พิมพ์หน้านี้ - Aung San Suu Kyi: Nobel Peace Prize Lecture

LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่14"

นานาสาระ => ห้องยูทูป => ข้อความที่เริ่มโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ มิถุนายน 17, 2012, 09:09:07 am



หัวข้อ: Aung San Suu Kyi: Nobel Peace Prize Lecture
เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ มิถุนายน 17, 2012, 09:09:07 am
http://www.youtube.com/v/NihXxEDFIBM?version=3&hl=th_TH" type="application/x-shockwave-flash

"สำหรับฉันการได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพหมายถึง
การได้แสดงออกถึงความรู้สึกของตัวเธอที่มีต่อประชาธิปไตย
และสิทธิมนุษยชนนอกเหนือขอบเขตพรมแดน"


นางอองซานซูจี กล่าว และระบุว่ารางวัลโนเบลได้เปิดประตูในหัวใจของเธอ


ส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์ ที่กินใจผู้รับฟัง นางออง ซาน ซู จี กล่าวว่า
เธอทราบข่าวรางวัลนี้ทางวิทยุขณะถูกคุมขังในบ้านพัก
ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับรางวัลใดๆ
เพียงแต่รางวัลที่จะได้เห็นบ้านเมืองที่เสรี ปลอดภัย และยุติธรรม
เธอขอบคุณ สำหรับรางวัลนี้ที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจ
ที่เกื้อหนุนการแสวงหาสันติภาพของพม่า
ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวโลกต่างแสวงหาเช่นกัน
จากสภาพที่ต้องถูกคุมขังโดดเดี่ยวในบ้านของตัวเอง
รางวัลโนเบลนี้ได้สร้างความรู้สึกว่า
เธอมีความเชื่อมโยงกับโลกภายนอก
เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้อยู่ เป็นส่วนหนึ่งของมนุษยชาติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บ่งบอกว่า โลกนี้ไม่ลืมพม่า


นางอองซาน ซูจี ยังเรียกร้องให้รัฐบาลพม่า
ปล่อยนักโทษการเมืองที่เหลืออยู่ทั้งหมด
เพราะอาจจะมีบางคนถูกลืมเลือนไปก็ได้
ส่วนปัญหาความขัดแย้งในประเทศก็ยังคงมีอยู่ เช่น
ปัญหาความขัดแย้งของชนกลุ่มน้อยฝ่ายกบฏในพื้นที่ภาคเหนือของพม่า
และ ความไม่สงบระหว่างสองกลุ่มศาสนาในรัฐยะไข่
ทางตะวันตกของพม่า


นางอองซานซูจีแต่งกายด้วยชุดโสร่ง มีผ้าพันคอสีม่วง
พร้อมดอกไม้ประดับที่ผม เธอได้รับการปรบมือแสดงความชื่นชม
อย่างกึกก้องภายในศาลากลางกรุงออสโลว์
ที่มีทั้งราชวงศ์ ผู้ทรงเกียรติ และชาวพม่าพลัดถิ่น
เข้าร่วมในงานนี้
       
       นางอองซานซูจีกล่าวว่า เธอต้องการให้สนุบสนุนประเทศของเธอ
อย่างระมัดระวังในการเปลี่ยนผ่านจากการปกครองระบอบทหารไปสู่ประชาธิปไตย
ภายใต้รัฐบาลกึ่งพลเรือนของประธานาธิบดีเต็งเส่ง
โดยระบุว่าการระมัดระวัง ไม่ใช่เป็นเพราะไม่มีความเชื่อในอนาคต
แต่เพราะเธอไม่ต้องการให้สนับสนุนด้วยความเชื่อศรัทธาแบบตาบอด
       
       แม้ว่ารัฐบาลได้ลงนามหยุดยิงกับกลุ่มกบฎชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่ม
แต่เหตุนองเลือดยังคงเกิดขึ้น ทั้งความขัดแย้งกับกองกำลังเอกราชกะฉิ่น
ในภาคเหนือและเหตุความไม่สงบระหว่างชาวพุทธและชนกลุ่มน้อยมุสลิม
       
