พิมพ์หน้านี้ - เห็ดหลินจือ ราชัญแห่งสมุนไพร

LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่14"

นานาสาระ => ยา-สมุนไพร => ข้อความที่เริ่มโดย: Nattawut-LSV Team ที่ พฤษภาคม 27, 2013, 04:44:33 pm



หัวข้อ: เห็ดหลินจือ ราชัญแห่งสมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: Nattawut-LSV Team ที่ พฤษภาคม 27, 2013, 04:44:33 pm
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2009/07/28/images/news_img_64000_1.jpg)

เห็ดหลินจือ เป็น King of Herb ช่วยป้องกันและรักษาโรคครอบจักรวาล แต่จะสำแดงฤทธิ์เดชมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับว่า "เกาถูกที่คัน" หรือไม่

เห็ดหลินจือ ประกอบไปด้วยชื่อเสียงเรียงนามนับสิบ ไม่ว่าจะเป็น เห็ดหลินจือแดง เห็ดศักดิ์สิทธิ์  หญ้าเก้ากิ่ง ชื่อจือ เรซิ มันเนนตาเกะ และเห็ดหมื่นปี เป็นต้น แต่ชาวตะวันตกจะเรียกด้วยชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "กาโนเดอร์มา ลูซิดัม" (Ganoderma lucidum)

 มันมีสารออกฤทธิ์มากกว่า 150 ชนิดที่สำคัญ ได้แก่ ไตรเตอร์พีนอยด์ชนิดขม ช่วยขัดขวางการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ป้องกันไขมันอุดตันเส้นเลือด และยับยั้งสารพิษในตับ,พอลิแซกคาไรด์ตัวสำคัญอย่างเเบตา-ดี-กลูแคน ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันธรรมชาติของร่างกาย,  ออร์กานิกเยอร์มาเนียม ช่วยปรับประจุไฟฟ้าในร่างกาย, ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเตส เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงกาโนโดสเตอโรน, อะดรีโนไซด์เยอร์มาเนียม, กรดอะมิโน และเกลือแร่ต่างๆ ด้วย

 เมื่อคุณสมบัติพิเศษของเห็ด คือโครงสร้างและสารประกอบภายในที่สามารถปรับตัวและป้องกันตัวเองได้ในทุกสภาวะแวดล้อมฉันใด ชื่อสารอ่านยากเหล่านี้ ล้วนส่งผลด้านบำรุงร่างกาย บรรเทาอาการ และเป็นเครื่องมือเสริมการรักษาโรคได้ยอดเยี่ยมฉันนั้น

 นายแพทย์สุรพล รักปทุม ผู้ค้นคว้าเรื่องราวของเห็ดหลินจือมายาวนาน อธิบายว่า การบำรุงร่างกายด้วยเห็ดหลินจือออกฤทธิ์เสริมสร้างแตกต่างกันไปในแต่ละวัย

 วัยเด็กและวัยหนุ่มสาว เห็ดหลินจือช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโต และพัฒนาการ บำรุงกำลังและเสริมความแข็งแรง เสริมภูมิต้านทานโรค บำรุงสมองและสติปัญญา

 พอก้าวสู่วัยทำงานและกลางคน เจ้าเห็ดมหัศจรรย์ เหมาะใช้เพื่อความงามของผิวพรรณ ลดรอยด่างดำ คงความอ่อนวัย และบำรุงอวัยวะภายใน ทั้ง ปอด ตับไต รวมทั้งเพิ่มสมรรถภาพของระบบต่างๆ

 แต่เห็ดหลินจือกลับเป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงอายุมากที่สุด เพราะมันช่วยชะลอความแก่ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความจำเสื่อม เพิ่มออกซิเจนในเลือดกระตุ้นการไหลเวียนเลือด บำรุงหัวใจ ต่อต้านสารพิษ และกำลังเพิ่มความฮอตมากขึ้น เพราะนำมาต่อต้านมะเร็ง

 ฆาตกรฆ่ามะเร็งอย่างเห็ดหลินจือ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรค และกำจัดเซลล์มะเร็งได้ พวกมันมีวิธีหาอาหารโดยสร้างเอ็มไซม์ ออกไปย่อยสลายสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตภายนอก ซึ่งอาจเป็นวิธีการเดียวกับที่ใช้ย่อยสลายเชื้อโรคและเซลล์มะเร็งด้วย

