พิมพ์หน้านี้ - ธรรมะสุขใจ

LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่14"

นานาสาระ => ลึกลับ-เหลือเชื่อ-ธรรมะ => ข้อความที่เริ่มโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:27:51 pm



หัวข้อ: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:27:51 pm
หลายครั้งที่คนเรามักจะกลัดกลุ้ม
และจมดิ่งลงสู่ห้วงลึกของความเจ็บปวด
เพราะการกระทำที่ผิดพลาดของตัวเอง

หากชีวิตหลังความตาย
มีดินแดนแห่งนิรันดร์รอเราอยู่จริง
สิ่งเหล่านี้ก็คงจะเป็นแบบทดสอบ
เพื่อคัดกรองกัลยาณมิตร
เข้าสู่ดินแดนอันสงบนั้นกระมัง?

บ่อยครั้งรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน
กับชีวิตที่เหลืออยู่อย่างเจ็บปวด
ทุกข์ใจ ทุกครั้งที่ผิดพลาด ไม่สมหวัง
เหนื่อยกับความสุขที่อยู่เบื้องหน้าเรา เพียงไม่นาน 
เวลาผันผ่าน..พานพบกับความทุกข์ที่รออยู่เสมอ

ชีวิตยังคงผ่านพ้นไปวัน..วัน
บทเรียนทางธรรมพร้อม&แบบทดสอบแห่งชีวิต
ด้วยปากกาที่บรรจุไว้ซึ่งน้ำหมึก แห่งความสุข
และความทุกข์ ปะปนกันไป

เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตย่างกรายเข้ามาถึง 
ลมหายใจสุดท้ายถูกขับออกจากร่างกาย 
บททดสอบแห่งชีวิตข้อสุดท้าย
ก็จะเสร็จสมบูรณ์เสียที

(http://img484.imageshack.us/img484/6361/image00220pf.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:28:17 pm
ขงจื๊อท่านว่า 
                                             
- อบรมตนเองให้ดีเสียก่อน   แล้วจึงสอนผู้อิ่นต่อไป.

- เห็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วไม่ทำ   นั่นคือขาดความกล้า.

-เมื่อเห็นสิ่ที่ควรทำแล้ว   ก็ไม่ควรต้องเกรงใจ

แม้ต่อผู้ซึ่งเป็นอาจารย์   ก็ควรประลองฝีมือกับท่าน.

- บุคคลผู้ถึงซึ่งความรู้แจ้งในสัจธรรมในตอนเช้า

แม้พอถึงค่ำจะได้ตายไป   ก็เห็นสมควรแล้ว.

- สวรรค์นั้นพูดอะไรด้วยหรือ    ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนไป 

สรรพสิ่งก็เจริญเติบโตกันไป   สวรรค์ไม่เห็นพูดอะไรเลย.

(http://www.prabhupadanugas.eu/wp-content/themes/vigilance/images/top-banner/rotate.php)


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:30:57 pm
ความคิดมาก เป็นศัตรู
เพราะทอนกำลังกาย และใจของตนให้ทุพพลภาพลงไป

มี คนเป็นจำนวนไม่น้อย ที่ชอบคิดมาก คือไปคิดเรื่องไม่น่าจะคิด สนใจเรื่องไม่น่าจะสนใจ
ไปกลุ้มในเรื่องที่ไม่น่าจะกลุ้ม เช่น
คนบางคนเพียงแต่พบหน้าเพื่อน เพื่อนเขาไม่ทักอาจจะเพราะไม่ทันเห็น หรือไม่ มีธุระอะไรก็ตาม

พอ ตนเห็นอย่างนั้น ก็กลับไปคิดน้อยอกน้อยใจเสียเป็นคุ้งเป็นแคว ไปนอนคิดรำพึงรำพันว่า
เขาคงจะโกรธเราเสียแล้ว  เอเราไปทำอะไรให้เขาโกรธนะ หรือว่าใครไปยุเขา คิดเรื่อยเจื้อยไปอย่างนี้

แทนที่จะได้นอนพักผ่อน เพื่อเตรียมกายเตรียมใจไว้ทำงานต่อไป กลับมานอนกระสับกระส่าย
เพราะความคิดมาก จนกลายเป็นคนฟุ้งซ่าน

เรา จะพบว่า คนบางคนคิดมาก จนเป็นโรคประสาทหลอนก็มี เดินไปบนถนนหรือตรอกเล็ก ๆ ที่ไม่มีรถ
บางทีคิดเพลินไปจนกลายเป็นเสียงแตรรถดังอยู่ข้างหลังก็มี
และแสดงความผิดปกติออกไปทางด้านอื่นก็มีอยู่ไม่น้อย

ความ คิดมากนี้ ท่านเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าอุทธัจจกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านและรำคาญ
มองอะไรดูขวางหูขวางตาไปหมด ชอบคิดเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง

อันเป็นอุปสรรคต่อการงาน การเรียน ที่ท่านเรียกว่านิวรณ์ แปลว่าสิ่งที่กั้นจิตไว้ไม่ให้บรรลุความดี

ความ คิดมากจนฟุ้งซ่านในลักษณะนี้ ย่อมบั่นทอนต่อสุขภาพทางกาย และสุขภาพทางจิตของตนเป็นอย่างยิ่ง
เพราะร่างกายและจิตที่ไม่ได้รับการพักผ่อนพอสมควร ย่อมสูญเสียพลัง

อันอาจจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตของตน แต่กลับต้องมาเสียไป เพราะเรื่องที่ไม่ควรจะเสีย
และไม่คุ้มกับการที่ต้องเสีย

ท่านจึงกล่าวว่า การคิดมาก ฟุ้งซ่าน เป็นศัตรูต่อสุขภาพทางกาย และสุขภาพทางจิต
(http://i26.tinypic.com/k00g46.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:31:35 pm
อยู่ในที่ต่ำช้า เป็นศัตรูต่อสง่าราศี

ที่ ต่ำช้าในที่นี้ ท่านหมายถึงสถานที่อันมากไปด้วยสิ่งที่ไม่ดี
เช่นที่มั่วสุมของคนพาล นักการพนัน ตลอดถึงสถานที่อย่างอื่น ๆ
ซึ่งคนต้องก้มหน้าเข้าไป หรือบางที่ก็ต้องแอบ ๆ ซ่อนสายตาคนอื่น
เข้าไปอยู่ในความหมายของคำว่า "สถานที่ต่ำช้า" ทั้งนั้น

คน อยู่ หรือ เข้าไปในสถานที่ต่ำช้า เช่นนั้น ย่อมได้พบ ได้เห็น ได้ยิน
และเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ไม่ดี หน้าตาย่อมไม่ชื่นบานเท่าที่ควร
เช่นพบเห็นการทะเลาะวิวาทกัน ได้ยินเสียงด่าทอกัน
พบเห็นใบหน้าที่มุ่งหมายจะหักล้างกัน

สภาพแวดล้อมที่ไม่ดี มีส่วนในการทำลายสง่าราศีของคน
ให้เศร้าหมองทั้งทางสีหน้าและจิตใจก็ไม่อาจหาญแช่มชื่น

(http://www.nsaayat.com/up/uploads/nsaayatc3f60ecc02.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:32:09 pm
"ทุกข์สุขอยู่ที่ใจมิใช่หรือถ้าใจถือก็เป็นทุกข์ไม่สุกใส"
ใจไม่ถือก็เป็นสุขไม่ทุกข์ใจเราอยากได้ความทุกข์หรือสุขนา"

ในเรื่องทรัพย์สมบัติก็ทำนองเดียวกัน เราใช้ความเพียรพยายามหามาได้เท่าไร
ก็ควรยินดีเฉพาะที่เราได้มา แต่มิได้หมายความว่า ท่านสอนให้คนงอมืองอเท้า
ยินดีเฉพาะที่ตนมีอยู่นะ

เพราะการกระทำอย่างนั้น ไม่เป็นประโยชน์แก่ใครเลย
เป็นแต่เพียงท่านสอนให้คนมี "ปฏิลาภฉนฺท" คือ ยินดีเฉพาะสิ่งที่เราได้

เมื่อ เรายินดีเฉพาะสิ่งที่เราได้เช่นนี้ เราก็ได้ความสุขใจ
คนเราถึงแม้ว่าจนทรัพย์ แต่ถ้าไม่จนใจ ก็มีโอกาสที่จะประสพความสุขในชีวิตได้

(http://www.nsaayat.com/up/uploads/nsaayat428301de77.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:34:08 pm
สุขสดใส..ถ้าใจสงบ..

