หัวข้อ: ลักษณะ แห่งการหนีบาป เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ พฤศจิกายน 16, 2010, 05:49:56 am (http://203.172.204.162/intranet/1002_praruttanatri/v1/member/pics/frontpageprapic/newchin9.jpg)
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้เป็นตอนที่ ๒ ก็มาพูดถึงลักษณะแห่งการหนีบาปกัน แต่ขอย้ำไว้ก่อนว่าการที่จะหนีอบายภูมิทั้ง ๔ คือ การไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่อไปนั้น ต้องกำจัดสังโยชน์ คือ อารมณ์ชั่ว ๓ ประการ ขอย้ำไว้ตอนนี้ก่อนตอนต้นจะได้ไม่เฝือ ๑. ที่มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่ตายตัดทิ้งไป ให้มีความรู้สึกว่ามันจะต้องตายแน่และไม่ประมาทในชีวิต คิดทำความดีต่อไป ๒. วิจิกิจฉา ความสงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์หันกลับมาปฏิบัติในศีลให้แน่นอนและจริงจัง ฆราวาส เพียงแค่ศีลห้า หรือว่ากรรมบถ ๑๐ ใช้ได้แล้ว สำหรับภิกษุสามเณรก็มีศีลของท่าน ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้ทุกคน ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนมีความมั่นใจได้ว่าจะตายเมื่อไหร่ก็ตามที เราไม่ลงอบายภูมิกันแน่ ๓. สีลัพพตปรามาส มีการปฏิบัติในศีลไม่แน่นอน ไม่จริงจัง อันนี้ต้องตัดทิ้งไปหันมาปฏิบัติในศีลให้แน่นอนและจริงจัง ฆราวาส เพียงแค่ศีลห้า หรือว่ากรรมบถ ๑๐ ใช้ได้แล้ว สำหรับภิกษุสามเณรก็มีศีลของท่าน ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้ทุกคน ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนมีความมั่นใจได้ว่าจะตายเมื่อไหร่ก็ตามที เราไม่ลงอบายภูมิกันแน่ ที่ หันมาพูดอย่างนี้ก็ย้ำไว้แต่ตนต้น เพราะว่าบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนจะงง เพราะในตอนต่อไปนี้พูดเรื่องตายจำให้ได้ว่า ชาตินี้ทั้งชาติตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่ประมาทเรื่องความตายของชีวิต และ คนที่เกิดทีหลังเราเด็กเล็กตายก่อนเราไปเยอะแยะ เราต้องตายแน่ พยายามรวบรัดความดีเข้าไว้ บาปเก่า ๆ ที่ทำไว้แล้วช่างมัน มันจะไปไหนก็ช่างมันตามเราไม่ทันด้วย อาศัย เคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรม เคารพพระอริยสงฆ์ และปฏิบัติศีลให้บริสุทธิ์ อย่าลืมว่าฆราวาสศีลห้า อาจจะหยาบไปนิดหนึ่ง แต่ก็พ้นอบายภูมิแล้ว ถ้าทางที่ดีได้กรรมบถ ๑๐ จะดีมาก เรื่องนี้รายละเอียดเป็นอย่างไรอ่านต่อไปข้างหน้า (http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1225957&d=1289622405) สำหรับตอนนี้ก็มาขอต่อตอนต้นที่ผ่านมา ก็คือ ตอนที่ ๑ ว่าในเมื่อเรานึกถึงความตายแล้วเราก็เข้ามาไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า ในความดีของพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และความดีของพระอริยสงฆ์ ตอนนี้ก็มาว่าถึงความดีของพระพุทธเจ้าก่อน พระ พุทธเจ้ามีความดีเหลือหลาย อาตมาเองก็ไม่สามารถจะพรรณนาความดีของพระพุทธเจ้าให้ครบถ้วนได้ แต่ขืนพรรณนาไปมาก บรรดาท่านพุทธบริษัทก็จะเบื่อกัน ตอน ต้นน้อย ๆ ก็แล้วกัน เพียงแค่เรายอมรับนับถือความจริงของท่าน ที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาแล้วในโลก พระองค์ไม่ได้หวังประโยชน์ความสุขส่วนตัวเลย คือว่าไม่หวังเฉพาะความสุขส่วนตัว ต้อง การแจกจ่ายความสุขให้แก่บุคคลทั้งโลกตามที่พระองค์จะพึงทำได้ ทั้งนี้ต้องอาศัยความเชื่อความเลื่อมใสในพระองค์ ถ้าขาดความเลื่อมใสพระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน เพราะคนที่ไม่เชื่อกันแล้วนี้พูดเท่าไรก็ไม่ยอมรับฟัง ฟังแล้วไม่ยอมเชื่อและก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม อย่างนี้ก็ไม่มีทางจะช่วยได้ ที่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อักขาตาโร ตถาคตา" ตถาคตาเป็นแต่เพียงผู้บอกเท่านั้น บอกแล้วจะทำตามหรือไม่ทำตามเป็นหน้าที่ของท่าน ถ้าทุกคนทำตามได้ บุคคลผู้นั้นก็พ้นจากอบายภูมิได้ เอา แต่เบื้องต้นนะ ถ้าสามารถปฏิบัติตามได้พ้นได้แน่ นี่เราจะปฏิบัติตามท่าน จะเอาอย่างไรในตอนนี้เรายังไม่พูดถึงศีลก่อน เอาแต่ความดีของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีกฎแห่งการสอนอยู่ว่า ๑. สัพพปาปัสสะ อะกะระณัง ให้บรรดาพระสงฆ์และพระองค์เองก็เช่นเดียวกัน พยายามสอนให้ทุกคนละจากความชั่วทุกประเภท คือไม่ทำความชั่วทุกประเภท ไม่ทำ ไม่พูด และก็ไม่คิดซะด้วย ๒. กุสลัสสูปสัมปทา แนะนำให้ทำความดีทุกประการ ๓. สจิตตะปริโยทะปะนัง แนะนำสั่งสอนให้มีจิตใจผ่องใส คือไม่มีอารมณ์มัวหมอง มีอารมณ์สดชื่นอยู่เสมอ ๔. เอตัง พุทธานะสาสะนัง ท่านยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด (http://203.172.204.162/intranet/1002_praruttanatri/v1/bua1.gif) มาตอนนี้ทุกท่านจะสงสัยไหม ก็ไม่ขอพูดให้มันเลอะ สงสัยหรือไม่สงสัยก็ช่าง เอาคนเข้านับถือพระพุทธเจ้าแบบย่อ ๆ เอาประเภทย่อ ๆ ที่ทำแบบง่ายที่สุด แล้ว ตายจากความเป็นคนก็ยังไม่มาเกิดเป็นคน และก็ไม่ลงนรก ไม่เกิดเป็นเทวดา เอากันอย่างย่อ ๆ ง่ายๆ นะ ยังไม่ต้องปฏิบัติตามมากเอา แค่นึกถึงพระพุทธเจ้าเท่านี้ แล้วเขาผู้นั้นก็ตายจากความเป็นคนแล้วไม่ยอมลงนรกด้วย แล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก หลังจากนั้นเมื่อเป็นเทวดาแล้วได้พบพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ฟังเทศน์อีกครั้งเดียวย่อ ๆ สั้น ๆ ท่านผู้นั้นก็เป็นพระโสดาบัน นี่ เป็นอันว่าปฏิบัติยังไม่ถึงขั้นเข้าถึงครึ่งหลักสูตรนะ เข้ามานิดเดียวเท่านั้นนะ และใช้เวลาน้อยเหลือเกิน ใช้เวลาแค่นึกประเดี๋ยวเดียว นึกถึงพระพุทธเจ้า ตายจากความเป็นคนแล้วก็เป็นเทวดา เมื่อเป็นเทวดาแล้วฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบเดียวเป็นพระโสดาบัน ที่มีนักเทศน์หรือคนบางคนพูดว่าการบำเพ็ญบารมีต้องอาศัยชาติมนุษย์ เป็นเทวดาหรือพรหมบำเพ็ญบารมีต่อไม่ได้ อัน นั้นไม่จริง เทวดาหรือพรหมที่เป็นพระอนาคามี ไม่มีใครกลับมาอีก บำเพ็ญตนให้เป็นพระอรหันต์ไปนิพพานเลย อย่างท่านที่พูดนี่ก็เช่นเดียวกัน เป็นมนุษย์ที่มีความดีนิดเดียวเวลาน้อยๆ เมื่อเป็นเทวดาแล้วฟังเทศน์อีกครั้งเดียว เป็นพระโสดาบัน นี่ เขาต่อกันแบบนี้ เรื่องนี้มีมาในพระไตรปิฎก จะขอเล่าเรื่องสู่กันฟัง จะได้เบื่อน้อย ๆ พูดกันแต่ธรรมะนี่มันเบื่อนาน ยิ่งฟังยิ่งเบื่อ ยิ่งฟังยิ่งเบื่อธรรมะ มันไม่ค่อยจะซึ้งใจ ฟังไม่เพลิน สำหรับท่านที่นึกถึงพระพุทธเจ้านิดเดียว ยอมรับนับถือชั่วขณะจิตเดียวคือไม่นานนัก ถ้าใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ตายไปเป็นเทวดา ท่าน ผู้นี้มีมาในพระธรรมบท ท่านให้ชื่อว่า "มัฏฐกุณฑลีเทพ" ท่านผู้นี้เป็นลูกของพราหมณ์ ๆที่ไม่เคารพในพระพุทธเจ้า และก็เป็นพราหมณ์ชั้นพิเศษเสียด้วย ที่เรียกว่า "พิเศษ" ก็เพราะว่าแกไม่เคยให้อะไรใครเลยในชีวิต ชื่อว่า "อทินนกปุพพกพราหมณ์" พ่อ ของเขานะ "อทินนกะ" แปลว่า "ผู้ไม่เคยให้" "ปุพพกะ" "ในกาลก่อน" ในชีวิตกาลก่อนที่จะพบพระพุทธเจ้านี่เขาไม่เคยให้อะไรใครเลย จะพูดก่อนพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ จะต้องว่าก่อนที่พบลูกชายที่เป็นเทวดา ความ จริงการพบพระพุทธเจ้านี่เขาพบกันมานาน ไม่เคยแม้แต่ยกมือไหว้ ไม่เคยมีความเคารพสักนิดหน่อย ตัวเองก็มีความรู้สึกว่าการเป็นเศรษฐีของตัว พระพุทธเจ้าไม่ได้หาทรัพย์สมบัติมาให้ พระอรหันต์ไม่ได้หาทรัพย์สมบัติมาให้ คนอื่นไม่ได้ให้ทรัพย์ สมบัติ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หาไว้ให้ ในเมื่อคนอื่นไม่เกี่ยวข้องกับฐานะก็เลยไม่ยื่นโยนฐานะสงเคราะห์ใครต่อใคร ทั้งหมด ก็มีกินมีใช้แต่เฉพาะในครอบครัวเท่านั้น พราหมณ์คนนี้จึงมีฉายาว่า "อทินนกปุพพกพราหมณ์" แปลว่า พราหมณ์ผู้ไม่เคยให้อะไรใครมาในกาลก่อนเลย มา ให้ตอนหลังที่พบลูกชายตายแล้วเป็นเทวดา นี่เขาให้กัน นี่ท่านที่เคยได้ฟังใครเขาพูดมา ว่าตายแล้วไม่มีการเกิด เรื่องนี้พระพุทธเจ้าตรัส พระพุทธเจ้าทรงยืนยันและอาตมาเองก็ยืนยันด้วย ว่าการตายแล้วมีการเกิดแน่ ถ้าทำดีแม้แต่น้อยแต่ก่อนจะตายนึกถึงความดีเกิดเป็นเทวดาได้ ก็ขอยืนยันด้วยเหมือนกัน ถ้า