หัวข้อ: ฟักข้าว ต้านมะเร็ง เริ่มหัวข้อโดย: b.chaiyasith ที่ กันยายน 19, 2013, 10:22:24 am ฟักข้าวสีส้ม(https://m.ak.fbcdn.net/sphotos-h.ak/hphotos-ak-prn2/1233607_197438170434108_1127957803_n.jpg)
ไม่เบื่อที่จะอ่านข้อมูลที่ดีมีประโยชน์ 1} มะเร็งปอด สาเหตุมะเร็งปอดเกิดจากครันบุหรี่ -ไอน้ำมัน - ไยหินจากฝ้า เครื่องปิ้งขนมปัง และผ้าเบรก 2} การรักษาด้วยฟักข้าว - ทานฟักข้าว } หากเป็นมากทานวันละ 3 ขวดๆละ 180 ซีซี หลังอาหาร หากเป็นน้อยก็ลดจำนวนขวดลงที่ผ่านความร้อนและความดันในระดับที่ทำให้ไลโคปีนแตกตัว อย่าทานแบบสดไม่ให้ไลโคปีนเลย ก่อนทานต้องผสมน้ำผึ้งไม่อบและน้ำมันงาสกัดเย็น ทั้งนี้เพราะว่าน้ำมันงาสกัดเย็นทำหน้าที่ละลายไลโคปีน และสารไลโคโปรตีนในน้ำผึ้งไม่อบทำหน้าพาไลโคปีนเข้าไปทำลายมะเร็ง โดยการเจาะดูดน้ำเลี้ยงในเซลล์มะเร็งออกมาทำให้เซลล์มะเร็งตาย.... 3} ฟักข้าว ... มีปริมาณเบต้าแคโรทีนมาก กว่าแครอท 10 เท่า มีไลโคพีนมากกว่ามะเขือเทศ 70 เท่า-มีปริมาณวิตามินซี สูงกว่า ส้ม 60 เท่า - มี zeaxanthin กว่าข้าวโพด 28 เท่า - ช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดหัวใจ - ป้องกันและแก้ปัญหาโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก - ช่วยป้องกันโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ช่วยป้องกันและแก้ปัญหาตับอักเสบ - ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด - ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา ป้องกันเยื่อนัยน์ตาแห้งที่มีสาเหตุจากสารสำคัญในเรติน่า - ชะลอความแก่ ป้องกันผิวหนังแห้งตกสะเก็ด บำรุงผิวพรรณ โปรตีนในเมล็ดฟักข้าวมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อเอชไอวี-เอดส์ และยับยั้งเซลล์มะเร็ง - เหมาะสำหรับผู้ป่วยในระยะพักฟื้นและผู้มีปัญหาสุขภาพ มีโรคประจำตัว อ่อนแอ - ช่วยป้องกัน และบรรเทาการขาดวิตามิน และสารอาหารต่างๆ ทั้งในเด็ก และผู้ใหญ่ ประโยชน์ต่อไปนี้ควรรู้ไว้ @ ในน้ำผึ้งไม่อบ จะให้สารเควอซิทินเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของปอด วิตามินซี และช่วยป้องกันไลโคปีนการทำลายของสารอนุมูลอิสระ ให้สารไคซินทำหน้าที่เป็นเกราะคุ้มกันเซลล์นักทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งทำหน้าที่ค้นหาและเจาะผนังเซลล์มะเร็ง การมีเกราะกำบังทำให้เซลล์นักทำลายได้เปรียบ ทำงานด้วยความปลอดภัยขึ้น และมีปริมาณเพียงพอต่อสู้กับศัตรู โดยเฉพาะในช่วงการผ่าตัดมะเร็ง มีความต้องการนักเซลล์ทำลายมาก เพื่อป้องกันเซลล์มะเร็งบางส่วนหนีเข้าไปในกระแสเลือด ซึ่งทำให้เกิดมะเร็งในส่วนอื่น กรดกาลิกป้องกันเซลล์ที่ทำหน้าต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ออกฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็ง และให้คอลลาเจนที่ขนเซลล์มะเร็งที่ตายออกจากร่างกาย วิตามินบี 6 12 และกรดโฟลิคช่วยสร้างสารต้านอนุมูลอิสระและเซลล์ที ส่วนวิตามินบี ช่วยสนับสนุนการทำงานของเซลล์กลืนกินและเซลล์นักทำลาย - วิตามินบี 6 บี 12 และกรดโพลิคที่ทำงานร่วม สร้างเซลล์ที่กำกับระบบภูมิคุ้มกัน ตรวจตราสารแปลกปลอม และรวมตัวต่อสู้กับสารอนุมูลอิสระ เซลล์ดังกล่าวเป็นระบบภูมิคุ้มกันแบบเซลล์ มีสองชนิด คือ ชนิดที่ทำหน้าผู้บัญชาการ สั่งให้เซลล์อื่นปล่อยสารป้องกันและทำลาย กระตุ้นเซลล์บีให้สร้างสารต้าน และช่วยพัฒนาเซลล์นักทำลายที่ช่วยกันเจาะผนังเซลล์มะเร็งและส่งสารเข้าไปทำลาย และเมื่อสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เซลล์ทีชนิดที่สองจะออกมายับยั้งการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระให้อยู่ในระดับที่สมดุล การที่สารต้านอนุมูลอิสระมากเกินจะทำให้เซลล์ในร่างกายทำลายตัวเองเป็นโรคแพ้ภูมิ @ในวิตามินบี 5 สร้างเซลล์ขนาดใหญ่ที่กลืนกินเซลล์มะเร็งและย่อยสิ่งแปลกปลอม ทำความสะอาดเศษซากเซลล์ที่ตาย กำจัดเม็ดเลือดที่หมดอายุ หลั่งสารกระตุ้นเซลล์อื่นให้รู้จุดที่ศัตรูบุก และต้านการอักเสบ สังกะสีซึ่งผลิตเซลล์คุ้มกัน และควบคุมการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน และเซลล์ที่คอยกำจัดเซลล์มะเร็ง @ แคลเซียม ผลิตเอนไซม์ทำลายเซลล์มะเร็ง - ซิลีเนียม เสริมภูมิต้านทานและทำงานร่วมกับวิตามินอี - ทองแดงและแมงกานีส ต้านอนุมูลอิสระ แร่ธาตุและวิตามินเหล่านี้หากทำงานร่วมกันจะมีประสิทธิภาพแบบทวีคูณ ทำให้ผู้รุกรานตั้งตัวไม่ทัน - ไลโคโปรตีนทำหน้าที่ขนไลโคปีนและเบต้าแคโรทีนเข้ากระแสเลือด - กินตำลึ่งปั่นกับน้ำและน้ำผึ้งวันละ 3 แก้ว ให้วิตามินซีเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ลิมโปไซค์ซึ่งเป็นเม็ดเลือดขาวที่ทำลายเซลล์มะเร็งแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็ว ผลิตเซลล์ที ซึ่งเป็นลิมโปไซค์ที่กำกับระบบภูมิคุ้มกันและตัดสินว่าควรสู้หรือถอย ซึ่งหากถอยจะใช้เวลาแบ่งตัวและกลับไปต่อสู้ประมาณ 3 วัน และเซลล์บี ซึ่งเป็นลิมโฟไซด์ทำลายไวรัสและแบคทีเรียและไม่ให้แบ่งตัว โดยการพาไปที่เนื้อเยื่อ ทำให้รู้จักขนาดและรูปร่าง และออกแบบสารต้านอนุมูลอิสระและสร้างให้เหมาะสมกับการต่อสู้กับเชื้อจุลินทรีย์เหล่านั้น และปล่อยออกไปต่อสู้ให้เหมาะสมกับปริมาณและชนิดศัตรู จนเชื้อหมดอันตราย และรอเซลล์กลืนกินและนำออกจากร่างกาย วิตามินซีกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน ซึ่งจำเป็นในการล้อมเซลล์มะเร็งไม่ให้ลุกลามและนำไปทิ้งทำให้เซลล์ใกล้เคียงปลอดภัย นอกจากนั้นยังทำให้แผลผ่าตัดหายเร็วขึ้น ลดพิษจากคีโม ป้องกันไม่ให้สารต้านอนุมูลอิสระถูกทำลาย และทำให้สารก่อมะเร็งบางชนิดหมดฤทธิ์ และให้เบต้าแคโรทินลดการกระตุ้นสร้างเชลล์มะเร็งและป้องกัน DNA @ งาดำ การเตรียมเซซามินที่ดี ควรนำงาดำไปตากแดดให้แห้งเพื่อลดความชื้น จากนั้นนำมาสกัดน้ำมันออกด้วยเครื่องบีบที่ไม่เกิดความร้อน นำงาดำที่สกัดน้ำมันออกแล้วคั่วด้วยความร้อนสูง เพื่อให้แป้งในเนื้องาสุก นำเนื้องาไปผสมกับน้ำผึ้งที่ไม่ผ่านการอบ ซึ่งจะให้งาดำที่อุดมสมบูรณ์ด้วยเซซามินไม่มีเชื้อจุลินทรีย์โดยเฉพาะราแอลฟาซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งตับ โดยงาดำให้ เซซามินกระตุ้นเอ็นไซค์ที่ทำลายสารพิษของยาที่สะสม และคิวเท็น ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเซลล์ทำให้สดชื่น @ ข้าวหอมนิล ข้าวโพดม่วง หรืออัญชัน ให้แอนโทไซยานิน ลดการอักเสบของมะเร็งปอด @ วิตามินดี โดนแสงแดดเช้าวันละ 45 นาที ลดการอักเสบ น้ำมันเซซามิน เป็นน้ำมันงาสกัดเย็น และไม่กรองเนื้องาออก ใช้ทานเพื่อต้านการอักเสบ และใช้ละลายไลโคปีน และเบต้าแคโรทีน โคลนเซซามิน ได้จากน้ำมันงาผสมกับเนื้องา ใช้ทาตัวเพื่อให้น้ำเหลืองไหลเวียน น้ำเหลืองเป็นของเหลวสีเหลืองอ่อน หรือสีออกใส ซึ่งจะประกอบไปด้วยเม็ดเลือดขาว โปรตีน และเม็ดเลือดแดงปะปน ทำหน้าที่ขนของเสียออกรวมทั้งเซลล์มะเร็งที่ตาย กำจัดคีโคในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับ @ รางจืด ใช้รางจืดประมาณ 10 ใบพร้อมก้าน ต้มกับน้ำ 2 แก้ว ในหม้อดินให้เหลือ 1 แก้ว ทานวันละ 1 แก้ว เพื่อล้างพิษจากตับในกรณีที่กินยาเคมีมาก @ อาหารอินทรีย์ พยายามใช้ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่เป็นอาหารอินทรีย์ ทั้งนี้สารเคมีเป็นสาเหตุที่ทำให้มะเร็งมีกำลังมากขึ้น ปลอดจากพลาสติก อย่าใช้ภาชนะในการบรรจุอาหารที่เป็นพลาสติกทั้งนี้เพราะว่าสารจากพลาสติกทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ปิดไฟนอนให้สนิท เพราะว่าแสงไฟเป็นสาเหตุทำให้สารก่อมะเร็งมากขึ้น ที่มา หมอปรียาภา |