หัวข้อ: ตำนานเมืองขีดขินตั้งแต่สมัยพระเจ้ารามราช - พระเจ้าพรหมมหาราช-ตามพงศาวดาร เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ ธันวาคม 01, 2010, 05:31:33 am ตำนานเมืองขีดขิน(รามปุระนคร-เสนาราชนคร-เมืองปรันตปะ)โดยย่อตามพงศาวดารเหนือ
ในศุภวาระที่ศูนย์พุทธศรัทธาได้ก่อตั้งมาและจะครบ ๒๕ ปีในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ ขอนำประวัติความเป็นมาของเมืองโบราณที่ตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์พุทธศรัทธา ซึ่งตามพงศาวดาร ได้มีความเกี่ยวเนื่องกับพระเจ้ารามราช-พระนางเจ้าจามเทวี และพระเจ้าพรหมมหาราช บูรพมหากษัติย์ไทย ผู้ทรงพระคุณอันยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้ต่อชนชาติไทย (http://gallery.palungjit.com/data/1636/medium/1157.jpg) เมืองขีดขิน หรือ รามปุระนคร หรือเสนาราชนคร ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางแห่งมหาอำนาจ มีอาณาเขตการปกครองกว้างใหญ่ไพศาล มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานกว่า ๑,๔๒๗ ปีมาแล้ว มีกษัตริย์ที่ปกครองดินแดนแห่งนี้หลายพระองค์รวมทั้งพระเจ้ารามราชและพระนางเจ้าจามเทวี ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกครองรามปุระนคร(หรือเสนาราชนคร) (http://gallery.palungjit.com/data/1636/580.jpg?189) เจ้าชายรามราชได้อภิเศกสมรสกับเจ้าหญิงจามเทวีและในปีพุทธศักราช ๑๑๙๘ ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติครองรามปุรนคร(ปัจจุบันคือเมือง ขีดขินเมืองเก่าแห่งบ้านคูเมือง อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี) อาณาประชาราษฏร์ต่างจุดประทีปโคมไฟเฉลิมฉลองทั่งทั้งพระนครอย่าง สมพระเกียรติและยิ่งใหญ่ ทั้งสองพระองค์ทรงปกครองรามปุรนครด้วยทศพิธ ราชธรรม บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์ ไพร่ฟ้าประชาราษฏร์อยู่เย็น เป็นสุข ด้วยพระเมตตาบารมีเสมอมา (http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=252380&stc=1&d=1197876748) พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราช วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี (http://i730.photobucket.com/albums/ww306/lengtarang/King/greatprom.jpg) พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราช มหาราชพระองค์แรกของชาติไทย กาลเวลาสืบเนื่องต่อมาจนถึงสมัยพระเจ้าพรหมมหาราช ตามพงศาวดารเหนือ (ฉบับพระวิเชียรปรีชา(น้อย) กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "สมเด็จพระเจ้าไกรสรราช พระราชโอรสของพระเจ้าศรีธรรมปิฏกหรือ พระเจ้าพรหมมหาราชแห่งนครโยนกเชียงแสน พระราชบิดาส่งพระองค์ลงมา ครองเมืองละโว้ ภายหลังปี พ.ศ. ๑๕๐๐ อันเป็นเมืองลูกหลวงทางใต้ในสมัยนั้น พระองค์เสกสมรสกับพระนางสุลเทวี ราชธิดาแห่งกรุงศรีสัชนาลัย ทรงมีพระโอรส ๑ องค์ พระนามว่า "พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราช" ซึ่งในเวลาต่อมาถูกส่งไปครองเมืองเสนาราชนครปี พ.