ถามว่าเอาอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ ก็ต้องตอบว่าลูกศิษย์ลูกหาเป็นแสนเขาสามารถทำกันได้ แล้วระลึกชาติก็ได้ อตีตังสญาณ เหตุการณ์ในอดีตสามารถทำได้ อนาคตังสญาณ เหตุการณ์ข้างหน้าในอนาคตสามารถทำได้ ปุพเพนิวาสานนุสสติญาณ ระลึกชาติได้ เขา ทำกันได้ ญาณนอกจากนี้เขาก็ทำกันได้หมด ทำกันได้เป็นแสน ๆ คนแล้ว กล้ายืนยันคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเดี๋ยวมันจะเลอะไป ขอ พูดต่อไปว่าพราหมณ์ผู้นี้ก็มีลูกชายอยู่หนึ่งคน ลูกชายคนนี้ตามบาลีก็ไม่ปรากฏชื่อชัด ไม่ได้บอกชื่อไว้ว่าชื่ออะไร ตัวแกเองจริง ๆ บางทีก็ไม่บอกชื่อ บอกแต่เพียงนิสัยว่าไม่ชอบให้อะไรใครเท่านั้น ต่อ มาลูกชายป่วย เป็นหนุ่มแล้ว ลูกชายป่วย เวลานั้นพระพุทธเจ้าเสด็จไปเมืองนั้น เดินผ่านมาผ่านไป ตอนเช้าบิณฑบาตพระเดินผ่านมาผ่านไป จะไปไหนก็เชิญไป ฉันไม่นับถือนายเสียก็แล้วกัน รวม ความพ่อลูกชายป่วย ได้ความรู้สึกของแก ว่าได้ลูกป่วยนี่ถ้าไปหาหมอมันก็เสียสตางค์ ถ้าจะไปซื้อยามันก็เสียเงิน เอ๊ะ…เงินกับสตางค์มันก็เหมือนกัน ถ้า เป็นเวลานี้นะ ถ้าไม่ไปโรงพยาบาลดี ๆ นี่ ที่เขามีชื่อเสียงเข้าไปวันแรกเพียงวันเดียวก็เสียเงินเป็นหมื่น ลูกชายคงจะตาย ช๊อคตายแน่ในวันแรก แกไม่ยอมเสียเงินเสียทองแน่ ถึงเวลานั้นมีแพทย์แผนโบราณเยอะ เสียเงินไม่มาก แกก็ยังไม่ยอมเสีย เมื่อลูกชายป่วยหนักเข้าแกก็ไปถามหมอว่า "อาการ ของลูกแบบนี้เป็นโรคผอมเหลือง กินไม่ได้นอนไม่หลับ อาการอึดอัดอยู่เสมอ ฟัดหน้าเหวี่ยงหลังเป็นปกติ อยากจะทราบว่าอาการอย่างนี้จะใช้ยาอะไรหนอรักษาจึงจะหาย" นี่ ความขี้เหนียวของแกรักทรัพย์สินมากกว่ารักลูก ตามธรรมดาหมอเขาก็ต้องปิดบังความรู้ของเขาเป็นธรรมดา เพราะเขามีอาชีพหมอ ถ้าเราไปเป็นหมอแข่งกับเขาหมอก็หากินไม่ได้ เขา บอกยากลางบ้านให้ คำว่า "ยากลางบ้าน" ไม่ใช่ยาในหลักสูตร คนนิยมใช้กันเองตามชาวบ้านสมัยนี้เขาใช้หมอตี๋ ความจริงหมอตี๋จะโทษว่าไม่ดีก็ไม่ได้ มี แพทย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอาตมา ท่านยังไปซื้อยาหมอตี๋ ให้หมอตี๋จัดยาให้ ท่านก็กินตามนั้น ถามว่าหมอเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ทำไมกินยาหมอตี๋ เพราะ ว่าเข้าไปหมอตี๋ไม่รู้ว่าคนนี้เป็นแพทย์ที่มีความสำคัญมาก ท่านไปบอกอาการท่านเป็นอาการอย่างนี้มียาอะไรขายบ้าง หมอตี๋ก็จัดยามาให้ ท่านดูแล้วไอ้ยานั้นมันตรงกับอาการของท่าน ตรงกับโรค ท่านก็เอามาบริโภคมันก็หาย นี่ จะหาว่าหมอตี๋ไม่สำคัญก็ไม่ได้นะ หมอตี่ซะอีก หมอตี่คือโตกว่าหมอตี๋ บางทีก็ให้ยาไม่ตรงกับโรคเหมือนกัน อันนี้ว่าไปว่ามาไม่ได้นินทาหมอนะ พูดตามความเป็นจริง ก็ เป็นอันว่าเวลานั้นหมอก็บอกยากลางบ้าน