หัวข้อ: รู้โลกรู้ธรรม หลวงตามหาบัว เริ่มหัวข้อโดย: kittanan_2589 ที่ พฤษภาคม 22, 2010, 12:50:32 pm เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวัน ที่ ๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๐๕ รู้โลกรู้ธรรม เราได้มาบวชในพระพุทธศาสนาไม่ได้มา บวชเพื่อฟังข่าวของพระพุทธเจ้าแลสาวกทั้งหลายโดยถ่ายเดียวต้องนำข่าว ของท่านว่าดำเนินอย่างใดจึงเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์และปรากฏ องค์เป็นศาสดาและเป็นสรณะของพวกเรามาปฏิบัติข่าวของ ท่านเป็นข่าวพ้นทุกข์โดยมากเราผู้สนใจ ในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ต้องจับเอา เป็นเหตุคือปฏิปทาเครื่องดำเนินของท่านที่ได้ รับผลมาแล้วว่าต้นเหตุเป็นมาอย่างไรไม่เช่นนั้น เราจะไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างพระพุทธเจ้าแลสาวกทั้งหลายเช่นผลไม้ ต่างๆเราจะมองดูแต่ผลซึ่งเกิดอยู่บนลำต้น ถ่ายเดียวโดยไม่คำนึงว่าผลไม้นี้เกิดมาได้ อย่างไรและต้นไม้นี้อาศัยอะไรเป็นอาหารปุ๋ยประเภท ใดซึ่งถูกกับผลไม้ประเภทนั้นๆจึงยังผล ให้ปรากฏขึ้นและได้รับประโยชน์ ข่าวแห่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ดีข่าวแห่ง สาวกที่ได้ตรัสรู้ตามพระองค์ท่านก็ดีนี่เป็นข่าว ส่วนผลแต่ข่าวเหตุพระพุทธเจ้าแลสาวกท่านดำเนินอย่างใดจึง ได้บรรลุผลอันสมบูรณ์เราบวชมาในพระพุทธศาสนาจึงไม่ควรรอ ฟังข่าวของท่านซึ่งเป็นผลโดยถ่ายเดียวที่ถูกต้อง ฟังผลที่ท่านได้รับด้วยทั้งเหตุที่ท่านดำเนินด้วยข้อปฏิบัติ อันยังผลนั้นให้ปรากฏขึ้นด้วยแล้วน้อม เข้ามาเป็นเครื่องพร่ำสอนตนเองแต่ละท่านว่าทางจากจุด นี้ไปถึงจุดนั้นหรือบ้านนั้นเมืองนั้นมีทางไปได้ อย่างไรเขาไปทางสายใดจึงจะถึงที่หรือเมืองนั้นๆเราต้องจับ ต้นทางเป็นของสำคัญทางแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แลสาวกดำเนินเป็นทางที่โลกๆไม่ชอบ ดำเนินกัน เพราะเหตุนั้นพระพุทธเจ้ากับสาวกจึงต่างจากโลกเมื่อปรากฏ ผลขึ้นมาแล้วโลกต้องยอมกราบพระพุทธเจ้าว่าท่าน ประเสริฐจริงพระธรรมที่เกิดจากพระพุทธเจ้าก็เป็น ธรรมประเสริฐและสาวกทั้งหลายก็กลายเป็นผู้ ประเสริฐจากบรรดาโลกทั้งหลาย ทางสายนี้เป็นทางเดินลำบากยากอยู่เพราะ เกี่ยวกับการบังคับทั้งการไปการอยู่การหลับนอนการฉันและการถ่าย เทต่างๆนอกจากนั้นยังมีการบังคับทางด้านจิตใจมีรั้วกั้น อยู่รอบด้าน จึงจัดว่าเป็นทางที่สัตว์ทั้งหลายผู้ต้องการจะไหลไปตามกระแสแห่งความอยากของ ตนจะดำเนินตามพระพุทธเจ้าแลสาวกได้โดยยาก แต่ผู้ฝืน ดำเนินตามแนวที่พระพุทธเจ้าแลสาวกดำเนินไปแล้วผู้นั้นจะ ต้องถึงฝั่งแห่งความเกษมได้คือพระ นิพพาน เวลานี้เราทั้งหลายต่างก็คาดเครื่องรบเต็มตัวอยู่ แล้วเครื่องรบของเราทุกชิ้นซึ่งเป็น หลักธงชัยอันสืบเนื่องมาแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ทรงได้ชัยชนะมาแล้วเครื่องรบนั้นคือบริขาร แปดที่ประทานให้ผู้บวชเป็นพระเป็นเณรในพระพุทธศาสนาได้แก่บาตรสบงจีวรสังฆาฏิประคดเอวมีดโกนเครื่อง กรองน้ำและกล่องเข็มนี่คือ เครื่องรบของนักบวชที่ประทนให้เป็นมรดกนับแต่วัน อุปสมบทปฏิญาณตนเป็นศิษย์พระตถาคตและทรงชี้ วิธีปฏิบัติและทางดำเนินเพื่อชัยชนะข้าศึกคือกิเลสโลโภโทโสโมโหอันเป็น ส่วนภายในทุกกรณีแต่ประโยคสำคัญคือตัวของเราเองบัดนี้เรา ได้คาดการรบไว้มากน้อยเท่าไรเพื่อชัยชนะมาสู่ตัวเรา เครื่องมือในการรบคือศีลสมาธิปัญญาแยกออกไป ตามมัชฌิมาปฏิปทามี๘คือสัมมาทิฏฐิสัมมาสัง กัปโปนี่เป็นองค์แห่งปัญญาสัมมาวาจาสัมมากัม มันโตสัมมาอาชีโวนี่เป็นองค์ แห่งศีลสัมมาวายาโมสัมมาสติสัมมาสมาธินี่เป็น องค์แห่งสมาธิรวมแล้วเรียกว่าศีลสมาธิปัญญาพระ พุทธเจ้าแลสาวกท่านเดินทางสายนี้แลซึ่งโลกทั้ง หลายเดินได้โดยยากเบื้องต้นพระองค์ทรงดำเนินพระองค์ เดียวก่อนใครๆในโลกเมื่อถึง ฝั่งแห่งความปลอดภัยแล้ว จึงทรงพระเมตตานำธรรมที่ได้ตรัสรู้มาประกาศสั่งสอนแก่ปวงชน ผู้มีอุปนิสัยใคร่ต่อความพ้นทุกข์อยู่แล้วพอได้ฟัง พระธรรมที่ทรงประกาศสอนต่างก็มีความสนใจใคร่จะฟังข้ออรรถข้อธรรมคือหลัก ความจริงจากพระพุทธเจ้าและเกิดความเชื่อถือและเลื่อมใสบางรายได้ สำเร็จมรรคผลต่อพระ พักตร์ของพระพุทธเจ้าก็มีโดยเป็นพระโสดาบันบ้างเป็นพระ สกิทาคามีบ้างเป็นพระอนาคามีบ้างและเป็นพระ อรหันต์บ้างนี่เป็นผลเกิดจากความเชื่อความ เลื่อมใสในหลักความจริงที่พระองค์ได้ประกาศไว้แล้วบางรายนำ ข้อธรรมที่ได้สดับแล้วไปประพฤติปฏิบัติโดยลำพังตนเองในสถานที่ ต่างๆและได้สำเร็จมรรคผลอยู่ในที่ นั้นๆก็มีเป็นจำนวนมาก เฉพาะนักบวชที่ชอบเที่ยวอยู่ในที่วิเวกสงัดโดยมากเมื่อเกิด ข้องใจในส่วนแห่งธรรมขึ้นมาก็เข้าไปทูลถามทรงชี้แจง ให้ฟังจนเป็นที่พอใจแล้วนำไปปฏิบัติจนสามารถรู้แจ้งแทงตลอดเป็นสาวก อรหันต์ขึ้นมาและเป็นพยานแห่งธรรมของจริงที่ พระองค์ทรงรู้เห็น ว่าไม่เป็นโมฆธรรมสำหรับสัตว์ทั้งหลายคำว่าสาวกแปลว่าผู้ฟังฟังทั้ง เหตุดีเหตุชั่วผลดีผลชั่วฟังทั้ง เรื่องของตนเองทั้งเรื่องของคนอื่นที่เป็น ความผิดและความถูกซึ่งจะเคลื่อนทางกายวาจาใจสาวกทั้ง หลายไม่มีความท้อแท้ไม่มีความอ่อนแอในการบำเพ็ญศีลสมาธิปัญญาให้เป็นไป วันยังค่ำคืนยังรุ่งสาวกทั้งหลายถือเป็นเรื่องความเพียร ทั้งนั้นฉะนั้นประวัติของสาวกที่ท่านผ่านพ้น อุปสรรคคือกองทุกข์ไปได้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีความอาจหาญ ร่าเริงต่อสถานที่อยู่อันวิเวกสงัดมีความ ร่าเริงต่อความเพียร แต่ข่าวของพวกเราจะเป็นอย่างไรจงน้อมข่าว ของท่านมาดำเนินด้วยความกล้าหาญและมักน้อย ในปัจจัยเครื่องอาศัยตลอดที่อยู่อาศัยทั้งอารมณ์ เครื่องรบกวนใจจงพยายามตัดให้น้อยลงอารมณ์ใด เป็นไปเพื่อก่อเหตุแห่งทุกข์ขึ้นมาอารมณ์นั้น ท่านเรียกว่าสมุทัยแดนเกิด ขึ้นแห่งทุกข์จงพยายามตัดทอนให้น้อยหรือเบาบางลง เป็นลำดับจนไม่มีอะไรเหลือด้วยอำนาจของมรรคคือศีลสมาธิปัญญาถ้าเราอ่อน ต่อความเพียรเพื่อละกิเลสแล้วอย่างไรก็เอาตัวไปไม่รอดเพราะ วันนี้กับวานนี้เป็นความมืดสว่างอันเดียวกันไม่เป็น ผลดีผลชั่วอันใดที่จะให้กิเลสหมดไปจากเราและจะให้ กิเลสเกิดขึ้นในใจเราได้นอกจากความเคลื่อนไหวของกายวาจาใจของเราเท่า นั้นที่จะให้กิเลสหมดไปและเป็นการสั่งสมกิเลสขึ้นมามีอยู่ เพียงเท่านี้ เพราะเหตุนั้นจงน้อมข่าว ของพระพุทธเจ้าและข่าวสาวกมาเป็นข่าวของเราอย่าประมาท นอนใจอยู่เปล่าจะเสียการได้ยินแต่ข่าวท่านมีความขยันหมั่น เพียรและหลบซ่อนองค์อยู่ในป่าอันเป็นที่ไม่วุ่นวายและรบกวน ด้วยเรื่องใดๆมีตนส่งไปใน ความเพียรทั้งกลางวันกลางคืนมีสติกับ ปัญญาประกอบองค์ความเพียรไม่ขาดวรรคขาดตอนได้ยินแต่ ข่าวท่านสำเร็จพระโสดาสำเร็จพระสกิทาคาพระอนาคาและพระ อรหันต์แต่ไม่ได้ยินข่าวเรา ทำไมจึงไม่ได้ยินข่าวเรา นั้นเพราะสาวกท่านปฏิบัติตนอย่างไรจึงได้สำเร็จผล อย่างนั้นแต่เราไม่ ได้ปฏิบัติตนอย่างนั้นจึงไม่สำเร็จอย่างนั้นถ้าเรา ปฏิบัติตามแบบของท่านโดยถูกต้องข่าวนั้นก็ จะสะท้อนย้อนมาเป็นข่าวของเราจนได้ เรื่องโอกาสวาสนาอำนวยนักบวชเรา นับว่ามีโชคกว่าใครๆในการประกอบความเพียรเพื่อรื้อถอนตน ออกจากทุกข์ถ้าเราว่าไม่มีโอกาสทั้งๆที่เราอยู่ ในเพศที่มีโอกาสนี้แล้วไม่มีใครจะมีโอกาสและความ ว่างในโลกให้เหนือจากเราไปได้ถ้าเราอยู่ ในสถานที่นี้ว่าปฏิบัติไม่ดีเราจะไปอยู่ ในสถานที่ใดจึงจะปฏิบัติดีเราอยู่ในสถานที่นี้ว่าไม่วิเวกเราบวชใน เพศนี้ว่าไม่ดีเราจะอยู่ในเพศไหนจึงจะดีโลกธาตุนี้ วุ่นวายเต็มไปด้วยกองทุกข์ทั้งนั้นอยู่ที่ไหน มีแต่ความเดือดร้อนไม่มีเกาะดอนใดพอจะมีความร่มเย็นเป็น สุขนอกจากเกาะหรือดอนแห่งศีลธรรมเท่านั้นเกาะดอน แห่งศีลธรรมเป็นที่ร่มเย็นเป็นสุขใครได้ก้าว เข้ามาพึ่งร่มเงาแม้แต่ชั่วระยะเพียงเล็กน้อยก็ได้รับความร่มเย็น จะเห็นใกล้ๆเช่นผู้มีความ เชื่อเลื่อมใสในพระศาสนา นำธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติตนเองก็ย่อมได้ รับความสะดวกกายสบายใจเฉพาะในวงครอบครัวมีความสุขเพราะไม่มี ความระแวงสงสัยในความประพฤติของกันและกันระหว่างคู่สามีภรรยาต่างจะมี ความสุขเพราะความไว้วางใจต่อความประพฤติของกันและกันซึ่งต่างก็ มีธรรมคือความมักน้อยและสันโดษในคู่ครองของตนเท่านั้นไม่มีความ ใฝ่ใจไยดีกับหญิงชายใดๆนอกจากคู่ ครองของตนแม้จะไปทำงานในบ้านนอกบ้านก็เป็นงาน เป็นการนำผลประโยชน์มาสู่ครอบครัวของตนด้วยความ ชุ่มชื่นเบิกบานจิตใจ ทั้งสามีภรรยาต่างมีความรักใคร่วางใจต่อกันในทาง อารมณ์ไม่มักมากในหญิงชายอันเป็นข้าศึกเครื่องทำลายครอบ ครัวและศีลธรรมเพียงครอบครัวหนึ่งๆปฏิบัติตน ต่อกันเท่านี้เรื่องกองทุกข์ปวดร้าวในหัวอกฟกช้ำใน หัวใจ จะไม่เกิดขึ้นในครอบครัวนั้นๆเลยธรรมคำสั่ง สอนของพระพุทธเจ้า ทำความร่มเย็นให้ทั้งฆราวาสและนักบวชได้อย่างนี้เพราะธรรม เป็นธรรมชาติเย็นอยู่แล้วใครปฏิบัติตามผู้นั้น ต้องได้รับความร่มเย็นเป็นผลตอบแทนขึ้นมา ตามกำลังความสามารถที่ตนได้ก่อเหตุอันดีไว้ เราบวชในพระศาสนาเป็นผู้มีโอกาสด้วยวาสนาก็ อำนวยด้วยถ้าเราอยู่ในเพศนี้ไม่เย็นเพศไหนจะ เย็นยิ่งกว่าเพศนี้ไม่มีถ้าเราอยู่ในที่นี้ไม่เย็น เราจะไปอยู่ที่ไหนจึงจะเย็นเรานั่ง สมาธิภาวนาให้เย็นยังกลับร้อนเราจะทำ อย่างไรจึงจะเย็นเรารักษาศีลว่าเป็นของเย็นก็ไม่เย็นนั่งสมาธิ ว่าเป็นของเย็นก็กลายเป็นของร้อนเราฝึกหัด อบรมปัญญาให้มีความฉลาดสามารถยังกิเลสอาสวะให้หมดจากใจ ก็เห็นว่าเป็นของร้อนแล้วอะไรเล่าจะมาทำความเย็นให้ปรากฏขึ้น ในจิตของเราในโลกนี้มีที่ไหนบ้างซึ่งจะเป็นที่ เย็นพระพุทธเจ้าแลสาวกก็ทรงแสวงหามาก่อนพวกเราแล้วไม่ทรงพบ ว่าที่ไหนจะเย็นพระทัยจึงได้เสด็จออกบวชแสวงหาที่เย็น บวชแล้วทรงแสวงหาที่เย็นอยู่ถึงหกปีไม่ทรง ปรากฏที่ไหนพอปลงพระทัยเชื่อถือได้ว่าที่นั้นที่นี้น่าจะเย็นจนสุด พระทัยไม่ปรากฏมีที่ไหนในโลกกว้างแสนกว้างจึงทรงย้อน เข้าไปอยู่ป่าอันเป็นที่เงียบสงัดซึ่งใครๆเขาไม่ ปรารถนาด้วยทรงย้อนกระแสใจเข้าสู่ป่าคือแดนแห่ง กิเลสซ่องสุมอยู่ภายในกายและภายในใจด้วยทรงหยั่งจิต เข้าในอริยสัจสี่พิจารณาทุกข์ซึ่งเป็นตัวผลค้นคว้าลง ถึงตัวเหตุอันเป็นแหล่งผลิตทุกข์ให้สัตว์เสวยไม่มีวันจบสิ้นทรงกำหนด เริ่มต้นแต่อานาปานสติอันเป็นส่วนหนึ่งของกายเข้าไปเป็น ลำดับถึงส่วนนามธรรมคือเวทนาทั้ง สามได้แก่สุขทุกข์เฉยๆที่เกิด ขึ้นภายในกายและภายในใจตลอดกาลพร้อมทั้ง สัญญาผู้หมายมั่นในเวทนาทั้งสามและสังขาร ผู้ปรุงแต่งในเวทนาทั้งสามให้เป็นไปตามใจอวิชชาผู้บงการแม้วิญญาณ ผู้รับรู้ในเวทนาทั้งสามก็ได้ถูกปัญญาของพระองค์ตามประหัตประหารโดยไม่หยุด ยั้งในคืนเพ็ญวิสาขมาส ขันธ์ทั้งห้าอันเป็นกองแห่งอริยสัจซึ่งเต็มไปด้วยทุกข์สมุทัย ได้ถูกพระปัญญาของพระองค์ไล่ต้อนเข้ารวมจุดไม่มีที่ปลีกออกได้เพราะอำนาจ พระปัญญาหว่านล้อมรอบขอบชิดหมดแล้วจึงหมุนติ้ว ลงสู่อุโมงค์อันเป็นป้อมค่ายของอวิชชาที่ทำหน้าที่สั่งงานคือพระ ปัญญาของพระพุทธเจ้าตามค้นดูรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณจนแจ้งชัด แล้วผลในตอนนี้ปรากฏว่าอาการแห่ง ขันธ์ทั้งห้าบอกสาเหตุอยู่ในตัวว่ามาจากป้อม ค่ายของอวิชชาเป็นผู้สั่งงานแต่ผู้เดียวเท่านั้นพระองค์ ท่านทรงหมดความติดพระทัยในขันธ์ห้าว่าไม่ใช่ ตัวโจรคือกิเลสแน่แล้ว ก็ทรงหยั่งพระปัญญาขุดค้นตามเข้าไปจนถึงป้อมค่ายของหัวหน้าวัฏจักรคืออวิชชาทรงพิจารณา ถอยออกขยับเข้าตามความกระเพื่อมของอวิชชาแสดงตัวด้วยพระปัญญาที่ทันสมัย ระยะนี้ท่านเรียกว่าพิจารณาปัจ จยาการคือความสืบต่อ ของอวิชชาจะสั่งงานไปตามขันธ์หรือตาม อายตนะซึ่งเป็นทางเดินของอวิชชาแต่มาถึง ระยะนี้แม้อวิชชาจะแสดงใบ้ประการใดวิชชาคือ พระปัญญาของพระองค์รู้เท่าทันเพลงของอวิชชาหมดแล้วขณะนี้ อวิชชากำลังถูกจับตัวเป็นผู้ต้องหาเจ้าหน้าที่ คือพระปัญญากำลังให้อวิชชาชี้ของกลางที่เคยไปเที่ยวฉกลักปล้นจี้เขามาในขณะเดียว