ศ. ๑๗๕๕ ตามหลักฐานกล่าวว่าเมืองเสนาราชนครตั้งอยู่ห่างจากเมืองละโว้ ๑๐๐ เส้น จากการตรวจสอบของคณะโบราณคดีของกรมศิลปากร ได้สัญจรมาสำรวจ เส้นทางเสด็จนมัสการพระพุทธบาทและถนนฝรั่งส่องกล้อง ได้ไปชมเมือง โบราณแห่งนี้ และสัญนิษฐานว่าเมืองโบราณแห่งนี้เป็นเมืองเสนาราชนคร ตามพงศาวดารเหนือจริง เพราะเมืองโบราณแห่งนี้ก็อยู่ห่างจากเมืองละโว้ ๑๐๐ เส้น เมืองโบราณดังกล่าวตั้งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอบ้านหมอไปทาง เหนือประมาณ ๖๐๐ เมตร และห่างจากศูนย์พุทธศรัทธาประมาณ ๓๐๐ เมตร บริเวณนี้ยั้งปรากฏเป็นคูเมือง กำแพงเมืองวัดโดยรอบประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร สภาพคูเมืองฝังลึกมากหลักฐานการก่ออิฐสอปูนยังปรากฏอยู่บ้าง (http://www.moohin.com/about-thailand/oldcity/saraburi17.jpg) ศาลหลักเมือง ของเมืองขีดขินในปัจจุบัน (http://www.hacksecrets.com/image/map3.jpg) ทรากนครขีดขินโบราณ (http://gallery.palungjit.com/data/1636/medium/2130.jpg) เคยมีคนขุดค้นพบวัตถุโบราณหลายชิ้น เช่นรูปนายทวารบาล รูปพระโพธิสัตว์ ซึ่งทำด้วยศิลาเป็นต้น ปัจจุบันวัตถุโบราณดังกล่าวได้นำไปประดิษฐานไว้ในวิหารเล็ก หลังมณฑปพระพุทธบาท (http://www.openbase.in.th/files/u10/prapayneethai1117.jpg) พระเจ้าไกรสรราช ได้ครองเมืองละโว้ ประมาณปี พ.ศ. ๑๗๔๙ และได้สวรรคต ในปี พ.ศ. ๑๗๖๒ รวมสิริเสวยราช ๑๓ ปี อย่างไรก็ดีเมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราช แห่งเมืองเสนาราชนคร หาได้เสด็จขึ้นไปครองเมืองละโว้แทนไม่ ทั้งนี้เพราะพระองค์ต้องรับภาระปกครองดูแลเมืองอโยธยา ซึ่งเป็นมรดกทางฝ่ายมเหสีอีกโสดหนึ่งด้วย อนึ่งเป็นที่น่าสังเกตุว่า พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราช ยังทรงเรียกอีกพระนามหนึ่งว่า "พระเจ้าสายน้ำผึ้ง" อันพระราชเทวีมเหสีนั้นเล่าก็ทรงเป็นราชธิดาแห่งพระเจ้าหลวง ผู้ครองเมืองอโยธยา ตามประวัติศาสตร์ปรากฏว่า พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราช มีบุญญาธิการมาก ชื่อเสียงเกียรติคุณเลื่องลือไปไกล ถึงกับพระเจ้ากรุงจีนได้ยก ราชธิดาคือ "พระนางสร้อยดอกหมาก" ให้ แต่ยังไม่ทันได้เศกสมรสกัน พระนาง ก็ด่วนสิ้นพระชนม์เสียก่อน พระองค์จึงสร้างวัดพนัญเชิงขึ้นเป็นที่ถวายพระเพลิงศพ วัดนี้สร้างขึ้นก่อนที่พระเจ้าอู่ทองเสด็จมาสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีถึง ๒๓ ปี (http://1.bp.blogspot.com/_eW__n9o6jQw/TFx0lHOrd4I/AAAAAAAAARM/99CE9RU8e-Y/s1600/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%87.jpg) วัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา (http://gallery.palungjit.com/data/500/watphananchoeng_051.jpg) เมืองเสนาราชนคร ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า เป็นเมืองลูกหลวงของเมืองละโว้ พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราช ทรงมีราชโอรส ๑ องค์ พระนามว่า พระเจ้าธรรมมิกราช สมัยนั้นเมืองละโว้กับเมืองเสนาราชสองเมืองนี้มีความเจริญรุ่งเรืองมาก เป็นแหล่งการค้าและการศึกษาศิลปวิทยาที่มีชื่อเสียง ตามพงศาวดารโยนกยังกล่าวว่า พ่อขุนรามคำแหง, พ่อขุนเม็งราย, พญาคำเมือง สมัยที่เป็นพระยุพราชฝ่ายเหนือ เคยเสด็จลงมาศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองละโว้ (http://www.agilenttour.com/shop/c/cleansafety/img-lib/spd_20090604143916_b.jpg) พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราชขึ้นครองเมืองเสนาราชนครเมื่อ พ.ศ. ๑๗๕๔ สวรรคต พ.