เป็นยาสมุนไพร แกก็มาเก็บยาเอง ให้ลูกกินไอ้ยานี่กับถูกลูกจริง ๆ คือยานี่ถูกลูก ลูกกินแล้วก็ถูกยา แต่ไม่ตรงกับโรคไม่สามารถรักษาโรคได้ แต่คนกินถูกยา คือกินเข้าไปปากมันก็ชนยา คือ ยาถูกลูกแต่ยาไม่ถูกโรค หรือยาไม่สามารถกำจัดโรคได้ ก็ป่วยหนักลงไปทุกที ตาพราหมณ์ก็มานั่งคิดว่าเวลานี้ลูกของเราป่วยอยู่ในห้อง ห้องมีเครื่องประดับประดามาก เป็นเครื่องมีราคาแพงมาก ถ้า อาการไข้มันหนักมากขึ้นเมื่อไหร่ หนักไปกว่านี้ ญาติทั้งหลายรู้เข้าก็จะมีความห่วงใย เดี๋ยวคนนั้นก็จะมาเยี่ยม เดี่ยวคนนี้ก็จะมาเยี่ยม ไอ้การจะห้ามญาติเยี่ยมนี่มันก็เป็นการไม่ดี เมื่อเข้ามาเยี่ยมในห้องเห็นของมีค่ามากๆ ก็จะขอโน่นขอนี่เราก็จะเสียของเปล่าๆ อย่า กระนั้นเลย ชวนเมียช่วยกันอุ้มลูกชาย ลูกชายเดินไม่ไหวแล้ว ป่วยหนักมาก เอามานอนไว้ที่ระเบียงเรือนซึ่งไม่มีเครี่องประดับ แล้วก็เอายาประเภทนั้นให้ลูกกิน ลูกก็หนักขึ้นมาทุกที ในที่สุดชีวิตก็ใกล้จะหมด เรียกว่าใกล้เลิกหายใจจะตายกันแล้ว ลูก ชายเมื่อทุกทรมานมากจากโรคก็มานึกในใจว่า พ่อก็ดี แม่ก็ดี ทรัพย์มากมายมีอยู่ในฐานะมหาเศรษฐีก็ดี ของเหล่านี้ไม่เกิดประโยชน์กับเราเลย พ่อกับแม่ไม่มีความรักเราจริง เราป่วยพ่อจะหาหมอมารักษาพ่อก็กลัวเสียเงิน จะซื้อยาที่เขาปรุงดีแล้วพ่อก็กลัวเสียเงิน เอา ยาที่ไปเก็บเองจากป่ามาให้เรากินก็ไม่ถูกกับโรค อาการร่อแร่ทุกขเวทนาหนักอย่างนี้ ก็รวมความว่าพ่อก็ไม่ใช่ที่พึ่ง ทรัพย์สินทั้งหลายก็ไม่ใช่ที่พึ่ง เราไม่มีที่พึ่ง ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร คิดมาคิดไปก็ฟังข่าวเล่าลือ เขาลือว่าพระสมณโคดมบรมครูที่สอนคนทั่วๆ ไป ท่านมีอิทธิฤทธิ์ และท่านก็ใจดีมีความเมตตาไม่เลือกบุคคล จึงตั้งใจของตนว่าขอพระสมณโคดมบรมครูมาโปรดข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด ขอ ให้ช่วยให้หายโรคเป็นปกติ ความจริงเขาไม่เลื่อมใสพระพุทธเจ้าในเรื่องอื่นเลย ในกาลก่อนนั้น แม้แต่ยกมือไหว้ก็ไม่มี พ่อสอนไม่ให้เขาไหว้ เธอก็นั่งนึกนอนนึก นั่งไม่ได้ นั่งไม่ได้แล้วได้แต่นอน นอน หายใจแรงก็ไม่ได้ เพราะไม่มีแรงจะหายใจ หายใจเบาๆ ขยับกายก็เกือบจะไม่ไหว ได้แต่กรอกหน้าไปกรอกหน้ามา พลิกซ้ายพลิกขวาก็แสนจะลำบาก นึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า คือพระพุทธเจ้า ว่าขอให้มาโปรดให้หายโรคนี้เสียทีเถิด มันเจ็บเหลือเกิน เวลานี้แรงก็ไม่มีแล้ว ปรากฏ ว่าตอนเช้ามืด องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงใช้อำนาจพระพุทธญาณเห็นทุกขเวทนาลูกชายมหา เศรษฐี คืออทินนกปุพพกพราหมณ์ (ตอนนี้ยังไม่รู้จักชื่อเขาเหมือนกันว่าเขาชื่ออะไร บาลีไม่ได้บอก) ว่าเธอมีทุกข์ทรมานมากต้องการให้ตถาคตไปช่วยในตอนเช้า