       "ความรุนแรงยังไม่ยุติลงในพื้นที่ภาคเหนือ รวมทั้งในพื้นที่ตะวันตก
การวางเพลิงและสังหารเกิดขึ้นต่อเนื่องหลายวันก่อน
ที่ฉันจะเริ่มเดินทางที่นำฉันมาสู่ที่นี่ในวันนี้"
นางอองซานซูจี กล่าว
       
       ประชาชน 50 คนถูกสังหารและมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก
ในเหตุปะทะกันในรัฐยะไข่ สื่อทางการพม่าระบุวันนี้
 และสหประชาชาติเตือนว่าประชาชนหลายพันคน
ที่ต้องย้ายที่อยู่เพราะเหตุรุนแรงต้องเผชิญกับความยากลำบากสาหัส


นางอองซานซูจีกล่าวขอบคุณต่อทุกคนที่รักในเสรีภาพ
และความยุติธรรมที่มีส่วนให้โลกได้รับรู้ถึงสถานการณ์ของพม่า
และเพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในพม่าทำให้เธอได้มาอยู่ที่นี่ในวันนี้.

********************************************



 ในตอนท้าย ซูจี กล่าวขอบคุณผู้ที่มีความรักในเสรีภาพ
และความยุติธรรมทั่วโลก ที่ยังคงติดตามสถานการณ์ในพม่าอย่างใกล้ชิด
ซึ่งสิ่งเหล่านั้นส่งผลกระทบสำคัญให้เกิดการปฏิรูป
ซึ่งนำเธอมาสู่เวทีรางวัลโนเบลได้ในครั้งนี้

 

 ด้านเอพีสรุปคำกล่าวสุนทรพจน์ของนางซูจีที่สำคัญ เป็นหัวข้อดังนี้


พลังของรางวัลสันติภาพ

 "หลายครั้งในช่วงที่ถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านพัก
ทำให้คิดไปว่าฉันคงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกที่แท้จริงอีกแล้ว
การได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพทำให้ฉันมีตัวตนขึ้นมาอีกครั้ง
รางวัลนี้ดึงฉันกลับมาสู่สังคมมนุษย์ที่กว้างใหญ่ขึ้น
และที่สำคัญกว่านั้น รางวัลโนเบลได้ดึงความสนใจของโลก
มาสู่การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อประชาธิปไตย
และสิทธิมนุษยชนในพม่า ว่าเราจะไม่ถูกลืม"

 

การเพิกเฉยต่อความทุกข์ร้อนของผู้อื่นกระตุ้นให้เกิดสงคราม

 "สงครามโลกครั้งที่ 1 แสดงถึงการใช้วัยหนุ่มสาวและศักยภาพไปอย่างสิ้นเปลืองน่าใจหาย
เป็นการถลุงทรัพยากรมีค่าของโลกอย่างโหดร้าย และเพื่ออะไรหรือ
เกือบศตวรรษที่ผ่านมา เราก็ยังไม่พบคำตอบที่น่าพอใจ
เรายังไม่รู้สึกผิดกันอีกหรือ หากความรุนแรงที่แม้ลดระดับลง
ความประมาท ความเลินเล่อจะยังมีผลต่ออนาคตและมนุษยชาติของเรา
สงครามไม่ใช่เป็นแค่สถานที่ซึ่งสันติภาพถูกบีบให้ตายเท่านั้น
แต่ที่ใดก็ตามที่ความทุกข์ร้อนถูกละเลย
นั่นจะเป็นเมล็ดพันธุ์ความขัดแย้ง
และเมื่อความทุกข์ทรมานนั้นถูกลดความสำคัญลง
ก็จะกลายเป็นความเคืองแค้นและเดือดดาล

 