หากพูดถึงความสุขสดใสในชีวิต..
หลายคนคงปรารถนาและต้องการ..

หลายคนพยายามที่จะแสวงหา..
ความสุขสดใส..
เพื่อมาเติมเต็มในชีวิต..

แต่เชื่อหรือไม่ว่า..
ความสุขสดใสในชีวิต..
เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ..ที่หลายคนมองข้าม..
นั่นคือ..ความสงบภายในจิตใจเท่านั้นเอง..

เราพยายามที่จะแสวงหาสิ่งต่าง ๆ..
เพื่อตอบสนองความต้องการในชีวิต..
แต่ลืมที่จะเติมเต็มความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ..
ที่เกิดจาก..ความสงบ..

เพียงเราสูดลมหายใจลึก ๆ ยาว ๆ..
ในช่วงขณะใดขณะหนึ่ง..
ที่เราเกิดความรู้สึกท้อแท้..สิ้นหวัง..
เหนื่อยล้า..หมดหวัง..
ลองพยายามสูดลมหายใจลึก ๆ ดู..
เราจะรู้สึกและสัมผัสได้..
กับความสุขสงบภายในชั่วพริบตา..

หลายครั้งที่เราเหน็ดเหนื่อย..
จากเรื่องราวในชีวิต..
ลองหาที่พึ่งภายในจิตใจดูบ้าง..
แล้วเราจะได้พบความสุขสงบภายใน..
เป็นความสุขสดใสในชีวิตที่แท้จริงของเรา..

คงไม่ยากเกินไป..
ถ้าเราจะลองลงมือสร้างความสุขสงบภายในจิตใจ..
เพียงแค่เรามี..ลมหายใจ..

เราก็จะสามารถ..
สร้างความสุข..ความสงบที่ยิ่งใหญ่..
ในชีวิตของเราได้เป็นอย่างดี..

อย่ามัวแต่รอ..
หรือมัวแต่ชักช้า..อยู่ร่ำไป..
จงรีบสร้างความสุขสงบภายในจิตใจของเรา..
เพียงเรามีสติ..และรู้จักใช้ลมหายใจ..เท่านั้นเอง..

เพราะความสุขสงบที่แท้จริง..
ไม่ได้แสวงหาจากที่ไหนไกล ๆ เลย..
แต่เริ่มจากตัวของเราเอง..
เพียงแค่เรามีลมหายใจ..
ความสุข-ความสงบก็จะเกิดขึ้นกับเราได้ทุก ๆ วินาที..

บทความ..โดย..ชายน้อย..
(http://www.nsaayat.com/up/uploads/nsaayat28e2df434b.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:35:17 pm
คุณธรรมคือหน้าที่
ของการช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อ และการแบ่งปัน (หรือให้ทาน) นั้น
จัดว่าเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง
และเมื่อพูดถึงคุณธรรมแล้ว เรามักนึกว่าเป็นเรื่องสมัครใจ
คือทำก็ดี ไม่ทำก็ไม่เป็นไร ความคิดเช่นนี้เมื่อกล่าวโดยทั่วไปแล้วก็ถือว่าไม่ผิด
แต่มีหลายกรณีที่เป็นข้อยกเว้น เพราะในบางสถานการณ์หรือในบางสถานะ
คุณธรรมคือหน้าที่เลยทีเดียว......

ในบางสถานการณ์ การช่วยเหลือก็ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ
ไม่ใช่แค่เรื่องสมัครใจเท่านั้น เช่น เมื่อเห็นคนกำลังจมน้ำ
คนที่อยู่บนบกจะถือว่าธุระไม่ใช่ ช่วยก็ได้ ไม่ช่วยก็ได้ หาได้ไม่
ในยามนั้นทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือคนที่กำลังจะจมน้ำตาย
ถ้าไม่ทำย่อมถูกตำหนิ ติเตียน

คุณธรรมที่ถือว่าเป็นหน้าที่นี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "หน้าที่ทางศีลธรรม"
ทุกสังคมหรือทุกวัฒนธรรมย่อมกำหนดหน้าที่ทางศีลธรรมไว้
สำหรับบุคคลอย่างน้อยก็เมื่ออยู่ในบางสถานะ
หรือในบางสถานการณ์ หน้าที่ทางศีลธรรมต่างจากหน้าที่ตามกฎหมาย
เพราะไม่มีการตราเป็นข้อบังคับหรือลายลักษณ์อักษร
แต่ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ผู้ที่ละเมิดหรือละเลย
แม้จะไม่ถูกลงโทษตามกฎหมาย แต่ก็ถูกตำหนิ ติเตียนจากสังคม
หรือถึงกับไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย………..

คุณธรรมนั้นมีเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างความผาสุกในสังคม
ขออย่าให้กลายมาเป็นเครื่องมือทำร้ายผู้คนหรือสร้างภาพให้แก่พาลชน

สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย:
พระไพศาล วิสาโล

บทความเต็ม ๆ เชิญอ่านได้ที่
http://variety.teenee.com/foodforbrain/2551.html
(http://farm4.static.flickr.com/3517/3790845895_7c5dcb89c4.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:37:28 pm
ปรุงแต่งใจให้เป็นสุข. . .

ความสุขของมนุษย์อย่างหนึ่งคือ

ความสามารถในการปรุงแต่งสร้างสรรค์คิดค้น ซึ่งสัตว์อื่นไม่มี
การที่มนุษย์เจริญขึ้นมามีเทคโนโลยีมีสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มากมาย
ก็เกิดจากความสามารถของมนุษย์ในการปรุงแต่งสร้างสรรค์นี่แหละ
แต่กว่าจะออกมาเป็นวัตถุปรุงแต่งสร้างสรรค์ได้
ต้นเดิมมันมาจากไหน มันก็มาจากในใจของเรา
คือ ใจที่มีสติปัญญาเริ่มด้วยใช้ปัญญาคิดปรุงแต่งข้างในแล้ว
จึงแสดงออกมาเป็นการปรุงแต่งประดิษฐ์วัตถุ
สร้างสรรค์วัตถุข้างนอกได้จนกระทั้งเป็นคอมพิวเตอร์และดาวเทียม
ก็เกิดจากความคิดในใจเป็นจุดเริ่ม

ทีนี้ความคิดของเรานี่น่ะ

นอกจากปรุงแต่งสร้างสรรค์วัตถุข้างนอกแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือ
ปรุงแต่งสุขปรุงแต่งทุกข์ข้างใน เราไม่รู้ตัวหรอกว่าเราใช้ความสามารถนี้ตลอดเวลา
ด้วยการปรุงแต่งความสุข และปรุงแต่งความทุกข์
จริงไหมว่าที่เราทุกข์เราสุขกันนี้ ส่วนมากเป็นสุขและทุกข์ที่เราปรุงแต่งขึ้นเอง
ไม่เหมือนกับสัตว์อื่น

บางคนมองอะไรก็น่าขำไปทั้งนั้น

บางคนมองเห็นอะไรก็รู้สึกขัดหู ดูขัดตาไปทุกอย่าง
บางคนไม่มีอะไรก็นั่งกังวลไม่สบายใจ ทุกข์ไปหมด
นี้เป็นตัวอย่างง่าย ๆ ของการปรุงแต่งจิตใจ
เราตั้งท่าทีของจิตใจอย่างไรก็สร้างจิตใจให้เป็นอย่างนั้น สุข-ทุกข์ก็เกิดตามมา

