศแห่งชาติตน และเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ว่าประวัติศาสตร์นั้น มักถูกเขียนโดยผู้ชนะเสมอ Cr. http://www.naewna.com/ |