ศ. ๑๗๙๕ พระโอรสพระนามว่า "พระเจ้าธรรมมิกราช" ได้ขึ้นครอง เมืองเสนาราชนครสืบต่อมา เรื่องราวจากพงศาวดารต่างๆ นี้ล้วนมีความเกี่ยวเนื่องกับสถานที่ตั้งของศูนย์พุทธศรัทธาในปัจจุบัน บันทึกจากความทรงจำเกี่ยวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) กับพระเจ้ารามราชและวัดรามพงศาวาส ย้อนหลังไปประมาณ ๒๐ กว่าปี วันหนึ่งผมได้รับโทรศัพท์จากพี่ปรีชา พึ่งแสง ศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อ โทรมาว่าท่านแม่ศรีให้ค้นหาวัดในละแวกท่าลานที่เป็นวัดมอญ จากที่ได้ค้นหาและสอบถามก็ได้ทราบ ว่ามีอยู่วัดหนึ่งเป็นวัดมอญและยังมีชุมชนชาวมอญอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านย่อมๆ ชื่อ วัดรามพงศาวาส ผมได้โทรแจ้งให้พี่ปรีชาทราบข้อมูล ก็ได้รับการตอบกลับมาว่าเป็นวัดที่ท่านแม่ศรีให้ค้นหา มาทราบภายหลังจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่าวัดรามพงศาวาสแห่งนี้เป็นวัดที่พระเจ้ารามราชทรงผนวช และต่อมาได้รับแจ้งจากพี่ปรีชาว่าหลวงพ่อจะมาเยี่ยมที่วัดราม พวกเราที่ท่าลานก็ดีใจกันมาก และได้ไป ติดต่อกับพระอาจารย์อำนวย เจ้าอาวาสวัดรามพงศาวาสแจ้งให้ท่านทราบ ท่านดีใจมากเพราะมีความเคารพ ศรัทธาในองค์หลวงพ่ออยู่แล้ว(ขออภัยสำหรับข้อมูลเนื่องจากนานมากแล้วจำวันเดือนปีที่หลวงพ่อมาไม่ได้ และภาพที่ถ่ายไว้ก็ค้นหาไม่เจอ) (http://gallery.palungjit.com/data/1636/DSCF8568.jpg) พระอาจารย์อำนวย เจ้าอาวาสวัดรามพงศาวาส เมื่อถึงกำหนดวันที่นัดหมาย คณะของหลวงพ่อมีรถตู้และรถเก๋งหลายคันได้เดินทางมายังวัดรามพงศาวาส คณะพุทธศรัทธาและสาธุชนที่ทราบข่าวก็มาต้อนรับหลวงพ่อกันแน่นวัด ศาลาของวัดรามก็อยู่ในสภาพเก่ามาก โดยเฉพาะชานศาลาคนนั่งกันเต็ม ญาติโยมพุทธบริษัทก็ได้เข้ามากราบและทำบุญกับหลวงพ่อกันมากมาย หลวงพ่อได้คุยกับพระอาจารย์อำนวยและถามถึงต้นสะตือ ท่านบอกว่าสมัยพระเจ้ารามราชมาบวช มีต้นสะตือใหญ่อยู่ริมน้ำ พระอาจารย์อำนวยก็กราบเรียนหลวงพ่อว่าสมัยก่อนเคยมี แต่เนื่องจาก ตรงที่ตั้งวัดรามติดกับแม่น้ำป่าสักและเป็นคุ้งน้ำ น้ำก็กัดเซาะตลิ่งนานเข้าๆ ทำให้ต้นสะตือที่อยู่ริมน้ำ ถูกน้ำกัดเซาะจนต้นสะตือล้มลงและไหลพัดไปกับแม่น้ำ ตามกำหนดการหลวงพ่อจะฉันเพลที่วัดรามจากนั้นก็จะเดินทางต่อไปแวะที่พระราชวังบางปะอิน ในระหว่างที่กำลังทำบุญถวายปัจจัยกับหลวงพ่อก็เกิดเหตุขึ้น ชานศาลาซึ่งเก่ามากก็เกิดเสียงดังลั่น คล้ายจะพังลง แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจเพราะชานศาลาไม่พัง ถ้าพังลงคงต้องมีคนบาดเจ็บหลายคน เพราะนั่งกันเต็ม ตอนนั้นได้แต่แปลกใจแต่ไม่ทราบสาเหตุจนหลังจากหลวงพ่อกลับไปหลายวันแล้ว ผมได้พบกับลุงประสิทธิ์ ท่านเป็นชาวมอญแต่อยู่กรุงเทพ มาร่วมทำบุญด้วย ท่านเล่าให้ฟังว่า วันที่หลวงพ่อมาที่วัดราม ท่านนั่งติดกับหลวงพ่อ พอมีเสียงไม่ลั่นคล้ายชานศาลาจะพังคลืนลงไป ลุงประสิทธิ์ก็ได้ยินหลวงพ่อพูดมาคำเดียว "หยุด" ชานศาลาที่จะพังก็หยุดจริงๆ ตามวาจาสิทธิ์ ของหลวงพ่อ ลุงประสิทธิ์บอกว่าแกเคารพและศรัทธาหลวงพ่อมาก (http://www.siamkane.com/jstory_comment_picture.php?id=13065) จากนั้นหลวงพ่อและคณะศิษย์ก็ออกเดินทางไปยังพระราชวังบางปะอิน คณะพุทธศรัทธาก็ขับรถตามขบวนหลวงพ่อไปด้วย (http://board.palungjit.com/images/logo.gif) |