ในชีวิตประจำวัน

เมื่อทำงานทำการ เราก็มองโลก เราก็มองคนที่พบเห็นมาหาไปหา
เช่นเป็นแพทย์เป็นพยาบาลก็มองคนไข้ไปด้วย
เราต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนทั่วไป กับผู้ร่วมงาน เราจะต้องหัดมองให้เป็น
อย่ามองในแง่ที่กระทบหูกระทบตา

วิธีมองให้ไม่เกิดโทษมีหลายอย่าง

อย่างน้อยก็ควรมองเห็นว่าเป็นประสบการณ์แปลก ๆ
ในวันหนึ่ง ๆ เราพบเห็นผู้มีกิริยาอาการต่างๆ มากมาย
คนนั้นลักษณะอย่างนั้น คนนี้ลักษณะอย่างนี้
เราก็มองในแง่ที่ว่า เป็นสิ่งที่ได้รู้ได้เห็น เป็นประสบการณ์
หลากหลาย เป็นข้อมูลความรู้ อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์
เราอาจจะสบายใจหรือพอใจว่านี่เราได้รู้เห็นรู้จักโลกมากขึ้น โลกเป็นอย่างนี้
เมื่อเราทำใจอย่างนี้ สิ่งที่พบเห็นก็ไม่กระทบหูไม่กระทบตา ไม่กระทบใจ
เราก็สบายใจ แต่ไม่แค่นั้น ยังดีกว่านั้นอีกคือเราได้ความรู้ด้วย

สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย: โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

บทความเต็ม ๆ เชิญอ่านได้ที่
http://variety.teenee.com/foodforbrain/3382.html

(http://www.silentecho.org/flora/FragrantWaterLily-NymphaeaOdorata-04Aug30-4FRAMED.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:38:51 pm
ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า

''น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด''

คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ
ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
เพราะถ้าเราเด่นตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราเด่นทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบ หรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบ หรือมาชัง แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่ง
ที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้น หันกลับมามองตัวเองดีกว่า
ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ

นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า
เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง
คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง
ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้

เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า
บางที่ คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น
เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย

วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย
ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า
คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก
เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม
อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง
ความโกรธ ความเกลียดนั้น

ขอบคุณที่มา :
วิสัชนา โดย ว.วชิรเมธี
http://variety.teenee.com/foodforbrain/3399.html

(http://static.diary.ru/userdir/3/9/4/7/394769/24006258.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:39:00 pm
ใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ผู้มีปัญญาเห็นค่าของใจว่าสูงกว่าค่าของสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น
ดังนั้นผู้มีปัญญาจึงพร้อมจะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง
เพื่อเพิ่มพูนความดีงามให้แก่จิตใจตน

ถ้าความไม่สมหวังเกิดขึ้น แล้วทำสติให้รู้ทัน
ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ผ่านไปแล้ว
ควรไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น อยากให้ไม่เกิดขึ้นเช่นนั้น
แต่อยากให้เกิดเป็นอีกอย่างหนึ่ง
คือเป็นความสมหวัง เช่นนี้นับว่าเป็นการเพิ่มค่าให้แก่จิตใจ
คือทำให้จิตใจปล่อยวางได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นได้

ขอขอบคุณที่มา : วงล้อแห่งธรรม


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:39:23 pm
๔ พลังสร้างตนเองให้เข้มแข็ง

๑.ปัญญาพละ
รอบรู้เรื่องตน เรื่องคน เรื่องงาน พ้นจากการบัญญัติ

๒.วิริยพละ
เข้าถึงไม่ได้ด้วยการเรียนตามตำรา ปลุกใจบริวาร และตนให้เป็นคนพากเพียร

๓.อนวัชชพละ
ทุจริตต้องละ อบายมุขต้องลด ความถูกต้องทั้งหมด ลัดตรงเข้าสู่ใจ ยกไว้เหนือเศียร

๔. สังคหพละ
จิตใจอารี พาทีน่ารัก รู้จักสร้างสรรค์ มีมนุษย์สัมพันธ์ ยิ้มแย้ม เยี่ยมเยียน มองดู รู้ธรรม


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:39:44 pm
๔ พลังสร้างตนเองให้เข้มแข็ง

๑.ปัญญาพละ
รอบรู้เรื่องตน เรื่องคน เรื่องงาน พ้นจากการบัญญัติ

๒.วิริยพละ
เข้าถึงไม่ได้ด้วยการเรียนตามตำรา ปลุกใจบริวาร และตนให้เป็นคนพากเพียร

๓.อนวัชชพละ
ทุจริตต้องละ อบายมุขต้องลด ความถูกต้องทั้งหมด ลัดตรงเข้าสู่ใจ ยกไว้เหนือเศียร

๔. สังคหพละ
จิตใจอารี พาทีน่ารัก รู้จักสร้างสรรค์ มีมนุษย์สัมพันธ์ ยิ้มแย้ม เยี่ยมเยียน มองดู รู้ธรรม


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:40:11 pm
ทุติยอัปปิยสูตร
กล่าวไว้ว่า
ผู้ใดมีธรรม ๘ ประการ ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่เคารพ และเป็นที่สรรเสริญของเพื่อน
อันประกอบด้วยคือ

๑. ไม่เป็นผู้มุ่งลาภ

๒. ไม่เป็นผู้มุ่งสักการะ

๓. ไม่เป็นผู้มุ่งความมีชื่อเสียง

๔. เป็นผู้รู้จักกาล

๕. เป็นผู้จักประมาณ

๖. เป็นคนสะอาด

๗. ไม่เป็นคนชอบพูดมาก

๘. ไม่เป็นผู้ด่าบริภาษเพื่อน"

ธรรมะที่ทำให้เป็นที่รัก
ทุกคนอยากให้คนอื่นรัก แต่เขาไม่รักก็เพราะขาดหลักธรรม

ทุกคนปรารถนาอยากให้ตนเป็นที่รัก
เป็นที่พอใจของเพื่อนสนิทมิตรสหาย ญาติ หรือคนใกล้ชิด
อีกทั้งยังอยากให้คนอื่นมาเคารพนบนอบ
และสรรเสริญเยินยอตนเองด้วยกันทั้งหมดทั้งสิน

ท่านที่ผิดหวังอาจจะได้ย้อนคิด
มีเวลามาไตร่ตรองดูตามหลักธรรมว่า
ที่เขาทิ้งเราไปเพราะเหตุใด
เราขาดหลักธรรมในข้อไหน หรือเราผิดอะไร... เขาจึงทำกับเราได้

ในทำนองเดี่ยวกัน หากเราต้องการให้คนอื่นไม่รัก
ไม่พอใจเราก็ให้กระทำตรงข้ามกับหลักธรรม ดังกล่าวนี้เช่นกัน
เราเป็นพุทธศาสนิกชนก็นำมาปรับและประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้เช่นกัน
เพราะหลักธรรมมีความใหม่ ทันสมัย และใช้ได้อยู่เสมอ...