 สำหรับผู้มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร วิงเวียน นอนไม่หลับ มือเท้าเย็น ไอ หอบหืด อักเสบ มีการเจ็บปวดหรืออาการทางจิตประสาท การบริโภคเห็ดหลินจือก็สามารถช่วยได้เช่นกัน

 นอกจากนั้นยังใช้รักษาร่วมกับผู้ป่วยได้หลายโรค อาทิ โรคมะเร็งที่ใช้เคมีบำบัด และการฉายรังสี เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง โรคภูมิแพ้ การติดเชื้อไวรัส โรคเอดส์ โรคทางสมองทั้งหลาย  โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง-ต่ำ โรคตับ โรคไต รูมาตอยด์ โรคเอสแอลดี และผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นต้น

 เมื่อมีประโยชน์ ก็มีโทษได้ หากบริโภคไม่ถูกวิธี

 หากเราใช้เห็ดที่บริสุทธิ์และมีคุณภาพดีแล้ว มันไม่มีโทษแต่ประการใด สามารถใช้ได้ต่อเนื่องตลอดไป ครั้งแรกนั้น คุณหมอสุรพลแนะนำให้เริ่มจากปริมาณน้อย แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นทุก 3 วัน ที่น่าสนใจคือ สามารถใช้เห็ดหลินจือเพียงชนิดเดียว หรือหลายชนิดร่วมกันก็ได้ ตลอดจนไม่มีฤทธิ์ตีกับยาที่รับประทานอยู่ หรือการรักษาอย่างอื่นก็ได้

 แม้จะมีไม่โทษ แต่มีผลข้างเคียงสำหรับบางคน นอกจากเด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยมะเร็งและผู้ป่วยหนัก รวมทั้งผู้มีประวัติแพ้ยาจะต้องปรึกษาแพทย์ตามธรรมเนียมแล้ว ในระยะแรก คนปกติก็อาจมีอาการท้องเสีย คอแห้ง หรือมีผื่นคัน แต่ก็มักจะหายได้เองภายใน 2-7 วัน แต่ถ้ายังมีอาการข้างเคียงดังกล่าวอยู่ แนะนำให้หยุดใช้ไปก่อนหนึ่งสัปดาห์ แล้วลองเริ่มต้นใหม่

 เห็ดหลินจือที่นำมาบริโภคจะให้ผลลัพธ์ดีที่สุด ก็ต่อเมื่อคนปกติทั่วไปใช้ดอกเห็ดอบแห้ง ชงเป็นชา  เพื่อดื่มเป็นประจำ ถ้าต้องการต้มเป็นยา ต้องดื่มให้หมดวันละ 1-3 เวลา และจะดื่มเวลาใดก็ได้

 ถ้าจะนำมาดองเหล้า จะใช้ดอกเห็ดอบแห้งดองกับเหล้าขาวหรือเหล้าเหลือง ชนิด 40 ดีกรี ปริมาณ 100-150 ซีซี ทิ้งไว้ 15 วัน แล้วค่อยนำมาดื่มครั้งละ 10 ซีซี หรือ 2 ช้อนชา วันละ 1-3 เวลา ก่อนหรือหลังอาหารก็ไม่ต่างกัน
 
นอกจากนั้น ยังมีผู้ผลิตเป็นแคปซูล โดยนำส่วนผสมของดอกเห็ด เส้นใย หรือราก และผงสปอร์ รวมอยู่ในเม็ด ซึ่งปริมาณขึ้นอยู่กับอายุของผู้ใช้  หากเป็นเด็ก ใช้ 1-2 แคปซูลก็เพียงพอแล้ว แต่สำหรับผู้ป่วย ควรใช้ ครั้งละ 3 แคปซูล วันละ 2 เวลาจะดีที่สุด
 
อีกทั้งชนิดผงสปอร์บริสุทธิ์ ที่จะออกฤทธิ์มากกว่าแบบแคปซูล ก็จะนำมาผสมน้ำอุ่นในปริมาณ 1 กรัม หรือไม่เกิน 3 กรัมสำหรับผู้ป่วย ที่เด็ดไปกว่านั้น มันยังมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว อาจผสมในน้ำผึ้ง น้ำผลไม้ เครื่องดื่ม และอาหารคาวหวานได้ง่ายๆ

ที่มา : bangkokbiznews.com