 เราอยู่ในยุคเรืองปัญญา


  "เราโชคดีที่อยู่ในยุคที่ความช่วยเหลือด้านสวัสดิการสังคมและมนุษยธรรมเป็นที่ยอมรับ
ไม่ใช่เพียงเพราะพึงปรารถนา แต่ยังถือเป็นเรื่องจำเป็น
ดิฉันโชคดีที่ได้อยู่ในยุคนี้ ในยุคที่ชะตากรรมของนักโทษแห่งมโนธรรมไม่ว่าอยู่ที่ใด
ก็เป็นเรื่องห่วงใยของผู้คนในทุกๆ ที่ เป็นยุคที่ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนแผ่ขยาย
ถึงจะไม่ทั่วถึงไปหมด แต่ก็เป็นที่ยอมรับว่าเป็นสิทธิที่มีมาแต่กำเนิดของทุกคน


สันติภาพสมบูรณ์แบบต้องเป็นเป้าหมายของเรา

 "สันติภาพอย่างสิ้นเชิงในโลกนั้นเป็นเป้าหมายที่ยังไม่บรรลุผล
แต่นี่เป็นสิ่งที่เราต้องเดินหน้าต่อไปยังเส้นทางนี้ จับตาไว้ราวกับเราเป็นนักท่องเที่ยว
ในทะเลทรายที่เพ่งมองไปยังดาวนำทาง ที่จะนำไปสู่การรอดชีวิต
แม้เราจะไม่บรรลุถึงสันติภาพที่สมบูรณ์แบบบนโลกนี้
แต่ความมุมานะโดยพื้นฐานจะทำให้ได้มาซึ่งสันติภาพที่รวมเอาบุคคลและประเทศต่างๆ
เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความเชื่อมั่นและมิตรภาพต่อกัน
ช่วยกันทำให้ชุมชนชาวโลกปลอดภัยขึ้นและมีเมตตามากขึ้น"

 

พลังเมตตาสร้างสันติภาพ

 "เมื่อพูดถึงกำลังใจในความขมขื่น คงไม่ได้มีมากมายอะไร
แต่ดิฉันได้พบกับสิ่งที่ชื่นใจที่สุดและล้ำค่าที่สุด เป็นบทเรียนที่ทำให้ดิฉันรู้ถึงคุณค่าของความเอื้ออารี
ทุกน้ำใจที่ดิฉันได้รับ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ทำให้ดิฉันเชื่อว่าจะไม่มีทางเพียงพอในโลกของเรา
การมีเมตตาคือการตอบรับความซาบซึ้งและความอบอุ่นของมนุษย์
ด้วยความหวังและความต้องการของผู้อื่น แม้จะเป็นน้ำใจเพียงเล็กน้อย
แต่ก็ทำให้หัวใจที่หนักอึ้งนั้นเบาลงได้ ความเมตตานั้นเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนได้"

 

 จินตนาการถึงโลกที่ปราศจากผู้อพยพ

 "เป้าหมายสูงสุดของเราน่าจะเป็นการทำให้โลกนี้ปราศจากผู้อพยพ
คนเร่ร่อนไร้บ้าน และผู้สิ้นหวัง โลกในทุกส่วนทุกมุมจะเป็นสถานที่หลบภัย
ของคนที่ไร้ถิ่นฐานได้มีเสรีภาพและวิสัยที่จะอยู่ในสันติภาพได้
ทุกความคิด ทุกคำพูด ทุกการกระทำที่เป็นไปในทางบวกและส่งเสริมสุขภาพนั้น
เป็นการสนับสนุนสันติภาพ
 พวกเราในแต่ละคนและทุกคนต่างอยู่ในวิสัยที่จะสนับสนุนแบบนั้นได้
ขอให้เราร่วมมือกันพยายามสร้างโลกสันติภาพที่เรานอนหลับ
ได้อย่างปลอดภัยและตื่นขึ้นมาอย่างเป็นสุขเถิด"

 ping!