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:40:26 pm
คนที่อยากเป็นตัวเองนั้น
สิ่งแรกคือรู้ให้ได้ก่อนตัวเองต้องการ
และจะต้องไม่เดือดร้อนคนอื่น
สิ่งที่ต้องการนั้น คืออะไร จะทำอย่างไร คิดให้ได้
หากแน่ใจแล้วนั้นคือต้องการจริงๆ ลงมือทำเลย ไม่ต้องคิดถึงผลลัพธ์
ผิดทำใหม่ ผิดอีกรอบแรกทำยังไงรอบสองต้องไม่ทำแบบนั้น จำไว้ผิดยังไง
รอบสาม รอบสี่ ทำใหม่ได้เสมอ ทำจนกว่าจะใช่ตามต้องการ
นั้นคือข้อแรกของการเป็นตัวเอง เราเป็นตัวเองเราจะรู้ว่า..อ้อ!
ไม่ว่าอะไรจะผ่านเข้ามาหรือผ่านออกไป เราก็ยืนได้เสมอ
อ่อนแอได้แต่ต้องไม่นาน เข้มแข็งได้แต่ไม่ใช่ทิ้งสังคมเลย
อยู่ได้เสมอไม่ว่าจะมีอะไรหนักแค่ไหน เบายังไง
นั้นแหละ ชีวิตที่เป็นเราเองจริงๆ ชิว ชิว ครับ


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:40:50 pm
ความเข้มแข็งของคน..กับศีลธรรมที่อ่อนแอของคน
ในชีวิตประจำวัน คนเราต้องพานพบประสบเรื่องราวนานัปการ
บ้างก็เป็นปัญหา บ้างก็เป็นผลสำเร็จ
บ้างก็เป็นเรื่องยุ่งยาก บ้างก็เป็นเรื่องง่ายดาย
บางครั้งก็มีทั้งเรื่องราวที่ไร้สาระกับเรื่อง ที่ควรจริงจัง
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราทุกคนพบเห็นได้เป็นประจำในชีวิต
แปลกตรงที่เราแต่ละคนประสบกับสิ่งต่างๆแตกต่างกันไป
บางคนโชคดี บางคนโชคร้าย บางคนมีโอกาส บางคนกลับไร้วาสนา
นี่ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีและน่าเศร้าควบคู่กันไป

"หนักแน่นแม้นเหมือนดั่งขุนเขา บางเบาประดุจขนไร้จุดหมาย
หนักที่เกินก็ยากจะเคลื่อนย้าย เบาก็ง่ายมากจนเกินไม่พอดี
บ้างเข้มแข็งกลับกลายเป็นก้าวร้าว บ้างอ่อนแอก็ฉาวไร้ศักดิ์ศรี
ขอมนุษย์จงเลือกเอาแต่พอดี นี้แหละเรียกชีวิตไม่ผิดทาง"


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:44:00 pm
"การสูญเสียเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักร
ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดไป
ไม่มีอะไรจากเราไปตลอดกาล
ถ้าคลี่เวลาออกเป็นเส้นตรงและสามารถเห็นได้จริงทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคตพร้อมกัน
เราคงเห็นตัวเองได้ของรักแล้วเสียของรัก
หัวเราะแล้วร้องไห้ พบแล้วพลัดพราก
ย้อนเวียนกลับไปกลับมา สลับกันเป็นสายโซ่ยืดยาว"

บทสรุปหนึ่งก็คือว่า รักแท้น่ะมีจริง แต่ที่จริงกว่านั้นคือกิเลส
หมายความว่าถ้ามองตามสายตาทางโลกก็ต้องว่ามี
แต่ถ้ามองตามสายตาทางธรรม ก็ต้องว่ารากของรักแท้นั้นมาจากกิเลสนี่เอง
ที่รักแท้จะมีอันต้องกลับกลายเป็นรักเก๊ ก็ด้วยกิเลสอันเดียวกันอีกนั่นแหละ
โดยมีตัวแปรเช่นบุคคล เวลา และสถานการณ์มาร่วมสมการกิเลส

"พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า
คนเรามีรักร้อยก็นับว่าทุกข์ร้อย
มีรักสิบก็นับว่าทุกข์สิบ
มีรักหนึ่งก็นับว่าทุกข์หนึ่ง
หากไม่มีรักเลย ก็แปลว่าไม่ต้องมีทุกข์เพราะรักเลยเช่นกัน…
สรุปคือ ความรักเป็นแค่รูปแบบหนึ่งของความทุกข์เท่านั้น
ต่อให้รักกันยืดยาวจนแก่เฒ่า วันหนึ่งก็ต้องทุกข์ใหญ่หลวง
เพราะความพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักอยู่ดี”

กิเลสมากก็ทุกข์มาก กิเลสน้อยก็ทุกข์น้อย
สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์

ภพชาติ ความสัมพันธ์ และสายใยต่างๆนั้นซับซ้อน
มีความไม่แน่นอนเป็นความหวังได้ด้วยเหตุปัจจัยอันลึกลับเกินหยั่ง
ทำใจไว้แต่แรกว่าเราทุกคนเป็นนักเดินทางผู้โดดเดี่ยว จะได้สบายใจในระยะยาว

(http://krasota-gif.narod.ru/s/birds/02.gif)


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:45:20 pm
....ความรักใดใด ที่เราได้เสาะแสวงหามานั้น

เพื่อตอบสนองสัญชาตญานการของตน ให้อยู่รอด
ฤาสนองความต้องการ ของตนเอง ที่เต็มไปด้วย กิเลศ ตัญหา ที่ไม่รู้จักพอ
ฤาเพียงต้องการแค่ความรู้สึกที่ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกใบนี้

น่าแปลกไหมว่า
เราอยู่ท่านกลางคนกว่าหมื่นล้านคนบนโลกใบนี้
แต่เรากลับหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้เลย
อาจเป็นเพราะว่าเรารู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นหาได้จากที่ไหน
แต่เพราะด้วยหนทางไปสู่นั้น

เราต้องใช้ทั้งความวิริยะ อุสาหะ ศรัทธา ตั้งใจมุ่งมั้น
โดยวิถีแห่ง มรรค 8 

ผมเองปรารถนามีความสุขที่แท้จริงในชีวิต
และปรารถนาให้ทุกคนบนโลกใบนี้หลุดพ้นจากสงสารวัฏนี้
จึงต้องพยายามให้หนักถึงขั้นแตกหักกับใจของตน
ไม่ หลง ไม่เผลอ และไม่บังคับ มัน
มิฉะนั้นก็จะลงผิด เพี้ยน ไปได้

ผม..ปรารถนาให้ทุกท่านที่กำลังหลงทาง เจ็บปวด ทรมาน ในมหาสมุทรนี้ ได้ขี้นฝั่งได้
ขอบุญกุศลนี้ อาจส่งผลให้ผมมี ปัญญา พละ วิริยะ อุตสาหะ ศรัทธา ที่จะได้ว่ายขี้นฝั่งได้โดยปลอดภัย..เถิด


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:47:25 pm
พฤติกรรมปรับกันได้

พฤติกรรม คือ การกระทำหนึ่ง ซึ่งแสดงออกมา
เพื่อตอบสนองความคิดของตัวเอง
พฤติกรรมที่แสดงออกมานั้น มีทั้งด้านดีหรือไม่ดี
หรือจะเป็นพฤติกรรมเสแสร้งก็ตามเหอะ

เชื่ออย่างหนึ่งว่า
คนเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองได้
เว้นแต่ ไม่คิดจะเปลี่ยน

สาเหตุที่ไม่เปลี่ยน
มีนัย ๆ ว่า จะทำให้เสียความเป็นตัวตนของตัวเอง.....

การปรับพฤติกรรมในสังคม เพื่อที่จะให้อะไร ๆ มันดีขึ้น
แค่ปรับให้สามารถลื่นไหลไปกับสภาพทางสังคมที่เราเป็นอยู่ คือ
ได้ ต่างหาก...โดยเฉพาะตัวเรา ให้คนอื่นเขามองเราในด้านบวกซะมั่ง
 
ไม่ได้เสียความเป็นตัวตน และไม่ได้เกิดความเสียหายเลย
ไม่ใช่!..ไม่จำเป็นต้องง้อสังคมหรอก สังคมต่างหากที่ต้องง้อเรา
พฤติกรรมด้านลบแบบเนี้ย
แม้จะนิมนต์พระท่านมาสั่งสอนก็คงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ยาก ..
แต่ไงซะ...สันดอนมนุษย์ก็ยังขุดลอกให้เป็นคลองได้เลย....

I’m fine thank you.
(http://krasota-gif.narod.ru/s/valent/446.gif)


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:58:03 pm
ชีวิตที่เหมือน...ม้าแข่ง

ชีวิตคนเราทุกวันนี้ดูๆแล้วอะไรๆก็รีบไปเสียหมด...
รีบจนร้อน...ร้อนจนอึดอัด...เหนื่อยจนเกิดอาการ ทุกข์
จนมองไม่เห็นว่าชีวิตเราเป็นเช่นไร...