องค์ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก้บพระอานนท์เสด็จเดินไปบิณฑบาทผ่านบ้านนั้นพอ ดี องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงเปล่งฉัพพรรณรังสีพุ่งไปให้เห็นคนเดียวคือเฉพาะลูก ชายท่านเศรษฐี คืออทินนกปุพพกพราหมณ์ เวลา นั้นหันหน้าเข้าข้างฝาแสงสว่างพุ่งเข้าตาเขาด้วยกำลังฤทธิ์ของพระ พุทธเจ้า เขาก็แปลกใจว่าแสงอะไรเข้าตาเขา พลิกกายกลับมาเห็นพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์กำลังเดินบิณฑบาต มือยกไหว้ไม่ไหวแล้ว แต่ ใจยอมรับนับถือองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ตั้งใจว่าขอพระองค์ได้โปรดช่วยข้าพระพุทธเจ้าให้หายจากโรคเถิด พระพุทธเจ้าข้า แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงเหลียวไป ท่านก็เดินของท่านเรื่อยๆ ไป พระอานนท์ก็เดินตาม เขาก็นึกถึงพระพุทธเจ้าไปก็เป็นการพอดีใกล้เวลานั้นนึกถึงพระพุทธเจ้าเห็น พระพุทธเจ้าไม่นาน เขาก็ต้องสิ้นลมปราณ คือตายจากความเป็นคน การ ตายนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท มันตายเฉพาะร่างกายเท่านั้น จิตใจหรือที่ปฏิบัติเขาเรียกว่า "อทิสสมานกาย" คือกายที่ไม่สามารถเห็นด้วยตาเนื้อ มันก็ออกจากร่างเนื้อนี้ไป ไอ้ ร่างเนื้อนี้ก็หมดลมหายใจ หมดลมปราณทั้งหมด ธาตุไฟดับ ธาตุลมหมด เหลือแต่ธาาตุดินกับธาตุน้ำอยู่ด้วยกันสองนาย นานๆ เข้าธาตุดินก็ทนธาตุน้ำไม่ไหวน้ำละลายดินเน่าขึ้นมา เหม็นคลุ้ง แต่เนื้อแท้จริงๆ อทิสสมานกายคือกายของเขาจริงๆ ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีนามว่า "มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร" คำว่า "มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร" นี่ท่านแปลว่า "เป็นเทพบุตรที่มีต่างหูเกลี้ยง" คือต่างหูไม่มีเครื่องประดับด้วยเพชร ตาม ธรรมดาเทวดานี่เขามีเครื่องประดับเป็นเพชรแพรวพราวเป็นระยับ คนนี้ทำบุญนิดเดียว ขอโทษเถอะ คำว่าทำบุญก็ถูกจะเรียกว่าทำก็ทำด้วยใจ ต้องนึกถึงบุญนิดเดียว คือนึกถึงพระพุทธเจ้า ตายแล้วเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก หลัง จากนั้นเขาก็มานั่งพิจารณา ว่าวิมานของเราเป็นวิมานทองคำ ทองคำทั้งหลัง ร่างกายเรามีเครื่องทิพย์ประดับ ร่างกายก็เป็นทิพย์ เขาก็ถอยหลังคิดว่าก่อนที่มาเกิดเป็นเทวดานี่เราอยู่ที่ไหน ความเป็นทิพย์ของกาย ความเป็นทิพย์ของใจ บรรดา ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เขาก็รู้ตัวทันทีว่าเราเป็นลูกชายของพราหมณ์ มีนามว่า "อทินนกปุพพกพราหมณ์" เป็นพราหมณ์ที่เป็นพาล คำว่า "พาล" แปลว่า "โง่" ไม่รู้จักทำความดีแม้แต่การให้ทาน พระ พุทธเจ้ากับบรรดาพระสาวกหลายท่าน ท่านมา ท่านเดินผ่านบ้านเสมอๆ แม้แต่ยกมือไหว้ก็ไม่มี แต่สำหรับเรานี้มาเป็นเทวดาได้เพราะอาศัยความดีที่นึกถึงพระพุทธเจ้า คือใช้เวลานิดเดียว ยอมถวายความเคารพท่านจึงมาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มี วิมานก็วิมานทองคำ จะเปรียบเทียบกับบ้านเก่า ๆ ก็สู้กันไม่ได้เลย บ้านสู้ไม่ได้ ร่างกายก็เป็นร่างกายเป็นทิพย์ ดูร่างกายเก่าเวลานี้พ่อกำลังนำไปฝังไว้ในป่าช้า เมื่อฝังแล้วพ่อก็ยืนร้องไห้อยู่ใกล้หลุม บนบานศาลกล่าวขอให้ลูกชายลงมาเกิดมาเกิดเป็นลูกใหม่ เธอก็คิดในใจว่าพ่อของเราจอมโง่แสนโง่ จอมพาลแสนพาล เราจะต้องไปดัดสันดานพ่อให้รู้จักสร้างความดี วัน รุ่งขึ้น พอพราหมณ์ผู้เป็นพ่อของเธอนี้ไปยืนร้องไห้ใกล้หลุมฝังศพ และก็บนบานศาลกล่าวไหว้หน้าไหว้หลังตามแบบฉบับของพราหมณ์ ขอพระพรหมผู้เป็นเจ้าช่วยลูกชายมาเกิดเป็นลูกชายใหม่ เธอก็แปลงกายของเธอคล้ายคนเดิม แต่สวยกว่าเก่าไปยืนในป่าช้าใกล้ๆ กับพ่อเก่าของเธอ เธอก็ยืนร้องไห้ พราหมณ์ เห็นชายคนนี้เข้าก็เข้าใจว่า เป็นลูกชาย เพราะคล้ายคลึงกันมาก แต่ไม่ถืงว่าไม่เป็นลูกชายจึงเดินเข้าไปใกล้แล้วก็แปลกใจว่าทำไม่หนอเรา ร้องไห้ถึงลูกชายของเราที่ตายไปแล้วต้องการให้กลับมาเกิด ชายหนุ่มคนนี้ยังหนุ่มอยู่ ยังไม่น่าจะมีเมียเหมือนเรา ไม่น่าจะมีลูก เธอมายืนร้องไห้เพราะอะไร จึงเดินเข้าไปใกล้ถามว่า "โภ ปุริสะ ดูก่อนท่านผู้เจริญ (หรือบุรุษผู้เจริญ) เธอร้องไห้เพราะอะไร" มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็ถามพ่อว่า "ลุงร้องไห้เพราะอะไร" เธอ ก็เล่าให้ฟังว่า ร้องไห้เพราะลูกชายตาย ลูกชายหน้าตาคล้ายเธอน่ะ รูปร่างทรวดทรงเหมือนกัน แต่เธอสวยกว่า ตายไปแล้วอยากให้กลับมาเกิดใหม่ เมื่อบอกแล้วก็ถามว่า "เธอร้องไห้เพราะอะไร" ชายหนุ่มก็บอกว่า "ผมมีรถทองคำอยู่คันหนึ่ง มันสวยมากครับ แต่ไม่มีล้อ ที่ร้องไห้เพราะอยากได้ล้อ" พราหมณ์ ก็คิดว่าชายคนนี้เหมือนลูกชายของเรา เราต้องการเอาไว้เป็นลูกเป็นที่ระลึก อย่างน้อยที่สุดก็มีความรู้สึกว่ารักแทนลูกได้ ก็ถามว่า "เธอต้องการล้อเงินหรือล้อทอง หรือล้อแก้วมณี ฉันจะหาให้ แต่ว่าต้องเป็นลูกฉันนะ" มัฏ ฐกุณฑลีเทพบุตรก็คิดว่าพ่อของเราเมื่อป่วย ขี้เหนียวแม้แต่ค่ายาก็ไม่ยอมซื้อ ค่าหมอไม่ยอมจ้าง เวลานี้จะให้เงินให้ทองให้แก้วมณีเป็นล้อรถราคาแพงกว่าตั้งมาก ทีก่อนไม่คิด จึงคิดดัดสันดาน ก็บอกว่า "ผมไม่ต้องการประเภทนั้นครับ เพราะรถของผมสวยมาก ต้องการดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มาเป็นล้ออย่างละข้าง" ตาพราหมณ์โมโหบอกว่า "ไอ้บ้า มันจะมีมาได้อย่างไร ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ใครต้องการมันไม่ได้หรอก