กันก็เป็นเชิงฝึกซ้อมพระปัญญาให้มีความฉลาดรอบคอบยิ่งขึ้นและเป็นการ จะสังหารอวิชชาในขณะนั้นแล้วการพิจารณา ความเคลื่อนไหวของอวิชชาก็ดีการพิจารณา อวิชชาโดยตรงก็ดีทุกขณะท่านผู้ฟังโปรดทราบว่าเป็นวิธี การจะสังหารอวิชชาอยู่ในตัวแล้ว เมื่อทรงหยั่งพระปัญญาลงสู่จุดรวมแห่งวัฏจักร พิจารณาไม่หยุดยั้งทั้งเห็นว่าเป็นบ่อแห่งความทุกข์ทั้ง มวลทั้งเห็นว่าเป็นบ่อแห่งความแปรสภาพอยู่รอบตัวทั้งเป็น บ่อแห่งอนัตตาทั้งมวลจะถือเป็นเราที่ไหนทรงพิจารณา กลับไปกลับมาจนทราบชัดด้วยพระปัญญาว่าอวิชชานี้ คือตัวการก่อเรื่องให้ยุ่งไม่มีเวลาสงบสุขได้แม้แต่ขณะเดียวชื่อว่า เรื่องสมมุติทั้งหมดไหลลงรวมจุดเดียวนี้ทั้งนั้น และเป็นแหล่งผลิตทุกข์ทั้งมวลถ้าแหล่งนี้ ไม่ถูกทำลายเสียได้เมื่อใดทุกข์ซึ่งเป็นสิ่งสำเร็จรูปมาจาก แหล่งผลิตนี้จะเป็นไปตลอดอนันตกาลไม่มีวันจบสิ้น ลงได้และเป็นเหตุแห่งทุกข์อันใหญ่หลวงถ้าไม่ดับ ต้นเหตุนี้เสียทุกข์จะดับไปไม่ได้เพราะความ หลงต้นเหตุนี้เป็นเราเป็นของเราสิ่งทั้ง มวลซึ่งเกิดจากต้นเหตุนี้จึงกลายเป็นเราเป็นของเรา ไปเสียสิ้นเช่นทุกข์ก็กลายเป็นเราเป็นของเราสมุทัยส่วน ย่อยก็กลายเป็นเราเป็นของเราขึ้นมาเพราะ สมุทัยส่วนใหญ่กลายเป็นเราเป็นของเราอยู่แล้วทีนี้ก็ ลุกลามออกไปว่าดีชั่วสุขทุกข์ได้ เสีย ดีใจเสียใจเป็น เราเป็นของเราเรื่องเราจึงระบาดไป ทั่วโลกยิ่งกว่าโรคระบาดที่น่ากลัวกันเสียอีก แท้จริงมาจากต้นเหตุเพียงอันเดียวเท่านั้นคืออวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขาราต่อเป็นพืชไปทั่วภพทั่วชาติทั่วโลกดิน แดนไม่มีขอบเขตยิ่งกว่ามหาสมุทรทะเลอวิชฺชา ปจฺจยา นี้จะทนต่อจอบเพชรและพระปัญญา เพชรที่พระองค์ขุดค้นฟาดฟันอย่างไม่ท้อถอยไปไม่ได้วัฏจักรได้ ถูกถล่มจมลงไปด้วยอำนาจพระปัญญาของพระพุทธเจ้า พระวิชชาวิมุตติ หลุดลอยขึ้นมาในขณะอวิชชาดับลงไปในปัจฉิมยาม ของราตรีเดือนหกเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงธมฺโม ปทีโปพระธรรมอันเต็มดวงในพระทัยก็ได้ปรากฏ ขึ้นในวันเดียวกันเป็นอันว่าในคืนวันนั้นพระจันทร์กับ พระธรรมได้โผล่ขึ้นจากกลีบเมฆพร้อมๆกันซึ่งเป็น ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งในโลกปัจจุบันนั้นไม่เคยมีเราทั้ง หลายได้ทราบในพระประวัติปรากฏเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นี่พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงแสวงหาความร่มเย็นอย่าง เราๆที่ไหนก็ไม่ทรงพบเมื่อ พระองค์ทรงย้อนพระทัยเข้าสู่ป่าอันเป็นที่สงัดวิเวกและย้อนเข้าสู่ป่าคือกอง แห่งอริยสัจสี่อันเป็นรากฐานซึ่งจะให้ทรงพบความร่ม เย็นได้แล้วก็ทรงพบจุดจบแห่งกองทุกข์ทั้งมวลและทรงพบ ความเย็นอย่างอัศจรรย์ขึ้นในที่นั้น ความร้อนก็เกิดในพระองค์ผู้เดียวและความ เย็นก็เกิดในพระองค์คนเดียวกันแม้ความโง่ ความฉลาดก็จะเกิดในคนเดียวกันนั้นฉะนั้นจง ทราบเสียว่าไม่มีที่ไหนจะร้อนยิ่งกว่าหัวใจของคนมีกิเลสและสถานที่ อยู่ของคนต้องโทษซึ่งถูกคุมขังก็สถานที่ ที่จะยกจิตออกจากที่คุมขังคือกิเลสนั้นเหมาะที่สุด ตามทางพระพุทธเจ้าคือป่าหรือสถานที่ที่อยู่ณบัดนี้และการ กระทำซึ่งกำลังทำอยู่ขณะนี้ จะเป็นไปเพื่อความเยือกเย็นในใจและความหลุดพ้นโดยไม่กลับ มาสู่หลุมมูตรคูถนี้อีกพระพุทธเจ้าแลสาวกทั้งหลายท่านอยู่ใน ที่วิเวกสงัดอันเป็นที่ประกอบความเพียรได้สะดวก ฉะนั้นเราทั้งหลาย จงอยู่อย่างท่านจงมีความรักในศีลมีความรัก ในสมาธิมีความรักในปัญญามีความรักใน ความเพียรเพื่อความอยู่สบายในอิริยาบถทั้งปวงมีความ รื่นเริงบันเทิงในงานที่ชอบคือการถอด ถอนกิเลสเป็นสิ่งสำคัญที่กล่าวนี้เป็นความสงัดภายนอกในส่วนแห่ง กายและความสงัดภายในใจมีความสงัดภายนอกเป็นที่อยู่ของกายมีความสงัด ภายในเป็นที่อยู่ของใจสถานที่เหล่านี้มีความร่มเย็นและสะดวก แก่การประคองความเพียรและเป็นข่าวดีแก่ผู้สนใจปฏิบัติธรรมข่าวของพระ พุทธเจ้าแลสาวกก็เป็นข่าวอย่างนี้ข้อสำคัญจง เป็นผู้มีสติระวังความเคลื่อนไหวของตนอยู่เสมอไปที่ไหนอยู่ที่ใดให้มีธรรม หล่อเลี้ยงหัวใจอยู่เสมออย่านำโลกมาหล่อเลี้ยงและถือเป็นความ สนิทสนม คำว่าโลกถ้าลงได้ เข้าสิงหัวใจของใครแล้วจะเป็นไฟขึ้นมาจากที่ใจดวงนั้นผลที่ปรากฏ ขึ้นจากไฟก็คือความรุ่มร้อนอยู่ที่ไหน ก็ไม่สบายตามท่านกล่าวไว้ตำนานว่ามีสุนัข จิ้งจอกตัวหนึ่งมีแผลอยู่บนศีรษะ ถูกหนอนเจาะหนอนไชกัดกินอยู่ทั้งวันทั้งคืนสุนัขตัว นั้นไปอยู่ที่ไหนก็ไม่สบายไปอยู่ในร่มไม้ก็หาว่าร่มไม้ไม่สบายไปอยู่ใน ที่แจ้งก็หาว่าที่แจ้งไม่สบายไปอยู่ที่ ลับก็หาว่าไม่สบายไปนอนแช่น้ำก็หาว่าไม่สบายวิ่งขึ้น อยู่บนบกก็หาว่าไม่สบายไปอยู่ที่ไหนก็หาว่าที่นั้นๆไม่สบายวิ่งไปวิ่ง มาไม่เป็นอันกินอยู่หลับนอนเพราะเข้าใจ ว่าทุกข์มีอยู่ในสถานที่ต่างๆไม่คิดว่า ทุกข์มีอยู่ที่แผลบนศีรษะพอแผลของสุนัขหายไปเท่านั้นสุนัขตัว นั้นอยู่ที่ไหนก็สบาย นี่เมื่อเทียบกับพวกเราผู้มีแผลอยู่บนศีรษะคือใจถูกหนอนคือ กิเลสกัดไชกินอยู่ตลอดเวลาคือทางรูปก็กัด เข้ามาทางเสียงก็กัดเข้ามาทางกลิ่นก็ กัดเข้ามาทางรสก็กัดเข้ามาทางเครื่อง สัมผัสก็กัดเข้ามากัดเข้ามาทุกด้านเมื่อเป็น เช่นนั้นอยู่ที่ไหนก็ไม่สบายจากที่นี่ไป อยู่ที่อื่นก็ไม่สบายออกจากที่แจ้งไปสู่ที่ลับก็ไม่สบายไปอยู่ใต้ ร่มไม้ก็ไม่สบายไปอยู่ภูเขาก็ไม่สบายลงไปอยู่ใน น้ำก็ไม่สบายขึ้นอยู่บนบกก็ไม่สบายขึ้นอยู่บน กุฏิก็ไม่สบายลงอยู่ใต้ถุนก็ไม่สบายไปอยู่ที่ ไหนก็ไม่สบายไปเสียทั้งนั้นที่นี่เราจะ ตำหนิอะไรเพราะแผลและตัวหนอนคือกิเลสมิได้อยู่ ในที่อยู่นั้นๆแต่มันอยู่ บนศีรษะคือใจของเราเอง วิธีจะนำหนอนออกจากศีรษะนั้นคือเครื่อง มือได้แก่ศีลเครื่อง กำจัดหนอนประเภทหยาบออกจากใจของเราได้สมาธิกำจัดหนอน ประเภทกลางออกจากใจได้ปัญญาเครื่องมือ กำจัดหนอนคือกิเลสส่วนละเอียดจากใจได้เมื่อเรา ได้นำเครื่องมือทั้งสามคือศีลสมาธิปัญญาเข้า ไปกำจัดหนอนคือกิเลสอย่าง หยาบอย่างกลางและอย่าง ละเอียดออกจากใจจนหมดสิ้นแล้วนั่งอยู่ ที่ไหนก็สุโข วิเวโกมีความสงัดทั้งภายนอกมีความสงัด ทั้งภายในใจไม่มีอะไรก่อกวนให้เกิดความกังวลไม่มีหนอน กัดหนอนไชเหมือนที่เคยเป็นมานี่เพราะ อำนาจศีลสมาธิปัญญาที่ทันสมัย กำจัดกิเลสแม้อยู่ภายในใจให้หมดไปได้ เพราะเหตุนั้นเราอยู่ไหนๆอย่า ปราศจากสติจงเป็นผู้มีสติทุกๆอิริยาบถการเคลื่อน ไหวไปมาการขบฉันการนั่งการนอนเว้นเสีย แต่หลับนอนเท่านั้นจงให้เป็นไปกับสติและปัญญาจะชื่อว่า มีธรรมรักษาตนจะเป็นผู้ปลอดภัยจากเวร อนึ่งภัยหรือเวร นั้นไม่มีใครจะมาก่อสร้างให้นอกจากตัว เราเองเป็นผู้ก่อเหตุทำเวรขึ้นมาใส่ตัวเองผลจึงปรากฏ เป็นที่รุ่มร้อนนี่คือความปราศจากสติถ้าเป็นผู้ มีสติอยู่แล้วเรื่องทั้งนี้จะไม่มารังควานจิตใจของ เราได้จะเป็นไปเพื่อความสงบสุขทุกๆอิริยาบถการประกอบ ความเพียรทุกๆประโยคสติกับ ปัญญาเป็นธรรมสำคัญมากและต้องแนบ กับความเพียรนั้นๆเสมอไปถ้าหากว่า สติกับปัญญาได้ขาดจากประโยคแห่งความเพียรนั้นๆแล้วความเพียร เหล่านั้นต้องกลายเป็นโมฆะไปทันทีโปรดทราบไว้ อย่างนี้จะได้รู้สึกว่าสติปัญญาเป็นธรรมสำคัญ อย่างไรบ้าง การเดินจงกรมนั่งสมาธิ ทุกๆครั้งถ้าไม่มีสติ ปัญญาเป็นเครื่องกำกับรักษาอยู่แล้วก็ไม่ผิด อะไรกับเขาเดินเขานั่งธรรมดาในอิริยาบถ ทั้งปวงต้องมีสติกับปัญญาประคองความเพียรติดต่อสืบเนื่องเป็นลำดับกิเลสจะยก กองพลมาจากที่ไหนจะมารบ กวนใจของเราได้เพราะตัวของ เราเป็นตัวกิเลสและเป็นผู้ก่อเหตุขึ้นเผาผลาญตนเอง ให้ได้รับความเดือดร้อนถ้ามีสติปัญญาประจำอยู่กับบทธรรมหรือ อาการแห่งธรรมที่ตนกำลังพิจารณาอยู่ไม่ขาดวรรคขาดตอนก็เป็นการ เตรียมดับเพลิงกิเลสตัณหาอยู่ในตัวแล้วเพลิง กิเลสตัณหาตัวใดจะมาจากทางไหนจะมารังแก และทำลายเราให้ได้รับความเดือดร้อนจะไม่มีเลย นอกจากตัวเหตุดีชั่วเป็นเรื่องของตนสั่งสมขึ้นเองเท่านั้น