ชีวิตคนถ้าให้ผมเปรียบ...ผมว่าเหมือนม้าแข่งนะ
รีบกันจริงกันจัง ( น่ารักดี กันจริงกันจัง Smiley )
ม้าบางตัวเด่นทางไกล ม้าบางตัวเด่นทางใกล้
พอถึงเส้นชัยแล้ว ทุกๆตัวก็กลับข้อง

คนบางคนเกิดมาใช้ชีวิตโรดโผน
คนบางคนเกิดมาใช้ชีวิตแบบเรียบๆ
แต่ในที่สุด...จุดจบของคนเราก็ต้องลงโลง

แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ...คำถามที่ว่า...ใครใหญ่
คนที่ใหญ่โต จริงๆจะต้องรักเรา...ไม่ใช่การข่มขู่เรา
คนที่ใหญ่โต จริงๆจะต้องจะต้องไม่ทำให้เราเสียใจ

ใครใหญ่สำหรับผม..ท้องฟ้าไงครับ
เคยสังเกตุมั้ย กอดเราได้ทุกวัน ทั้งวันด้วย ไม่รู้จักเหนื่อย
กอดเราให้...ปลอดภัยจากระบบศูนย์ยากาศ
และ พร้อมที่จะกอดทุกๆ คน


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:58:22 pm
"อภัย"

การแสดงอภัยทาน เป็นการชำระใจ
แม้จะดูพูดง่าย แต่ก็ทำได้ยาก หากไม่ฝึกทำจน เป็นปกติ
เพื่อให้เข้าใจง่ายและอยากทำให้ได้

เมื่อรู้ว่า เราได้ทำอะไรผิดพลาดไป
ก็ขอโทษกัน ให้อภัยกัน
การขอโทษ หรือการให้อภัย
มิใช่การเสียหน้า หรือเสียรู้
มิใช่การได้เปรียบ..หรือเสียเปรียบแต่อย่างใด
หากแต่เป็นการชำระใจเราให้สะอาด


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:58:35 pm
"ยอม..บ้่าง..."

การยอมกันเสียบ้าง ก็เป็นความสุขได้ไม่ยาก
เรากำลังบำเพ็ญบารมีขั้นสูง คือ “อภัยทาน”
อภัยทาน อันเป็น “ทานบารมี” ที่ สูงส่ง
คนที่ทำให้เราทุกข์ใจที่สุด ก็คือ คนที่เรารักที่สุด
และคือผู้อยู่ใกล้เราที่สุด

ทุกครั้งที่เราเห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นกับชีวิต
ลองมองผ่านกฎเกณฑ์แห่งกรรมดูบ้าง
ก็จะช่วยให้จิตใจของเราโปร่งเบาขึ้นมาได้
ความทุกข์ส่วนใหญ่ มักเกิดจากการไม่ยอมรับความจริงที่เปลี่ยนแปลง
ความทุกข์ของมนุษย์ส่วนมาก
มักเกิดจากการต้องเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้
หรือไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง แต่กลับเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 07:58:49 pm
“อโหสิกรรม”
คือ เรื่องผลกรรมที่เกิดขึ้นจากรรมในอดีต ที่เราไม่ได้“อโหสิกรรม”
ไม่ยอมให้อภัยในภพชาติที่แล้ว

เราต้องยอมรับความจริงของสิ่งที่เกิดกับตัวเราในปัจจุบัน
ปัญหาบางอย่างที่แก้ไม่ตก สลัดไม่ออก หลบลี้หนีไม่ได้
เป็นสิ่งที่เราต้องรับด้วยชีวิต

การยอมรับเรื่องกฏแห่งกรรมนั้น
จะทำให้จิตใจเราเยือกเย็นและอ่อนโยนลงได้
เพราะการให้อภัยในความผิดพลาด ของคนๆหนึ่งเป็นสิ่งที่ทำง่าย
เหมือนการแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์
ขอให้เราทำทุกครั้ง ทำเหมือนกรวดน้ำหลังทำบุญ
เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่

เมื่อเราสร้าง “อภัยทาน” ให้เป็นนิสัย
โดยไม่ต้องฝืนใจทำ เศษกรรมต่างๆ
ที่จะติดตามเราไปข้ามภพข้ามชาติ ก็จะถูกสลัดออก
เป็นอโหสิกรรม ด้วยเราให้อภัยทานแล้ว

เมื่อเราทำจิตให้อภัยแล้ว ใครๆที่ผูกอาฆาตพยาบาทเราไว้
แรงพยาบาทของกรรม ก็จะหมดลง ด้วยแรงบุญจากเราได้ “อโหสิ” เสียแล้ว


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 08:00:41 pm
ครองรักครองเรือน
เขาว่ากันไว้ว่า
"แรกรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน ครั้นอยู่นานไป น้ำอ้อยก็กร่อยขม"
แม้ ว่าจะเป็นประโยคที่กล่าวต่อเนื่องมาจากโบราณกาลแล้ว
แต่ก็ดูยังทันสมัยอยู่เสมอในปัจจุบัน
หลายต่อหลายคู่แรกรักกันใหม่ๆ ก็จี๋จ๋าหวานซาบซึ้งกัน
มองตากันทั้งวัน จับมือกันทั้งวัน ไปไหนไปด้วยกัน

หลายคู่ที่เริ่มต้นแบบราบเรียบธรรมดา
ไม่หวือหวาอะไร แต่พยายามเข้าใจกัน
ปรับตัวเข้าหากัน ด้วยความรัก ความผูกพัน
ความรักของเขาและเธอกลับหวานแหววเพิ่มขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านไป
และกลับมีชีวิตคู่ที่แสนหวาน น่ารัก เป็นที่ชื่นชมของคนรอบข้าง ...
นั่นเป็นศิลปะของการครองรักครองเรือนมิใช่หรือ ???
อย่างน้อยบางเรื่องบางราวของคนในยุคโบราณ
ก็น่าจะนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตคู่ได้
เพราะการจะมีคู่ครองสักคน
ต้องอาศัยทั้งความอดทน อดกลั้น และอดออม

คนโบราณมักจะสอนว่า
"ขอให้ถือไม้เท้ายอดทอง กระบอกยอดเพ็ชร
ขอให้ครองคู่กันไปตราบนานเท่านาน
ขอให้มองเห็นความดีของกันและกันเสมอ"

ถ้าใครคิดจะมีคู่สักคน
แล้วหวังว่าเขาหรือเธอจะเป็นไปในรูปแบบที่ตัวเองต้องการ
เพราะความรัก ขอบอกว่า คิดผิดอย่างมหันต์
การมีชีวิตคู่ที่สุขสม... เข้าใจกัน ไว้ใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
เคารพนับถือซึ่งกันและกัน และให้อภัยกัน เป็น คำที่ยังคงทันสมัยเสมอ
 
ถ้าคุณทำได้...
คุณจะไม่ผิดหวังในบุคคลที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของคุณเลย ชาย...หญิงนั้น

การมีชีวิตคู่ด้วยความรัก
จึงเป็นปฐมบทของการใช้ชีวิตร่วมกันในทุกยุคทุกสมัย
คนเรานั้นเกิดมาเพื่อแสวงหาความรัก ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย
ไม่ว่าความรักนั้นจะเป็นความรักต่อต่างเพศ
หรือเป็นความรักในเพศเดียวกัน ก็นับเป็นความรักที่สวยงามเช่นกัน


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 08:01:22 pm
เรื่องของทางโลกและทางธรรม

ทางโลก
คือ การแสวงหาสุขแล้วไปเจอทุกข์
เหมือนกับปลาที่ฮุบใส้เดือนได้แล้วไปเจอเงี่ยงเบ็ด

ทางธรรม
คือ การกำหนดหยั่งรู้ทุกข์ แล้วปล่อยวางความสุข
เหมือนกับการสละไส้เดือนเพระเห็นโทษแห่งการติดเบ็ด

