หัวข้อ: ก้าวทันการรักษา 'โรคมะเร็ง' เครื่องฉายรังสีปรับความเข้ม 1,000 องศา เริ่มหัวข้อโดย: Nattawut-LSV Team ที่ กันยายน 12, 2010, 10:50:26 am (http://www.dailynews.co.th/content/images/1009/12/newspaper/varity_th.jpg)
หากเอ่ยถึงโรคภัยที่ส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพ อาจกล่าวได้ว่า โรคมะเร็ง ถือเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตลำดับต้น ๆ โดยจากสถิติข้อมูลในปี พ.ศ. 2551 พบว่า มีจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยมะเร็งกว่า 5 หมื่นราย ปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งในผู้ป่วย โดยเฉพาะเมื่อพบโรคในระยะเริ่มแรกมีหลากหลายวิธีทั้ง การรักษาโดยวิธี ผ่าตัด รักษาด้วยรังสี และรักษาด้วยยา การรักษามะเร็งด้วยรังสีในวิธีดังกล่าวนี้มีมายาวนาน และนับเป็นการรักษาที่มีบทบาทต่อผู้ป่วยเป็นอย่างมาก โดยประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยมะเร็งมักจะได้รับการรักษาด้วยรังสีเพื่อให้หายจากโรค หรือเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด และแม้ว่าคุณประโยชน์ของรังสีต่อการรักษาโรคมะเร็งจะมีอยู่ไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นก็อาจส่ง ผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ เครื่องฉายรังสีแบบปรับความเข้ม 1,000 องศา นับเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะช่วยเสริมการรักษาโรคมะเร็งให้ผู้ป่วยซึ่งจะ ได้รับความรวดเร็วและลดผลข้างเคียง โดยเครื่องดังกล่าวได้ติดตั้งที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นแห่งแรก และล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหา วิทยาลัยและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยซึ่งมีความมุ่งมั่นรักษาโรคมะเร็งให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและให้ มีผลข้างเคียงจากการรักษาน้อยที่สุดได้เปิดตัวแนะนำถึงวิธีการรักษา ผศ.นพ.ชลเกียรติ ขอประเสริฐ หัวหน้าสาขาวิชารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา ให้ความรู้ว่า แต่เดิมสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นจะมีในเรื่องของอุบัติเหตุ โรคหัวใจ แต่จากสาเหตุดังกล่าวปัจจุบันมีการรณรงค์ควบคุมที่ดี ปัจจุบันพบการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเป็นอันดับต้น โดยสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งมีหลายด้านทั้งสิ่งแวดล้อม การดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไปขาดการดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายน้อย รวมทั้งการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ การจะหลีกไกลจากมะเร็งสิ่งสำคัญคือ การหลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสี่ยง อีกทั้งไม่ควรละเลยการตรวจสุขภาพประจำปีเพราะหากยิ่งตรวจพบได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะเพิ่มโอกาสการรักษามากยิ่งขึ้น จากที่กล่าวมาการรักษามะเร็งมีหลายวิธี รังสีรักษาถือเป็นวิธีการอย่างหนึ่งซึ่งในการรักษาแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัย “เครื่องฉายรังสีแบบปรับความเข้ม 1,000 องศาเครื่องนี้เป็นเครื่องฉายรังสีแบบระบบหมุนรอบตัวแบบปรับความเข้มซึ่ง ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา เครื่องดังกล่าวสามารถปล่อยรังสีเอกซเรย์พลังงานสูงสามารถปรับรูปร่าง ความเข้มของลำรังสีในขณะที่หมุนเครื่องรอบตัวผู้ป่วยหมุนไปกลับได้ ต่อเนื่อง อีกทั้งสามารถปรับความเร็วในการหมุนของหัวเครื่องฉายแสงและสามารถปรับอัตรา การปล่อยรังสีของเครื่อง นอกจากนี้เครื่องฉายรังสียังติดตั้งระบบตรวจสอบตำแหน่งของก้อนมะเร็ง ฯลฯ ช่วยในการวางแผนการรักษารวมทั้งเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ป่วย” ในกรณีผู้ป่วยมะเร็งบริเวณสมอง