มันอยู่สูงเกินไป" มัฏกุณฑลีเทพบุตรก็ถามว่า "แล้วท่านต้องการลูกชายของท่าน เวลานี้ท่านทราบไหมว่าลูกชายอยู่ที่ไหน" พราหมณ์บอกว่า "ไม่รู้" เธอก็เปรียบเทียบว่า "การที่ผมต้องการสิ่งที่ผมเห็นกับที่ลุงต้องการสิ่งที่ลุงไม่เห็น อย่างไหนจะบ้ามากกว่ากัน" พราหมณ์ ยอมแพ้ ก็รวมความว่าในที่สุดมัฏฐกุณฑลเทพบุตรก็บอกให้พราหมณ์ทราบว่าเธอน่ะคือมัฏ ฐกุณฑลีลูกชาย เวลานี้ไปเกิดเป็นเทวดา เพราะอาศัยความเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แนะนำให้พ่อไปพบพระพุทธเจ้า เสร็จแล้วก็รับกลับไปที่วิมานของตน พราหมณ์ ออกจากที่นั้นแล้วไปบ้าน บอกให้เมียจัดอาหารเป็นพิเศษ วันนี้จะอาราธนาองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์กับพระสาวกที่ฉันที่บ้าน และไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถามว่า "พระสมณโคดมอยากจะทราบว่าคนที่ไม่เคยถวายทาน ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยยกมือไหว้ท่าน นึกถึงท่านอย่างเดียวไปเกิดเป็นเทวดามีไหม" พระ พุทธเจ้าบอก "มีเยอะแยะไป ไม่ใช่นับหมื่นนับแสน นับเป็นโกฏิๆ" แล้วก็ถามว่า "เมื่อเช้าท่านได้พบแล้วใช้ใหม" หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงเรียกมัฎฐกุณฑลีเทพบุตรให้มาพร้อมวิมาน เมื่อมัฎฐกุณฑลีมาแล้วก็ลงจากวิมานมาไหว้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์โปรด พอเทศน์จบก็เป็นพระโสดาบัน เอา ละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เวลาจะหมดแล้วต้องรีบรวบรัดกันเพียงเท่านี้ ก็เป็นอันว่าการนึกถึงพระพุทธเจ้า มีความเคารพพระพุทธเจ้านั้น อย่างน้อยที่สุดบรรดาท่านพุทธบริษัท แม้แต่เล็กน้อยอย่างมัฎฐกุณฑลีเทพบุตร เมื่อตายจากความเป็นมนุษย์ก็พ้นจากการเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาได้ หลังจากนั้นก็เป็นพระโสดาบัน ตัดบาปอกุศลทั้งหมด บรรดา สาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคต และญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายเวลานี้ก็หมดเวลาแล้วก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี ๑. สัพพปาปัสสะ อะกะระณัง ให้บรรดาพระสงฆ์และพระองค์เองก็เช่นเดียวกัน พยายามสอนให้ทุกคนละจากความชั่วทุกประเภท คือไม่ทำความชั่วทุกประเภท ไม่ทำ ไม่พูด และก็ไม่คิดซะด้วย ๒. กุสลัสสูปสัมปทา แนะนำให้ทำความดีทุกประการ ๓. สจิตตะปริโยทะปะนัง แนะนำสั่งสอนให้มีจิตใจผ่องใส คือไม่มีอารมณ์มัวหมอง มีอารมณ์สดชื่นอยู่เสมอ ๔. เอตัง พุทธานะสาสะนัง ท่านยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด อ้างอิง...วิธีหนีนรกแบบง่ายๆ... หลวงพ่อพระราชพรหมยาน www.praruttanatri.c om |