ทางโลก คือ
เส้นทางที่จะไปตกเหวตาย ที่สรรพสัตว์ทั้งหลายชักนำกันไป
สิ่งที่จะไปเจอ คือความผิดหวัง เพราะสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตายและความพลัดพราก
น้ำตา คือรางวัลแก่ผู้เข้าเส้นชัยที่ดำเนินไปในทิศทางของโลก

ทางธรรม คือ
เส้นทางหวนกลับของสุนัขจนตอรก เพราะเมื่อมนุษย์ทั้งหลาย หากถูกกิเลสไล่แล้ว
ก็ทำไปตามกิเลส ความอยากของตน จะต้องไปเจอทางตันอย่างแน่นอน
เพราะเราไม่สามารถจะหาสิ่งมาตอบสนองความอยากของเราได้ตลอด
ฉะนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องหันกลับมาฟัดกับกิเลสของเรา
เพื่อเอาชนะกิเลสของตน ไม่ตกเป็นทางของอารมณ์

ทางโลก คือ การทำตามใจกิเลส อันเป็นเหตุแห่งความเดือนร้อน
ทางธรรม คือ การดับกิเลส อันเป็นเหตุแห่งความสงบเย็น

ทางโลก คือ การกินของหวานที่ทำให้เกิดร้อนใน
ทางธรรม คือ การกินของขม เพื่อรักษาอาการร้อนใน

ทางโลก คือการยึดถือสิ่งต่างๆ ว่าเป็นของเรา
ทางธรรม คือ การรู้จักปล่อยวาง จากสิ่งทั้งปวง อย่างผู้มีปัญญา


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 08:01:42 pm
ความเหงานี่ฆ่าชีวิตคนได้จริงไหม
ฆ่าได้ ถ้าคนเหล่านั้นไม่มีปัญญา
ฆ่าได้ เพราะเป็นโรคภัยไข้เจ็บอย่างหนึ่ง
ซึ่งบั่นทอนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต

ปัจจัยของความเหงา คือ
ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันเรามีอะไรบ้าง
แต่ละคนเก็บอะไรเข้าไปบ้าง
เก็บความรู้สึก ผิดหวัง เสียใจ อาดูรกับสิ่งที่หมดไป
มีความสะเทือนใจ คับแค้นใจ อึดอัดใจ กลุ้มใจ สารพัด
ความรู้สึกเหล่านี้
จึงเป็นเหตุใหญ่ที่สร้างความเหงาและความว้าเหว่ให้กับชีวิต

เมื่อเอาความเหงา ความเบื่อออกไป
จิตของเราก็จะเป็นบุญกุศล
แช่มชื่น เบิกบาน เยือกเย็นแล้วก็แจ่มใส
ปราศจากมลทินขึ้นมาแทนที่


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 08:02:01 pm
ตั้งสติก่อนดับสูญ
ขอให้เรามีสมาธิตั้งมั่นอย่างแรงกล้า
ขอให้เรามีศรัทธาในปีติสุข
เมื่อต้องละทิ้งอาหารและความมั่งคั่งที่สั่งสมมาด้วยความตระหนี่
และต้องพลัดพรากจากทุกสิ่งอันเป็นที่รัก
และห่วงหา อาทรชั่วนิรันดร์โดยลำพัง

ขอให้เราพัฒนากุศลจิตอันทรงพลัง
ก่อนแตกดับ ด้วยกำลังวังชา ที่ถดถอย
จมูกและปากเหี่ยวแห้งลง ไออุ่นกำลังจะหมดไป
ลมหายใจรวยระริน ด้วยเสียงในลำคอก่อนสิ้นใจ

เราใคร่ตระหนักถึงวิถีแห่งความเป็นไปที่ไม่อาจหลีกพ้น
ขอให้เรามีสติ สามารถใคร่ครวญจิตอย่างแจ่มชัด
เมื่อธาตุลมเริ่มดับสลายกลายเป็นวิญญาณธาตุ
กระแสของลมหายใจภายนอกสิ้นสุด
เกิดภาพมายานานา ลวงตา
หมอกควัน ล่องลอย
แสงหิ่งห้อยที่เดินตามดับลง


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 08:02:30 pm
ตั้งสติก่อนดับสูญ
ขอให้เรามีสมาธิตั้งมั่นอย่างแรงกล้า
ขอให้เรามีศรัทธาในปีติสุข
เมื่อต้องละทิ้งอาหารและความมั่งคั่งที่สั่งสมมาด้วยความตระหนี่
และต้องพลัดพรากจากทุกสิ่งอันเป็นที่รัก
และห่วงหา อาทรชั่วนิรันดร์โดยลำพัง

ขอให้เราพัฒนากุศลจิตอันทรงพลัง
ก่อนแตกดับ ด้วยกำลังวังชา ที่ถดถอย
จมูกและปากเหี่ยวแห้งลง ไออุ่นกำลังจะหมดไป
ลมหายใจรวยระริน ด้วยเสียงในลำคอก่อนสิ้นใจ

เราใคร่ตระหนักถึงวิถีแห่งความเป็นไปที่ไม่อาจหลีกพ้น
ขอให้เรามีสติ สามารถใคร่ครวญจิตอย่างแจ่มชัด
เมื่อธาตุลมเริ่มดับสลายกลายเป็นวิญญาณธาตุ
กระแสของลมหายใจภายนอกสิ้นสุด
เกิดภาพมายานานา ลวงตา
หมอกควัน ล่องลอย
แสงหิ่งห้อยที่เดินตามดับลง


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 08:02:45 pm
จงอยู่ในห้องที่มีแต่วันนี้
เป็นหนึ่งในวิธีชนะทุกข์ และสร้างสุข
.....จงสำรวจตัวของท่านเอง ว่า
เป็นปกติสม่ำเสมออยู่หรือเปล่า ?

และ..จงถือเสียว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือเมื่อวานนี้
มันคือ..อดีตเป็นสิ่งที่ล่วงเลยมาแล้วและปิดฉากไปแล้ว...
จงเอาฉากเหล็กมากั้นไว้เสีย.
อนาคตเพียงแต่เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึงและยังไม่ปรากฏรูปร่าง

เมื่อท่านปฏิบัติได้เช่นนี้ ท่านจะอยู่ในฐานะปลอดภัย - ปลอดภัยสำหรับวันนี้ !!!!!

....ปิดฉากอดีต !!!!! ให้อดีตเป็นความตายที่ถูกฝังไว้แล้ว.....
....ปิดฉากวานนี้ซึ่งท่านอาจจะผ่านมาอย่างโง่เง่าเสียให้หมด.....
.....ภารกิจวันพรุ่งนี้, รวมทั้งเมื่อวานนี้, อย่านำมาปฏิบัติในวันนี้,
มิฉะนั้นจะทำให้เกิดความไม่เรียบร้อยอย่างร้ายแรงขึ้น

ปิดอนาคตไว้ให้หนาแน่นเช่นเดียวกับอดีต.....
.....อนาคตคือวันนี้.....ไม่มีพรุ่งนี้. จงช่วยตัวท่านเองเสียแต่วันนี้.

