หัวข้อ: วิธีนั่งสมาธิเบื้องต้น เริ่มหัวข้อโดย: b.chaiyasith ที่ ตุลาคม 28, 2013, 08:43:19 pm วิธีนั่งสมาธิเบื้องต้น (อานาปานสติ กรรมฐาน) อานาปานสติ เป็นกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าสอน มีในพระไตรปิฎก ทำง่าย-ได้สมาธิลึก-ละเอียด-พัฒนาไปได้ถึง "ฌาน-อภิญญา-ญาณ-วิมุตติ" เป็นการ "เพ่งลมหายใจ เข้า-ออก" ปฎิรูปเทสวาโส แปลว่าการอยู่ในสถานที่อันสมควร ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ต้องเลือกทำเลที่เหมาะสม จะอ่านหนังสือยังต้องหาที่เงียบๆ-อ่านคนเดียว จะจำง่ายเข้าใจง่าย ประสาอะไรกับ การนั่งสมาธิ ยิ่งต้องการความสงบที่สุดๆ อย่าไปนั่งเป็นกลุ่ม จะได้แค่ความอบอุ่น ไม่ได้สมาธิหรอก ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างให้หมด เลิกคิด เลิกสนใจ ถ้ามีเวลาจำกัด ควรตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ควรเลือกนั่งในที่มุง-บัง กันแดด ลม น้ำค้าง แมลงฯลฯ อากาศถ่ายเทสะดวก ทำความสะอาดร่างกาย-สถานที่ จะได้ไม่คัน นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย วางบนขา หลังตรง คอตรง (หลังอาจงอ โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อไม่ให้หงายหลัง) อย่าเกรงตัว-มือ-ขา ทำตัวสบายๆ ทำใจให้ผ่อนคลาย ระหว่างหลับตา อาจเห็นภาพ สารพัด อย่าได้สนใจเป็นอันขาด เพราะเป็นความฟุ้งซ่านอย่างหนึ่ง (ขอเตือนว่า มึคนจำนวนมากเสียสติ เพราะเชื่อในสิ่งที่เห็น ขณะหลับตานั่งสมาธิ) เริ่มต้น ให้หายใจเข้า-ออก ช้าๆ ยาวๆ (ไม่เกินพอดี) เมื่อเข้าที่แล้ว การหายใจให้ "ปล่อยตามธรรมชาติ" (ไม่ควรใช้วิธี "ยุบหนอ-พองหนอ" ซึ่งเป็นการเพ่งที่กล้ามเนื้อกระบังลม) วิธีนี้ใช้ได้เมื่อยังหายใจแรง แต่จะขัดขวางการได้สมาธิลึกๆ ซึ่งการหายใจจะเบา กล้ามเนื้อกระบังลมแทบไม่เคลื่อนไหว พระพุทธเจ้าเปรียบจิตเหมือนลูกแกะ ที่ชอบวิ่งไปทั่ว-กระโดดโลดเต้น การเพ่งลมหายใจเปรียบเหมือนเอาเชือกล่ามลูกแกะไว้กับเสา จิตที่ถูกบังคับให้เพ่งเฉพาะลมหายใจ จะดิ้นรน-ขัดขืน-ต่อสู้ ถ้าเราไม่หวั่นไหว-มั่นคง สุดท้าย จิตจะเป็นหนึ่ง มีสมาธิ เวลานั่งสมาธิ จึงอย่าสนใจอย่างอื่น ให้สนใจแค่ "ลมหายใจ" ที่สัมผัสจมูกเพียงอย่างเดียว ถ้าฟุ้งซ่านจนเอาไม่อยู่ ให้บริกรรม"พุท - โธ"ตามจังหวะหายใจเข้า-ออก หักห้าม/ควบคุมความคิดให้ " ไม่คิด " โดยมุ่งความสนใจไปที่ "ลมหายใจ / พุท - โธ"แล้วแต่กำลังเพ่งอะไร ถ้าไม่ฟุ้งซ่าน / ไม่คิดสะเปะสะปะ แล้ว หยุดบริกรรม "พุท - โธ" เพ่งลมหายใจอย่างเดียว จะสงบกว่า ได้สมาธิลึกกว่า อย่าใช้วิธี "ดูความคิด"ไปเรื่อยๆ เท่ากับเป็นการปล่อยใจให้ฟุ้งซ่าน เตลิดเปิดเปิง ไม่มีวันได้ "ขณิกสมาธิ"หรอก ไม่ต้องพูดถึง"อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ" อีกอย่างที่ขอแนะนำคือ การรักษาอารมณ์ในชีวิตประจำวัน ต้องสงบกาย-สงบใจ-สงบกิเลส สงบกายอย่างไร? อยู่ในที่ๆมีคนน้อย-ไม่วุ่นวาย-ไม่อึกทึก-ไม่พูดมาก-ไม่ฟังมากฯลฯ สงบใจอย่างไร? ไม่คิดมาก-ไม่ฟุ้งซ่าน-ไม่อารมณ์อ่อนไหว -ไม่วุ่นวายใจ-ไม่กลุ้มใจฯลฯ สงบกิเลสอย่างไร? ลด-ละ-เลิก ราคะ โทสะ โมหะ สิ่งสำคัญ ต้องนอนให้พอ ขาดไม่ได้ เพราะนั่งเป็นง่วง / หลับ ถ้าเกิดวูปไป/หมดความรู้ตัว จงรู้ว่า คุณหลับแล้ว! ถ้าเห็นอะไรต่อไป จงรู้ว่า คุณฝันแล้ว! อย่าเข้าใจว่า คุณได้"ญาณวิเศษ"ใดๆ เพราะตามหลักของ พระพุทธเจ้า คนจะได้ญาณวิเศษ ต้องผ่านขั้นตอน "ปราศจาก อุปกิเลส/นิวรณ์ ๕" ไปแล้ว ลองทำตามที่แนะนำ ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบร้อน แต่ต้องทำสม่ำเสมอ ด้วยประสบการณ์ ขอรับรองว่า การทำสมาธิจะก้าวหน้า อย่างแน่นอน ถ้าอยากพัฒนามากๆ ขอแนะนำให้อ่านพระไตรปิฎก และ คัมภีร์วิสุทธิมรรค โดยดูเพิ่มเติมที่ อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=14&A=3924&Z=4181> อาการ-ความรู้สึกของร่างกาย ขณะได้ ฌาน ๔ +อภิญญาญาณอื่นๆ(ยาวมาก) [๓๔๓] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทาแก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวก ทั้งหลายของเราปฏิบัติตามแล้วย่อมเจริญฌานสี่. ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่น เอิบอิ่ม ซาบซ่าน ด้วยปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง. ดูกรอุทายี เปรียบเหมือนพนักงานสรงสนาน หรือล
ที่มา วัดศรีชมภูดาลัยขบคุณเพื่อนที FB |