ศีรษะ ลำคอซึ่งมีความ จำเป็นต้องสวมหน้ากากพลาสติกอาจทำให้เกิดความอึดอัดขณะฉายรังสี ผู้ป่วยที่ไม่สามารถนอนฉายรังสีได้นานเนื่องมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเจ็บปวด อาการเหนื่อยหอบ ฯลฯ จะได้รับความสะดวกขึ้น โดยสามารถลดระยะเวลาการฉายรังสีลงเหลือเพียงประมาณ 2-7 นาทีต่อการรักษาหนึ่งครั้ง อีกทั้งยังลดโอกาสคลาดเคลื่อนของตำแหน่งการฉายแสงที่มักเกิดกับผู้ป่วยซึ่ง ต้องใช้เวลาในการฉายแสงนาน นอกจากนี้ในการควบคุมรังสียังมีข้อดีโดยถ้ารังสีไปที่ก้อนมะเร็งสูงโอกาสที่ ก้อน มะเร็งจะหายไปหมดก็มากขึ้น ควบคุมไม่ให้รังสีโดนอวัยวะสำคัญหรืออวัยวะปกติที่อยู่ติดกับก้อนมะเร็ง อวัยวะบริเวณนั้นก็จะไม่สูญเสียหน้าที่ ผลข้างเคียงก็จะน้อย ลดอัตรา การเกิดผลข้างเคียงจากการฉายรังสีช่วยให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีขึ้น โรคมะเร็งนับเป็นภัยร้ายต่อสุขภาพ ในเพศหญิงมะเร็ง ที่พบได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็ง ปากมดลูก มะเร็งท่อน้ำดี ซึ่งกรณีหลังค่อนข้างตรวจพบยากในระยะเริ่มแรก แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการไม่รับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ส่วนเพศชายมะเร็งที่ตรวจพบบ่อย ได้แก่ มะเร็งตับและมะเร็งในท่อน้ำดี มะเร็งปอด ขณะที่เครื่องฉายรังสีปรับความเข้มดังกล่าวเป็นอีกความก้าวหน้าช่วยรักษาผู้ ป่วย แต่ก่อนต้องเผชิญกับมะเร็งร้าย หัวหน้าสาขาวิชารังสีรักษาและมะเร็งวิทยาฝากคำแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า การดูแลสุขภาพไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร การพักผ่อนที่เพียงพอการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รวมทั้งไม่ละเลยต่อการตรวจสุขภาพ ล้วนเป็นสิ่งที่ควรกระทำ และนับเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งได้เป็นอย่างดี. สรรหามาบอก - ศูนย์โรคสมองและระบบประสาท ร่วมกับศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลรามคำแหง ขอเชิญประชาชนผู้สนใจร่วมสัมมนาในหัวข้อ “โรควูบ เหตุจากสมองหรือหัวใจ อย่างไหนกันแน่?” ใน วันเสาร์ที่ 18 กันยายน 2553 เวลา 13.00-15.30 น. ณ ห้องประชุม อาคาร C ชั้น 10 โรงพยาบาลรามคำแหง กิจกรรมภายในงานมีการตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจวัดความดันตาอัตโนมัติชนิดไม่สัมผัส รับคำปรึกษาโรคระบบทางเดินอาหาร โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สำรองที่นั่ง โทร. 0-2743-9999 ต่อ 2680, 2688, 2699 - ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ร่วมกับ สมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย จัดเสวนาเรื่อง “สเต็มเซลล์ รักษาได้ทุกโรคจริงหรือ?” ใน วันเสาร์ที่ 18 กันยายน 2553 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 10 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา รพ.พระมงกุฎเกล้า ร่วมสำรองที่นั่งฟังเสวนา พร้อมรับกระเป๋าผ้าสเต็มเซลล์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ที่ โทร. 0-2256-4300, 0-2716-5977 ตั้งแต่วันนี้-15 กันยายน 2553 ด่วน! รับจำนวนจำกัด (200 ที่นั่ง) - นิตยสารรักลูก ร่วมกับ โรงพยาบาลเด็ก สมิติเวชศรีนครินทร์ จัดงาน “รักลูก@hospital 2010” อัพเดท ความรู้ใหม่ในการเลี้ยงลูกสำหรับคุณพ่อคุณแม่ด้วยรูปแบบกิจกรรมสาธิตพร้อม Q&A หัวข้อ “พลังเล่น...