ผู้ที่ความห่วงใยสำหรับอนาคตจะทำให้สมรรถภาพหย่อน,
จิตใจว้าวุ่น, กระวนกระวายจากทุกข์.....
ท่านปิดมันเสียให้หมด, ทั้งอนาคตและอดีต,
และเตรียมที่จะเพาะนิสัยแห่งการมีชีวิตอยู่ " ในห้องที่มีแต่วันนี้ "

สำหรับพรุ่งนี้มันคืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง....
และพรุ่งนี้เรายังสามารถสร้างความหวัง...ได้เสมอ
แต่ในวันนี้...เราต้องอยู่และกระทำทุกอย่าง-อย่างมีสติเสมอ
จะทำให้เราไม่เสียใจมากนักกับวันนี้ที่จะเป็นอดีตในพรุ่งนี้
หรือต้องมาแก้ไขในวันนี้ให้ดีขึ้นเพื่ออนาคตในวันพรุ่งนี้
"เพราะเราอาจไม่มีพรุ่งนี้ให้แก้ไขก็ได้...
เพื่อความสำเร็จของคุณ
เพราะมีแต่วันนี้ เวลานี้ นาทีนี้ เท่านั้น
ที่คุณจับต้องได้.... "


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 08:02:58 pm
ความดี...ไม่มีที่สิ้นสุด

เคยสังเกตุกันหรือเป่ลาว่า....
ในบางครั้ง...เราคิดว่าเราทำดีแทบตาย...แต่เราทำผิดเพียงเรื่องเล็กน้อย
มันกับทำให้เราดูเหมือน...เราเป็นคนที่เลวร้ายมากมาย

ก็คงเพราะเหตุผลประมาณนี้มั้ง...
ที่ทำให้คนดีเริ่มท้อแท้ในหัวใจ แล้วคิดว่า ทำไมคนที่ทำดีถึงไม่เคยได้ดี

อันความดีของคนเรา มันไม่มีที่สิ้นสุด หรือที่หยุดที่ดีที่สุดหรอกนะ
เพราะต่อให้เราทำดีเพียงไหน มันก็ยังต้องมีคนว่าเราผิด
แต่...มันก็อยู่ที่ตัวเรา ว่าเราจะเป็นเช่นไร....ต่างหาก

ถ้าทุกคนที่ท้อแท้กับการทำเรื่องดีๆ
ไม่อยากทำความดีอีกแล้ว.....โลกก็คงมีแต่เรื่องเลวร้ายมากมาย
แต่ถ้าเรารู้จักที่จะเอาชนะตัวเอง...และหัวใจของเรา
มันจะสร้างความแข็งแรงครั้งใหม่ให้มีภูมิกับตัวเราเอง
อย่ามองโลกในแง่ร้าย เมื่อเราท้อ

"...วันที่ความดีจะสิ้นสุดคงเป็น...วันที่เราหมดลมหายใจมากกว่า..."


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 08:03:25 pm
คนเรารู้จักแต่ผูกแต่ไม่รู้จักแก้
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

การรักษาศีล ฝึกหัดทำสมาธิและวิปัสสนา

ก็คือต้องการค้นคว้าหาเหตุและผล
สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ดีและชั่ว
สิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมในสิ่งนั้นๆ
ให้เห็นรู้เห็นตามเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ เท่านั้น
แต่สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมันก็ไม่เป็นจริงสักที

การพิจารณาของไม่เที่ยงแปรปรวนนี้
จึงต้องเป็นทุกข์ไม่รู้จักจบจักสิ้นสักที
การพิจารณาของภายนอกนอกจากตัวของเรา
ไม่ใช่ตัวของเราและไม่เห็นตัวของเรา
จึงรักษาตัวของเราให้อยู่ในอำนาจไม่ได้

นักปราชญ์ จึงปล่อยวางทิ้งสิ่งที่มิใช่ของตัวไม่มีแก่นสาร
วางสิ่งที่เป็นอดีตและอนาคตเสีย แล้ววางเฉย


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 08:03:43 pm
ทุกข์เพราะคิด
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก

ใจ ของปุถุชน คือผู้ยังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน
ทุกคนย่อมมีกิเลสความเศร้าหมองมากบ้างน้อยบ้าง
กิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง เป็นเหตุทำความเศร้าหมองให้เกิดแก่ใจ
ที่ว่าให้ดูที่ใจตนเองและแก้ความทุกข์ที่ใจตนเอง ก็คือ
ให้แก้กิเลสที่ใจตนเองนั่นแหละ
ถ้ากิเลสคือ โลภ โกรธ หลง
มีอยู่ในความคิดมาก ก็จะเป็นเหตุให้ทุกข์มาก
ถ้ากิเลสคือ โลภ โกรธ หลง
มีอยู่ในความคิดน้อย ก็จะเป็นเหตุให้เป็นทุกข์น้อย
ท่านผู้ปราศจากกิเลสแล้ว
ท่านจึงมีความคิดที่ไม่เป็นเหตุให้เป็นทุกข์เลย

ขออย่าได้ลืมว่า
ก่อนจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์เจ้ากิเลสก็มีอยู่ในพระหฤทัย
และในใจของทุกพระองค์ทุกท่านเช่นเดียวกับปุถุชนทั้งหลาย
คือเราทั้งหลายนั่นเอง
แต่เพราะพุทธองค์ทรงใช้พระปัญญาอุตสาหะพากเพียรขัดกิเลสในพระหฤทัย
และพระอรหันต์สาวกท่านก็ใช้ปัญญาอุตสาหะพากเพียรขัดเกลากิเลสในใจ
ให้ลดน้อย ลงจนกระทั่งถึงหมดสิ้นไปอย่างสิ้นเชิง
จึงทรงเป็นและเป็นผู้พ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง
ไม่มีประเดี๋ยวสุขประเดี๋ยวทุกข์เช่นพวกเรา
ซึ่งยังเป็นปุถุชนทั้งหลาย

ทุกคนสามารถจะทำความทุกข์ของตนให้ลดน้อยจนถึงหมดสิ้นไปได้
ไม่ใช่ไม่ได้ ขอเพียงแต่ให้พยายามใช้ปัญญา
ใช้เหตุผลที่ถูกที่ควรมีมานะพากเพียรขัดเกลาจิตใจของตน
ให้ความคิดที่ไม่ชอบ ที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์หมดสิ้นไป

เมื่อ ใดความคิดไม่ชอบหมดสิ้นไปจากใจ
ความทุกข์ความเศร้าหมองหมดสิ้นไปมากน้อยเพียงใด
ความคิดชอบก็จะเกิดขึ้นแทนที่ความสุขความผ่องใสก็จะเกิดขึ้น
เป็นใจที่มีความสุขความสุขความแจ่มใสมากน้อยเพียงนั้น
ถ้ายังทำความคิดผิดความคิดที่ไม่ชอบให้ลดน้อยถึงหมดสิ้นไปไม่ได้
ความคิดถูกความคิดชอบก็จะมีอยู่ไม่ได้ ต้องไล่ความคิดไม่ชอบออกจากใจเสียก่อน
เพื่อทำความคิดชอบให้เกิดขึ้นได้ เหมือนต้องการจะต้มน้ำให้เดือด
ก็จำเป็นต้องใช้ความร้อนขับไล่ความเย็นไปให้หมดจากน้ำก่อน
ต่อจากนั้นจึงจะสามารถทำความร้อนให้เกิดขึ้นในน้ำนั้นได้น้ำจึงจะเดือดได้
ฉะนั้น จึงควรระวังความคิดของตนเองให้ดีที่สุดอย่าได้ว่างเว้น
จะนั่ง นอน ยืน เดินระวังไว้ ร้อนมากร้อนน้อย
เพราะความคิดให้รู้ ให้ระงับยับยั้งในทันที
อย่าได้ลังเลสงสัยว่าความทุกข์ร้อนที่เกิดขึ้นในใจตนนั้น
มีทางจะเกิดเพราะ ผู้อื่นเพราะเหตุอื่น
ทางเช่นนั้นไม่มีเลย ไม่มีอย่างเด็ดขาด
จะมีก็เพราะหลงคิดกันไปเองอย่างไม่ใช้ปัญญาเท่านั้น

มี วิธีง่ายๆ อยู่อีกวิธีหนึ่งที่จะพิสูจน์ยืนยันว่า
เราเป็นทุกข์เพราะความคิด จริงหรือไม่
ก็คือให้นึกดูว่าเมื่อนอนหลับ แม้จะหลับไป
หลังจากได้รับฟังเสียงที่ไม่ถูกหูไม่ถูกใจมาแล้วอย่างมากก็ตาม
ความทุกข์คือความโกรธความไม่ชอบใจ มีอยู่หรือไม่ก็จะต้องยอมรับว่าไม่มี
ที่ไม่มีก็เพราะขณะหลับเราไม่ได้คิด
เมื่อไม่คิดด้วยกิเลสก็ไม่ทุกข์ความจริงเป็นเช่นนั้น



หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 08:03:56 pm
แบ่งปันความสุข แบ่งเบาความทุกข์

เมื่อใดที่ใครเป็นทุกข์
จงช่วยเหลือแบ่งเบาความทุกข์
และทำให้เขาคิดได้ว่าความสุขยังมีอยู่

เมื่อใดที่มีความสุข
จงแบ่งปันให้ผู้อื่น

การให้ความเอื้ออาทร ความรักความเข้าใจ
เป็นการสร้างความสุขให้กับตนเองเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ยิ่งแบ่งปันความสุขที่มี
ก็ยิ่งทำให้มีความสุขแก่ตนเองเพิ่มขึ้น

และหากแบ่งเบาความทุกข์ของผู้อื่น
ก็จะลดความทุกข์ของตนเองได้ด้วยเช่นกัน
เพราะว่า "การแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่น
เพิ่มความสุขให้กับตนเองเป็นสองเท่า

การแบ่งเบาความทุกข์ของผู้อื่น
ลดความทุกข์ของตนเองลงครึ่งหนึ่ง


ที่มา... http://psychology-of-articles.blogspot. ... _5223.html


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 08:04:20 pm
การเรียนรู้จากโลก
เมื่อโลกของเธอไม่ที่ให้ฉันยืน
ทุกๆคนมองฉันเป็นคนไร้สาระ
ถูกกระทำ ซ้ำ ซ้ำ แล้วย่ำยี
ไร้เรี่ยวแรง และพลัง
เดินย่ำเท้า ปาดเหงื่อ มองทางข้างหน้า

กับวันแรกที่ฉันหัดเดิน
กับความฝันของตัวเอง
สู้กับสิ่ง ลวง ปลอม มายา ..สู้กับความจริง

ชีวิตได้เรียนรู้ ถูก – ผิด
เส้นทางทอดยาว สูงชัน...ต้องฟันฝ่า
ฉันจะไม่แพ้...ฉันเกิดมาเพื่อเรียนรู้
แล้วชีวิตก็สอนฉัน
โลกนั้นกว้าง ทางนั้นแคบ
ฝึกผ่านจากการมีชีวิตอยู่บนโลก
เรียนรู้จากโลก ทั้ง โลก

กฤตบวรวิชญ์


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 08:04:29 pm
คำนินทา

อย่าไปสนว่าเค้า..จะนินทากันอย่างไร

......เพราะ......

มันไม่ได้ทำให้เราหรือใครๆ มีความสุขขึ้นมาเลย

ทุกคนเครียดและเหนื่อย เป็นกังวลมากพออยู่แล้ว

ชีวิตจะเลือกทำอะไร

เรารู้อยู่แก่ใจ เมื่อถึงเวลา

เราทุกคนไม่ชอบการเปรียบเทียบ

เพราะมันหมายถึง

ปมด้อยถูกกระชากให้เกิดขึ้น

อารมณ์ของมนุษย์เป็นพิษร้าย

ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง

เราต่างคนต่างเกิดมามีชีวิตเป็นของเราเอง

แต่หากเผอิญเราเข้ากันไม่ได้

มันไม่ใช่ความผิด แต่เป็นเพียงความไม่ลงตัว

หลายอย่างในชีวิต

เกิดขึ้นได้กับคนทุกคน

บางครั้ง...การเริ่มต้นชีวิตใหม่

คือ...การรู้จักยกโทษให้แก่กัน

กฤตบวรวิชญ์


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 08:04:42 pm
การอบรมใจให้คุ้นเคยกับความดี ความสงบ
เป็นสิ่งควรทำอย่างยิ่งด้วยกันทุกคน
ผลที่เกิดตามมานั้นมีค่าหาที่เปรียบมิได้
และความคิดก็เหมือนเด็กที่กำลังหัดว่ายน้ำ

สติ คือ ผู้สอนต้องหาหลักให้โผไปจับไปยึด
ไม่ปล่อยให้เด็กโผออกไปกลางน้ำตามลำพังไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ก็จะจมน้ำตาย
เรื่องราวร้อยแปดคือกระแสน้ำเชี่ยวแรง
ใจที่ไม่ได้รับการอบรมให้สงบ คือ
ผู้ที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในกระแสน้ำเชี่ยวแรงนั้น

สติ คือ ผู้กำลังสอนเด็กคือใจหรือความคิดให้ว่ายน้ำ
สติ ต้องหาหลักให้ใจเกาะ ถ้าปล่อยให้ผลุบโผล่อยู่กลางน้ำเชี่ยวแรงหมุนติ้วอยู่เช่นนั้น
ไม่น่าก็จะจมหายไปในกระแสน้ำ สิ้นชีวิต

ทุกคนที่ไม่คุ้นเคยกับการอบรมจิต
คือเด็กที่กำลังกระเสือกระสนผลุบโผล่อยู่กลางน้ำเชียว
ถ้าไม่มีหลักเกาะไว้ให้มั่นจักจมน้ำตาย
การตายเช่นนี้น่ากลัวน่าสลดสังเวชยิ่งกว่าการตายจริงๆ
คือน่าสลดสังเวชยิ่งกว่าการหมดลมหายใจ

อันเป็นกฎธรรมดาของทุกสิ่ง มีเกิดต้องมีดับ
จึงไม่ใช่เรื่องควรสลดสังเวช
แต่การตายแบบที่กล่าวว่าเหมือนผู้ที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำเชี่ยว
ไม่หลักยึดเหนี่ยว
เมื่อหมดแรงสู้กับกระแสน้ำที่ไม่มีเวลาจะลดความแรงลง
ก็ย่อมจะจมลง หายไปในกระแสน้ำ

การตายเช่นนั้นเป็นการตายที่น่าสลดสังเวชที่สุด
ความจริงยังมีชีวิตจิตใจอยู่
แต่อยู่อย่างผู้พ่ายแพ้แก่กระแสกิเลสที่สกปรกและท่วมท้น

ผลคือสิ่งที่จมอยู่ในความสกปรกโสโครกนั้น
คือใจ ย่อมถูกความสกปรกปิดมิดสนิท
ไม่ปรากฏให้เห็นตามความเป็นจริงได้เลย
จะเห็นกันก็แต่ความสกปรกพ้นจะบรรยายได้ที่หุ้มใจอยู่เท่านั้น
นั่นคือความน่าสลดสังเวชของการตายแบบนี้

: แสงส่องใจ พระพรประทานปีใหม่ ๒๕๓๙
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 08:05:18 pm
ความสงบ ที่ไม่วุ่นวาย

เป็นความสุขที่ลึกซึ้ง ลุ่มลึกเย็น และอิ่มเอิบ หาความสุขใดเทียบได้ยาก
 
ไร้ซึ่งปัญหาความเดือดร้อน ไร้ซึ่งปัญหาหนักหน่วงถ่วงจิตใจ ไร้ความขัดแย้ง

เป็นความสุข ที่ราบรื่น เย็นใจ ไม่เร่าร้อน ไร้การกดดัน

ความสงบเป็นความสุขที่มีอยู่ในตัวเรา ที่ทำได้ง่ายที่สุด..

"พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญความสุขที่เกิดจากความสงบว่าเป็นสุดยอดแห่งความสุข"

(http://i245.photobucket.com/albums/gg49/macleod_album/GreenManTree.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมะสุขใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ เมษายน 22, 2011, 08:08:05 pm
ข้อคิดดีๆ ...ก่อนจบท้ายเล่มครับ

(http://greenchonburi.com/webboard_upload/1253666988.jpg)
(http://greenchonburi.com/webboard_upload/1253667018.jpg)
(http://greenchonburi.com/webboard_upload/1253667043.jpg)
(http://greenchonburi.com/webboard_upload/1253667075.jpg)
(http://greenchonburi.com/webboard_upload/1253667105.jpg)
(http://greenchonburi.com/webboard_upload/1253667133.jpg)
(http://greenchonburi.com/webboard_upload/1253667188.jpg)