หัวข้อ: A touching lesson from a 9-year-old Japanese boy!เด็ก 9 ขวบสอนบทเรียนอันล้ำค่า เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ พฤษภาคม 12, 2011, 07:58:31 am http://ireport.cnn.com/docs/DOC-574017
(http://img831.imageshack.us/img831/8605/thekidw.jpg) The translation is based strictly on the original post. No addition was being made.>> Last night I was sent to a primary school, in order to assist the autonomous association there distributing food to the victims. Among the long waiting queue, I noticed a boy at around 9 year-old, wearing only a T-shirt and a pair of shorts. The weather was really cold and he was standing at the end of the line. I was afraid that there might not be any food left when his turn came, thus I came over to talk to him. He told me that the earthquake and tsunami came when he was at school, in his physical education class. His father, who worked nearby, came to the school. From the balcony on the 3rd floor of the school, he saw his father and the car being swept away by the water. His father had most likely died. As I asked where his mom was, he told me that since his family lived close to the ocean, his mom and brother must have not escaped in time. He quickly turned to wipe away his tears when being asked about his relatives. Seeing that he was cold, I took off my police coat and covered him up with it. Inadvertently, my dinner portion felt out of the pocket. I picked it up, gave it to him, and said: “I’m afraid there’d be no food left when it’s your turn. Here is mine. I already ate. You go ahead and have it” The little boy received the food, bending over to thank. I was thinking he would start eating voraciously at that moment, but no. He carried it and went straight to the front of the line, where the people are handing out food, put what I gave him into the box of food that was being distributed, then turned back to the queue. Extremely surprised, I asked why he didn’t eat it instead. He answered: “ Because there are more people who probably are hungrier than me. I put it in there so they could fairly distribute it to everyone” After hearing his answer, I turned away to cry so people couldn’t see it. I was moved. I can’t believe that a 9 year-old little boy, who was only in the 3rd grade, could teach me such a lesson in this difficult moment. A very touching lesson about sacrifice. A nation with children who are only 9 year-old, yet already know how to be patient, to bear hardship, and to sacrifice for others is undoubtedly a great nation. Even though this country is in its most critical moments, it certainly will revive stronger, thanks to the people who know to sacrifice themselves for others at such a young age. ****************************** เข้าไปอ่านรายงานชิ้นเล็กๆใน http://ireport.cnn.com/docs/DOC-574017 ของ CNN ผมอ่านรวดเดียวจบ และรู้สึกสะเทือนใจ กับเรื่องที่อ่าน ผมขอถอดความรายงาน ให้ใกล้เคียงต้นฉบับเดิมที่สุด เพื่อนำมาเผยแพร่ ในยามที่ภาคใต้ของเราประสบกับภัยพิบัติครั้งรุนแรงที่สุดเช่นกัน ผมเชื่อว่า รายงานชิ้นนี้ จะเป็นอุทาหรณ์สอนใจคนไทย และให้แง่คิดดีๆ เพื่อเราจะได้ร่วมกันฟื้นฟูสร้างสรรค์ประเทศชาติที่ทรุดโทรมนี้ ขณะเดียวกัน ก็เชื่อว่า ภัยพิบัติเลวร้ายในประเทศไทย คงได้สร้างวีรชนนิรนามขึ้นมาอีกมากมาย หวังว่า ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ จะช่วยร่วมกันบันทึก ความยิ่งใหญ่ของวีรชนนิรนามเหล่านั้น เพื่อเป็นเยี่ยง และ อย่าง สำหรับไทยเราทุกคน จะได้ยึดถือกันต่อไปครับ ................... ................... ... เด็ก 9 ขวบสอนบทเรียนอันล้ำค่าแก่ผู้ใหญ่ เมื่อคืนนี้ผมถูกส่งไปที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งเพื่อช่วยหน่วยงานอาสาสมัครในการแจกจ่ายอาหารให้กับผู้ประสบภัยพิบัติในหมู่ผู้ที่เข้าคิวยาวรออยู่นั้นผมสังเกตุเห็นเด็กชายอายุประมาณ9ขวบคนหนึ่งซึ่งใส่เพียงเสื้อคอกลมและกางเกงขาสั้นอากาศขณะนั้นหนาวเย็นมากและเขากำลังยืนคอยอยู่ตอนท้ายแถวผมเป็นห่วงว่าอาจจะไม่มีอาหารหลงเหลือพอเมื่อถึงคิวของเขาผมจึงเดินไปเพื่อคุยกับเขาเขาเล่าให้ผมฟังว่า แผ่นดินไหวและสึนามิเกิดขึ้นขณะที่เขาอยู่ที่โรงเรียนในชั่วโมงพละศึกษา พ่อของเขาซึ่งทำงานอยู่ใกล้ๆกันมาหาเขาที่โรงเรียนเขามองเห็นคุณพ่อและรถของเขาถูกน้ำพัดหายไปจากระเบียงบนชั้นสามของโรงเรียนคุณพ่อของเขาคงเสียชีวิตไปแล้ว เมื่อผมถามเขาถึงคุณแม่เขาบอกผมว่าครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ริมทะเลดังนั้นคุณแม่และน้องชายของเขาคงไม่สามารถหลบหนีได้ทันเขาหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อเช็ดน้ำตาเมื่อถูกถามถึงญาติๆของเขาผมเห็นว่าเขาคงหนาวอยู่จึงถอดเสื้อโค๊ทตำรวจแล้วคลุมร่างเขาไว้ขณะเดียวกับที่ อาหารมื้อเย็นที่เหลือซึ่งซุกอยู่ในกระเป๋าก็หล่นออกมาผมหยิบมันขึ้นมาแล้วส่งให้เขาพร้อมบอกเขาไปว่า“น้าเป็นห่วงว่า อาจจะไม่มีอาหารเหลือถึงคิวของเธออีกนี่เป็นส่วนของน้าน้ากินไปแล้วหน่อยหนึ่ง เธอกินส่วนที่เหลือให้หมดเถอะ”เด็กน้อยยื่นมือมารับอาหาร แล้วค้อมตัวลงกล่าวคำขอบคุณผมคิดว่าเขาคงรีบกินด้วยความหิวในทันที แต่ .. เปล่าเลยเขาถืออาหารชิ้นนั้น แล้วเดินตรงไปยังหัวแถว ที่ซึ่งมีคนคอยแจกอาหารอยู่แล้ววางอาหารที่ผมให้กับเขาลงไปในกล่องของอาหารที่กำลังได้รับการแจกจ่าย แล้วเขาก็เดินกลับ มาเข้าแถวในคิวของเขาผมประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งผมจึงถามเขาว่าทำไมเขาไม่กินอาหารที่ผมให้เสียละเขาตอบผมว่า“เพราะมีคนอีกมาก ที่อาจจะหิวยิ่งกว่าผม ผมวางไว้ที่นั่น ก็เพื่ออาหารจะได้รับการแจกจ่ายอย่างเป็นธรรมให้กับทุกคน” เมื่อผมได้ฟังคำตอบ ผมต้องหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อร้องไห้ โดยที่คนอื่นๆจะได้มองไม่เห็นผมรู้สึกตื้นตันใจผมไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กชายอายุ 9 ขวบ ซึ่งยังเรียนอยู่เพียงชั้นประถมปีที่ 3 จะสามารถสอนบทเรียนล้ำค่าแก่ผม ในเวลาคับขันเช่นนี้มันเป็นบทเรียนแสนสะเทือนใจของความเสียสละประเทศใด ที่มีเด็กๆอายุเพียง 9 ปี ซึ่งเรียนรู้ที่จะอดทน ที่จะทนกับความยากลำบาก และเสียสละเพื่อผู้อื่นได้ ต้องเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ประเทศหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยแม้ประเทศนี้กำลังอยู่ในสภาวะที่คับขันที่สุด แต่ประเทศนี้ต้องสามารถฟื้นคืนกลับมาได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นแน่นอนทั้งนี้ด้วยเพราะประชาชนผู้รู้ที่จะเสียสละตัวเองให้กับผู้อื่น ดังเช่นเด็กชายน้อยๆผู้นี้ คิดได้มั๊งไม๊หนอ..คนใหญ่ โต นักการเมืองบ้านเรา :( เขียนได้สะเทือนใจดีครับ ทำให้อยากรู้ว่าหนูน้อยนี้เป็นใคร อยู่ที่ไหน คนญี่ปุ่นเองคิดอย่างไร ปรากฏว่า เช็คข่าวแล้ว ไม่ปรากฏอยู่ในสื่อญี่ปุ่นเลย กลายเป็นว่าแหล่งข่าวมาจากข้อเขียนของผู้ใช้อีเมล์ lemac@yahoo.com ในเว็บเวียตนาม http://dantri.com.vn/c202/s202-465515/lam-ban-ve-giao-duc-viet-nam.htm โดยที่อีเมล์นั้นใช้ติดต่อไม่ได้ ก็พอจะเข้าใจว่า สื่อมวลชนญี่ปุ่นทำไมไม่นำเสนอข่าวนี้ เพราะมันตรวจสอบไม่ได้ ไม่เหมือนข่าวการช่วยชีวิตหมาที่ต้องลอยคออยู่กลางทะเลเป็นแรมเดือน ซึ่ง Realistic ( เกี่ยวกับความจริง,เป็นไปได้,เป็นจริง) มากกว่า เลยไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง หรือเป็นเพียง Essay (ข้อเขียนสั้น ๆ ) ดีๆชิ้นหนึ่ง โชคดีที่บทความนี้ ไม่มีพิษภัย แม้ว่าจะถูกเผยแพร่กันไปโดยไม่มีการตรวจสอบ เพราะทุกคนก็อ้างจาก CNN ping! |