สร้างความสุข สร้างลูกสุขภาพดี” ใน วันเสาร์ที่ 18 กันยายน 2553 ตั้งแต่ 09.30-12.00 น. ณ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์ (ชั้น 1) สำรองที่นั่ง โทร. 0-2913-7555 ต่อ 3522 และ 3531 (ไม่เสียค่าใช้จ่าย) - โรงพยาบาลรามาธิบดี ขอเชิญบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมงานประชุมวิชาการรามา ธิบดีประจำปี 2553 “Academic Home Coming” วันที่ 20- 23 กันยายน 2553 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และ วันที่ 24-25 กันยายน 2553 สำหรับประชาชนทั่วไป ภายในงาน พบกิจกรรมให้ความรู้ด้านสุขภาพมากมาย สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ศูนย์เสริมพลังสร้างสุขภาพ ชั้น 1 อาคารเรียนรวม โรงพยาบาลรามาธิบดี โทร. 0-2201-2652, 0-2201-1064 โทรสาร 0-2201-2653, 0-2201-1064. เคล็ดลับสุขภาพดี : เลือกที่นอนถูกต้องเหมาะกับวัย ช่วยให้สุขภาพดี การพักผ่อนที่ดีที่สุดก็คือ การนอน และสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เรานอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มอิ่ม สบายกาย สบายตัว คงหนีไม่พ้นที่นอนที่สมส่วน และได้มาตรฐาน ถ้าที่นอนไม่ดี อาจทำให้การนอนพักผ่อนบนที่นอนที่อย่างน้อยก็คืนละไม่ต่ำกว่า 7-8 ชั่วโมงของเราไม่มีความสุข ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งกายและใจ เคล็ดลับสุขภาพดีอาทิตย์นี้ มีวิธีเลือกที่นอนให้หลับสบาย ส่งผลดีต่อสุขภาพมาฝากกันค่ะ นพ.ยอดรัก ประเสริฐ ศัลยแพทย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ความรู้ว่า การเลือกที่นอนสำหรับเด็กจะเลือกที่นอนแบบใดก็ได้ เพราะกล้ามเนื้อยังแข็งแรงอยู่ ส่วนวัยผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เจ็บป่วยเกี่ยวกับโรคกระดูก วิธีการเลือกอาจไม่แตกต่างกับวัยเด็กเท่าใดนัก แต่การเลือกที่นอนที่ถูกต้อง ก็คือ ไม่ควรเลือกที่นิ่มเกินไปและแข็งจนเกินไป ควรเลือกที่มีความแน่นกำลังดี นอนแล้วสบายตัว ตื่นขึ้นมาแล้วไม่รู้สึกปวดเมื่อย สำหรับในผู้สูงอายุต้องเน้น มากเป็นพิเศษ เพราะเวลาอายุมากขึ้นกระดูกสันหลังเริ่มเสื่อมและยิ่งนอนที่นอนไม่ดี ก็จะยิ่งทำให้ปวดหลังมากขึ้น สมัยก่อนผู้สูงอายุมักบอกว่านอนที่นอนแข็ง ๆ แล้วหายปวดหลัง แต่อาจจะกลายเป็นว่า ไปปวดเมื่อยบริเวณกล้ามเนื้อจุดอื่น ๆ แทน สำหรับที่นอนที่นิ่มเกินไปนั้นก็มีผลเสียด้วย เช่นกัน เพราะเวลาเราพลิกตัวจะทำให้กล้ามเนื้อฝั่งตรงข้ามออกแรงต้านมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อทำงานหนักขึ้นและส่งผลทำให้มีอาการปวดหลัง ส่วนวิธีการเลือกที่นอนอื่น ๆ ที่ควรทราบก็เช่น ควรเลือกที่นอนที่ มีขนาดใหญ่พอสมควรหากต้องนอนหลายคน เพราะถ้าที่นอน เล็กเกินไปอาจมีพื้นที่น้อยในการขยับตัว ทำให้เรานอนเกร็งและเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการปวดหลัง นอกจากนี้คุณหมอยังแนะนำถึงวิธีการใช้ที่นอนที่ถูกต้องว่า ฟูกที่นอนที่คุณภาพดี ๆ จะมีอายุการใช้งานประมาณ 5-10 ปี หลายคนมักเข้าใจผิดว่าสามารถใช้ได้ตลอด ที่สำคัญต้องรู้จักสังเกตว่าที่นอนยังอยู่ในระดับเดียวกันหรือไม่ มีรอยบุบหรือแตกหรือเปล่า หากมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นลองใช้มือลูบดูว่าที่นอนเป็นแอ่งหรือเปล่า หากเป็นแสดงว่าที่นอนเริ่มเสื่อมแล้ว แต่วิธีการถนอมที่นอนที่ดีควรกลับด้านทั้ง 4 ด้าน ประมาณ 6 เดือนครั้งและควรทำความสะอาดบ่อย ๆ เพื่อลด การสะสมของเชื้อโรคที่อาจทำให้เรา เจ็บป่วยหรือเป็นโรคภูมิแพ้ได้ อย่างไรก็ตามถ้าเราเลือกที่นอนไม่เหมาะสมกับวัยและสภาพร่างกายแล้วจะมีผล กระทบคือ จากการที่กระดูกไม่ดีอยู่แล้วก็จะยิ่งเป็นการเร่งให้กระดูกเสื่อมเร็วขึ้น กล้ามเนื้อมีอาการบาดเจ็บมากขึ้น มีอาการปวดหลังเรื้อรัง นอนหลับไม่สบายจนกระทั่ง ทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงตามลำดับ ดังนั้นหากใครที่รู้ตัวว่ามีปัญหาเรื่องโรคกระดูกหรือมีญาติพี่น้องที่เป็น ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ควรรู้จักเลือกที่นอนที่เหมาะสมกับตัวเอง เพื่อการนอนหลับพักผ่อนที่สบาย และเต็มอิ่ม สู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีนะคะ. ทีมวาไรตี้ ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=486&contentId=91199 |