หัวข้อ: ต้องระวังเมื่อญาณอันเป็นเครื่องรู้เกิดขึ้น เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ พฤศจิกายน 29, 2010, 05:28:39 am (http://palungjit.com/feature/data/531/1125470171.gif) ถาม : เวลาเรากำหนดดูสิ่งที่เราได้มา พอได้มาเราก็กำหนดดู เรารู้เลยว่าสิ่งที่เราได้มาต้องทำอย่างไร อันนี้เป็นปัญญาอะไรคะ ? ตอบ : เขาเรียกว่า ญาณ คือความเป็นทิพย์ของจิต จัดเป็นปัญญาในทางธรรม ความเป็นทิพย์ของจิต ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม จะอยู่ในลักษณะที่สมบูรณ์พร้อม คือ พอรู้ขึ้นมา ความรู้สึกที่เกิดอาจจะไม่ถึงนาที แต่ถ้าให้อธิบายนี่หลายหน้ากระดาษ จะรู้พร้อมสมบูรณ์หมด เห็นภาพขึ้นมาจะรู้เลยว่า ต้องจัดการอย่างไรตั้งแต่ต้นยันปลาย ความเป็นทิพย์นี้ใช้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ถ้าหากว่าทางโลกเกิดเหตุการณ์อย่างนี้จะทำอย่างไร ทางธรรมเกิดเหตุนี้จะจัดการอย่างไร จะบอกเอาไว้หมด ตัวนี้ภาษาพระเรียกว่า ญาณ คือมีเครื่องรู้เกิดขึ้น ในเมื่อเครื่องรู้เกิดขึ้น ถ้าหากว่าเรายึดติดอยู่ตรงนั้น ก็จะเป็นอุปกิเลส แต่ถ้าเราไม่ยึดติด ก็จะได้อาศัยเครื่องรู้เสริมความก้าวหน้าในการปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไปอีก จำได้ไหม..อุปกิเลส ๑๐ อย่างมีอะไรบ้าง ? โอภาส เห็นแสงสว่าง ถ้าเป็นกลางคืนบางทีสว่างเหมือนกลางวันเลย แต่สว่างแบบเย็นสบาย ปีติ ความอิ่มใจ ไม่เบื่อไม่หน่ายที่จะปฏิบัติ ปัสสัทธิ เกิดความสงบ กิเลสทุกอย่างเหมือนกับไม่มีเหลือแล้ว จึงคิดว่าบรรลุแล้ว สุข เกิดความสุขละเอียด ลึกซึ้งอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน ทำให้หลงคิดว่าบรรลุมรรคผลแล้ว ญาณ มีเครื่องรู้เกิดขึ้น อยากรู้อะไรก็รู้ทุกเรื่อง แต่กลับเผลอ ลืมที่จะรู้ในการละกิเลส อธิโมกข์ น้อมใจเชื่อโดยไม่มีปัญญาประกอบ เมื่อรู้เห็นเองก็เชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตา ปัคคาหะ มีความเพียรกล้า ทุ่มเทกับการปฏิบัติแบบไม่ยอมพักผ่อนหลับนอนกับใครเลย นิกกันติ ความใคร่น้อยลง อารมณ์ทางเพศเหมือนกับไม่มี คิดว่าบรรลุแล้ว ความจริงยังเต็มๆ เลย เพียงแต่โดนกดไว้ชั่วคราวด้วยอำนาจของฌานสมาบัติ อุปัฏฐาน จิตตั้งมั่นเหมือนกับเสาที่ไม่เคลื่อน เหมือนก้อนหินใหญ่กลางน้ำ น้ำซัดมาอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว คิดว่าตัวเองบรรลุแล้ว อุเบกขา มีความวางเฉยในทุกเรื่อง จะดีก็เฉย จะร้ายก็เฉย จนคิดว่าบรรลุแล้ว ถึงจุดที่ไม่หวั่นไหวกับโลกธรรมใดๆ แล้ว แต่ความจริงแค่เฉยด้วยอำนาจของฌาน ไม่ใช่เฉยเพราะเกิดปัญญาปล่อยวางได้ ถาม : ปัญญาจริงๆ เมื่อสำเร็จแล้วจะเข้าใจทุกอย่าง ? ตอบ : ทุกอย่างที่เข้าใจนั่นให้ถือเอาเฉพาะที่ช่วยให้หมดกิเลสอย่างเดียว อย่างอื่นถือเป็นข้อรุงรังจะต้องตัดทิ้งหมด จะเหลือเฉพาะหน้า เหลือแค่ตอนนี้เดี๋ยวนี้เท่านั้น เอาแค่งานเฉพาะหน้าที่เท่านั้น อย่างอื่นจะไม่เอาเลย ต้องการรู้อะไรก็รู้ แต่ว่าความต้องการไม่มีอีกแล้ว สนใจขึ้นมาก็แวบไปหน่อยหนึ่ง แต่ก็แวบไปด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างสูง เหมือนกับนักมวยที่กลัวว่า เปิดช่องเมื่อไรจะถูกคู่ต่อสู้ชกร่วง ต้องตั้้งท่าปิดให้แน่นก่อน แล้วค่อยไปสนใจเรื่องอื่น สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๔ ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=2291 lsv-smile |