จงอย่าเห็นว่ากิเลสทุกประเภทจะมีอยู่ในที่ต่างๆเข้ามาแทรก สิงหัวใจของเราแล้วปล้นสะดมเอาหัวใจของเราไปใจดวงเดียว อาศัยตาหูจมูกลิ้นกายเป็นทาง เดินเมื่อส่งกระแสออกมาทางตาจึงปรากฏ รูปขึ้นมาส่งกระแสออกมาทางหูจมูกลิ้นกายก็ปรากฏ เป็นเสียงเป็นกลิ่นเป็นรสเป็น เครื่องสัมผัสขึ้นมาแล้วถือเอาอารมณ์ที่ตนได้รับสัมผัส นั้นๆเข้าไปสู่ใจกลายเป็น สมุทัยก่อทุกข์ขึ้นมาเราจะเห็นว่าอะไรเป็นตัวกิเลสเล่าเมื่อการ ก่อทุกข์ให้เกิดเป็นเรื่องของเราเองแล้วนี่เราจะ เห็นได้จากใจที่ปราศจากสติปราศจากปัญญาปล่อยตัว เองไปตามอำนาจของตัณหาเครื่องผลักดันเขาก็ฉุดลาก ไปสู่อารมณ์ต่างๆตามแต่อวิชชาความงมงายและตัณหา ความอยากไม่มีเพียงพอจะบังคับให้เป็นไปตามความต้องการของตน เวลานี้เราบวชในพระศาสนาจงพยายาม ให้รู้ทางเดินของเสือโคร่งตัวสำคัญซึ่งเดิน อยู่ทั้งวันทั้งคืนคือเดินไปตามกระแสของตาหูจมูกลิ้นกายออกไปสู่ รูปเสียงกลิ่นรสเครื่อง สัมผัสแล้วนำอารมณ์เข้ามาเป็นอาหารกินอยู่ในถ้ำคือกายนี้เพื่อบำรุง เสือโคร่งคืออวิชชาให้มีกำลังกล้าแล้วสั่งสม ทุกข์ให้เกิดขึ้นในตัวทั้งวันทั้งคืนความเป็น ทั้งนี้เพราะความไม่มีสติไม่มีปัญญาเป็นพี่เลี้ยงรักษาใจจึงเป็น ช่องทางให้กระแสของใจเล็ดลอดออกไปสู่อารมณ์อันเป็นพิษมาเผาผลาญ ตนเองให้เกิดเรื่องเกิดราวอยู่เสมอ ฉะนั้นจงเป็นผู้ ถึงพร้อมด้วยสติและปัญญาอยู่ทุกๆอิริยาบถ เถิดคำว่าโลกวิทูเป็นผลอัน เกิดขึ้นจากความเพียรที่มีสติและปัญญาเป็นธรรมหล่อเลี้ยง อย่างไรต้องรู้ชัดทั้งโลกนอกคือสภาวธรรม ทั่วๆไปทั้งโลกในคือใจกับ เรื่องที่เกิดจากใจเพราะอำนาจสติกับปัญญาขัดเกลาอยู่ เสมอความบริสุทธิ์พุทโธอันเด่นดวงจะโผล่ขึ้นมาอย่าง เต็มที่ภายในใจของตน วันนี้ได้อธิบายข่าวของพระพุทธเจ้าและข่าว แห่งสาวกทั้งหลาย ทั้งปฏิปทาที่ท่านทรงดำเนินทั้งผลเป็น ที่พึงพอใจที่พระพุทธเจ้าและสาวกทรงได้รับมาแล้วเพื่อให้ เราทุกท่านได้ยึดเป็นหลักฐานน้อมเข้าสู่ข้อปฏิบัติของเราเพื่อ ดำเนินให้เป็นไปตามแนวทางของท่านผลที่ได้รับ จะเป็นที่พึงพอใจ หลักสำคัญที่ได้ย้ำไว้ในวันนี้คือเรื่อง ของสติกับปัญญา เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดสำหรับผู้มุ่งทำตนให้พ้นจากทุกข์ในวันนี้วันหน้าต้องเป็น ผู้หนักในสติสิ่งใดมาสัมผัสจงให้ทราบด้วยอำนาจสติ และใคร่ครวญด้วยปัญญาทุกๆอย่างและทุกๆอาการที่มา สัมผัสจะเข้ามาสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจทางใดทาง หนึ่งก็ตามจงพยายามฝึกหัดสติและปัญญากับสิ่งที่ มาสัมผัสนั้นๆสิ่งที่มาสัมผัสทั้งหลายจะกลายเป็น หินลับสติและปัญญาให้คมกล้าขึ้นโดยลำดับแต่ถ้าเรา ปล่อยไปตามอัตโนมัติของใจแล้วสิ่งที่มา สัมผัสทั้งหลายจะกลายเป็นข้าศึกต่อสติกับปัญญาและต่อใจของตนเอง ถ้าเราเป็นผู้มีสติอยู่ตลอดเวลามีปัญญาคิด ค้นอยู่เสมอแล้วเราจะกำหนดสภาวธรรมอันใดไม่ว่าข้าง นอกไม่ว่าข้างในคือกายกับใจจะต้องทราบ ได้อย่างชัดแจ้งเช่น พิจารณาสกลกายของเราตั้งแต่ผิวหนังเข้าไปถึงข้างในแยกส่วน แบ่งส่วนแห่งร่างกายทั้งหลายออกเป็นชิ้นเป็นอันได้ตามต้องการจะกำหนดโดย ทางไตรลักษณ์ก็ได้คือโดยทางอนิจฺจํความ แปรสภาพของส่วนต่างๆจะประจักษ์ อยู่ตลอดเวลาทั้งส่วนแห่งร่างกายทั้งส่วน แห่งเวทนาคือสุขทุกข์เฉยๆทั้งส่วน แห่งสัญญาคือความจำได้หมายรู้ทั้งส่วน แห่งสังขารคือความคิดความ ปรุงของใจทั้งส่วนแห่งวิญญาณคือความรับ รู้สิ่งที่มากระทบตาหูจมูกลิ้นกายใจจะพิจารณา โดยทางอนัตตาความไม่ใช่เราไม่ใช่ของ เราในสิ่งเหล่านี้ก็ได้ สิ่งเหล่านี้จะประกาศไตรลักษณ์ประจำตนอยู่ตลอดเวลา ไม่หยุดยั้งนอกจากสติกับปัญญาจะไม่ติดต่อเท่า นั้นจึงไม่ทราบว่าสภาวะเหล่านั้นประกาศตัวอย่างไรบ้างคำว่าอนิจฺจํคือความ แปรสภาพอยู่เสมอสภาวธรรมข้างนอกทั่วๆไปก็แปรภายในร่าง กายทุกส่วนก็แปรความสุขทุกข์เฉยๆปรากฏขึ้น ก็แปรสัญญาความจดจำก็แปรสังขารความ คิดนึกของใจก็แปรวิญญาณความรับรู้ก็แปรแต่ละ อย่างๆมีความแปรสภาพประจำตนอยู่เสมอความเป็น ทุกข์ความเป็น อนตฺตาก็เป็นจักร ตัวเดียวกันกับอนิจฺจํและอยู่ใน เครื่องจักรไตรลักษณ์อันเดียวกันเมื่อจักร ตัวหนึ่งเริ่มไหวตัวจักรตัวอื่นๆต้องเริ่ม ทำงานไปพร้อมๆกัน ถ้าเราพิจารณาด้วยความมีสติปัญญาประจำตนอยู่เช่น นี้จะไม่เห็นตัวจักรคือไตรลักษณ์ได้แก่อนิจฺจํทุกฺขํอนตฺตาทำงานอยู่ บนร่างกายและจิตใจของเราและสภาวธรรมทั่วๆไปได้อย่าง ไรเล่าเมื่อเห็นประจักษ์อยู่เช่นนี้จะมัวประมาทนอนใจอยู่ อย่างไรว่าสภาพเหล่านี้เป็นที่ไว้วางใจได้แล้วนอกจากจะ เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นตัวภัยทุกอาการของเขาหาความไว้ วางใจไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียวทั้งสิ่งที่ ผ่านมาแล้วทั้งสิ่งที่ยังมาไม่ถึงทั้งสิ่ง ที่เห็นประจักษ์อยู่ในขณะนี้เป็นกอง เพลิงเช่นเดียวกันคือจะอาศัยกายกายก็แตกจะอาศัยสุขสุขก็แตกเฉยเฉยก็แตกสัญญาก็แตกสังขารก็ แตกวิญญาณก็แตกทุกๆอาการต้อง แตกทั้งนั้น แล้วจะอาศัยอะไรมีแต่ของแตก หักหมดทั้งร่างถ้าถือกายเป็นเรากายแตกเรา ก็หมดที่พึ่งถือเวทนาเป็นเราเวทนาแตกก็ หมดที่พึ่งถือสัญญาสังขารวิญญาณเป็น เราสิ่งเหล่านี้แตกเราก็หมดที่พึ่งโดยสิ้นเชิงเลยกลาย เป็นจิตอนาถาอาศัยอะไรมีแต่สิ่งแตกหักนี่คือ อุบายของปัญญาคิดหาความรอบคอบใส่ตัวเองและพิจารณา เน้นลงไปอีกว่าเรานั่งอยู่กับทุกข์นอนอยู่กับ ทุกข์อิริยาบถทั้งสี่อยู่กับโรงงานแห่งไตรลักษณ์ตัวจักรทำ งานหมุนอยู่บนร่างกายและจิตใจของเราไม่มีวันปิดงานผลรายได้ตก ออกมาจากโรงงานคืออนิจฺจํทุกฺขํอนตฺตาแผ่ไปทั่ว โลกธาตุ ผู้ไม่ฉลาดเพียงถูกสะเก็ดก็ร้องครางไปตามๆกันฉะนั้นใครๆจึงบ่นว่า ทุกข์บ่นว่าเดือดร้อนบ่นว่า บกพร่องขาดเขินบ่นว่าไม่สะดวกกายสบายใจบ่นว่าไม่ สมหวังเราอยู่บนโลกแปรปรวนเราอยู่ใน โลกของไตรลักษณ์คืออนิจฺจํทุกฺขํอนตฺตาจะหาอะไรมา เป็นตัวเราได้เล่าก็เราอาศัยเขาสิ่งที่ ปรากฏขึ้นเราถือว่าเป็นของเราเสียเมื่อสิ่ง นั้นดับสลายไปเราจึงเสียใจเราอยู่กับ โลกที่ไว้ใจไม่ได้ทุกคนและสัตว์จึงต้องเดือดร้อนไปตามๆกัน การพิจารณาอย่างนี้ก็เพื่อจะให้เห็นว่าโลกนี้เป็น อย่างไรนั่นเองอนึ่งการพิจารณา ไตรลักษณ์และการรู้เห็นในไตรลักษณ์ไม่ต้องถือ เป็นความจำเป็นว่าจะต้องพิจารณาทั้งสามและรู้พร้อมๆกันทั้งสาม ไตรลักษณ์เพียงพิจารณาและเห็นเพียง ไตรลักษณ์หนึ่งเท่านั้น ก็สามารถซึมซาบไปทั่วทั้งสามไตรลักษณ์ได้เหมือนกันคำว่าโลกวิทูรู้โลกไม่จำเป็น ต้องไปนับเม็ดหินเม็ดทรายในแผ่นดินมีเท่าไรใน ท้องมหาสมุทรมีเท่าไรในแผ่นดินมีต้นไม้ภูเขาเท่าไรมีทรัพย์ สมบัติสัตว์บุคคลเท่าไรคำว่าโลกวิทูรู้เพลงของ โลกรู้กลมายาของใจตัวเองที่ไปสำคัญโลกว่าเป็นอะไรจึงไปยึด มั่นสำคัญผิดกลายเป็นพิษแก่ตัวเอง จนปรากฏเป็นกิเลสตัณหาอวิชชาขึ้นมาให้เที่ยว เวียนว่ายตายเกิดในสงสารทุกข์แล้วทุกข์เล่าไม่มีวันจบสิ้นสัก ทีโลกวิทูรู้ตามเป็นจริงซึ่งสภาวธรรมทั้งหลายแล้วปล่อย วางไว้ตามสภาพของเขาเท่านั้น การพิจารณาไตรลักษณ์ก็เช่นเดียวกันในส่วนแห่ง กายทั้งหมดนี้เราพิจารณาเพียงอาการใดอาการหนึ่ง เท่านั้นก็สามารถจะทราบในอาการทั้งหลายซึ่ง เป็นส่วนแห่งกายนั้นด้วยและมีไตรลักษณ์ประจำตนเช่นเดียวกันเมื่อเห็น ชัดด้วยปัญญาแล้วจะทนถือมั่นสำคัญผิดอยู่อย่างไรต้องปล่อย วางเป็นลำดับตามส่วนแห่งปัญญาที่เห็นชัดแล้วเหตุที่ถือ มั่นสำคัญผิดนั้นก็เพราะไม่เข้าใจชัดเหตุที่ยัง ไม่เข้าใจชัดก็เพราะกำลังของสติและกำลังของปัญญายังไม่เพียงพอถ้าพอ แล้วอย่างไรก็ทนถืออยู่ไม่ได้เมื่อเห็นอนิจฺจํทุกฺขํอนตฺตาชัดแล้ว ต้องปล่อยวางและรู้เท่าตามเป็นจริง ไตรลักษณ์ฝ่ายรูปเสียงกลิ่นรสเครื่อง สัมผัสกับรูปกายของเราเป็นไตรลักษณ์ส่วนหยาบเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเป็น ไตรลักษณ์ส่วนกลางจิตอวิชชาคือจิตที่ มีอวิชชาครองอยู่จัดเป็นไตรลักษณ์ส่วนละเอียดไตรลักษณ์ ประเภทนี้มีประจำอยู่กับจิตอวิชชาคือจิตที่ เต็มไปด้วยความลุ่มหลง ขยับตัวออกขณะไหนก็เป็นกิเลสขณะนั้นจงค้นดูให้ ชัด เพราะสภาวธรรมทั้งหลายรู้มาหมดแล้วธรรมชาติอัน นี้เป็นอะไรจึงไม่รู้ตนเองธรรมชาติอันนี้จะเป็นอะไรต่อไปหรือว่า ธรรมชาตินี้เป็นเราถ้าเป็นเราเราก็ติด เราอีกเราตัวนี้จะไปก่อกำเนิดขึ้นอีกในภพทั้งหลายไม่จบ สิ้นเพื่อความรอบคอบเข้าเป็นลำดับเพราะได้ ตัดกิ่งก้านสาขาคือพิจารณาส่วนหยาบเข้ามาหมดแล้วต้องตัดลำ ต้นให้ขาดและถอนรากเหง้าขึ้นมาอีกต้นไม้นั้น จึงจะตายฉิบหายไม่มีเหลือ นี่เราตัดและรู้เท่ารูปเสียงกลิ่นรสเครื่อง สัมผัสและรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเท่า นั้นส่วนใหญ่ของสิ่งเหล่านี้คืออะไรรากเหง้า แห่งความลุ่มหลงคืออะไรผู้มาถือกำเนิดเป็นธาตุเป็นขันธ์คือ อะไรนั่นคือตัวการก่อเหตุที่สำคัญจงพิจารณา ให้เห็นธรรมชาตินั้นเป็นเช่นเดียวกับสภาวะทั้งหลายที่ผ่านมาแล้วความรู้อัน นี้เป็นอะไรได้ทำความรู้เท่าและปล่อยวางตนหรือ ยังถ้ายังไม่รู้ตนเองก็แสดงว่าเราฉลาดแต่ภายนอกส่วนภายใน เรายังโง่เพื่อความฉลาดและรอบคอบเราต้อง ขยับเข้าไปพิจารณาธรรมชาตินี้อีกทีหนึ่งคือความรู้ ที่เป็นตัวการรากวัฏจักรรากความ หมุนเวียนเชื้อแห่งกองทุกข์ทั้งมวลบรรจุไว้ใน ธรรมชาตินี้หมด จงพิจารณาเข้าไปถึงธรรมชาติที่รู้ๆให้เห็น เป็นไตรลักษณ์อีกเช่นเดียวกับสภาวะอื่นๆอนิจฺจํแปรสภาพอยู่ รอบตัวทุกฺขํหลงอันนี้ ต้องจมอยู่ในทุกข์อนตฺตาถือว่าเป็น เราเป็นของเราที่ไหนธรรมชาตินี้เป็นตัวสมมุติที่ละเอียด ยิ่งกว่าสมมุติใดๆในไตรโลกธาตุทั้งนี้โดย มากไม่มีใครจะพูดอย่างนี้ว่าธรรมชาตินี้ เป็นไตรลักษณ์หรือไม่แต่ขอพูดโดยหลักธรรมชาติที่ได้ ปฏิบัติมาและรู้เห็นอย่างไรก็นำมา อธิบายให้ท่านทั้งหลายทราบเต็มกำลังของตนทุกแง่ทุกมุมมิได้ปิด บังไว้แม้จะไม่มีในตำราแต่หลักธรรมชาติเมื่อพิจารณาเข้าไปมันปรากฏ อยู่อย่างนี้เพื่อท่านนักปฏิบัติที่สนใจจะได้ถือ ไว้เป็นข้อคิดเมื่อคราวจำเป็นเกิดขึ้นและจะได้นำมา พิจารณาแก้ไขตนเองเพราะท่านนักปฏิบัติที่สนใจในธรรมอัน ยิ่งด้วยความเพียรจะต้องผ่านในหลักธรรมชาติที่กล่าวนี้ อย่างแน่นอนทั้งจะได้ทราบในหลักแห่งสวากขาตธรรม และนิยยานิกธรรม ที่พระพุทธเจ้าประทานไว้แก่ผู้สนใจ ในธรรมปฏิบัติว่าไม่เป็นโมฆธรรมไปตามสัญญาความคาดหมาย เสียทีเดียวยังมี สันทิฏฐิโก แฝงอยู่ด้วยธรรมของ พระองค์จะได้เป็นธงชัยให้โลกได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อไป การพิจารณาผู้รู้ที่เป็นตัวสังสารจักร เพื่อให้ท่านนักปฏิบัติได้เห็นจุดจบแห่งภพหรือที่สุดของโลกอันแท้จริงลงได้ไม่เช่น นั้นจะกลายเป็นว่ารู้โลกแต่กลับมาหลงธรรมในตัวเองผลสุดท้าย เลยกลายเป็นหลงทั้งโลกหลงทั้งธรรมเพื่อความ รู้โลกรู้ธรรมอย่างแท้จริง จงพิจารณาลงจุดผู้รู้ที่เด่นดวงจนเห็นว่าเป็นตัวโทษหาชิ้นดีไม่ได้ ด้วยปัญญาที่ทันสมัยใจดวงนี้จะระเบิดเชื้อวัฏฏะออกให้ดู อย่างเต็มใจพร้อมทั้งความเห็นภัยจนน่าใจหายในขณะ นั้น เช่นเดียวกับเราไม่รู้ไปยึดเอาที่หลับนอนในถ้ำเสือ ซึ่งเขาอาศัยอยู่เป็นประจำได้ยินเสียงเสือกระหึ่มเข้าใจว่าเป็น เสียงฆ้องกลองเลยเงี่ยหูฟังอย่างเพลินใจแต่พอมีคน ที่เขารู้ว่าถ้ำเสือนอน และนี่คือเสียงเสือกระหนึ่งด้วยความหึงหวงถ้ำเพียงได้ ยินเขาบอกเล่าเท่านั้น ก็ตัวลอยออกมาด้วยความอกสั่นขวัญหายไปหมดโลดเต้นออก มาด้วยความกลัวจนไม่มีสติยับยั้งว่าระยะทาง ที่วิ่งออกมามีอะไรขวางหน้าอยู่บ้างยังไม่ทันจะ คิด เพราะชีวิตมีราคาสูงกว่านี่เสือ อวิชชากระหึ่มขณะจะสิ้นซากจากจิตก็มีลักษณะเช่นเดียวกันบรรดาท่าน ที่เคยผ่านเสืออวิชชามาแล้วอย่างโชกโชนจะไม่ให้ท่านกลัวอย่างไรเล่าที่ยังเห็น ว่าเสียงเสืออวิชชาเป็นเหมือนเสียงฆ้องเสียงกลองก็คือพวก เราผู้กำลังเป็นอวิชชาอยู่เท่านั้นท่านที่เป็น วิชชาแล้วได้ยินแต่ข่าวอวิชชาผลิตทุกข์ให้ สัตว์ได้รับความทรมานท่านก็กลัว พออวิชชาถูกระเบิดคือปัญญาแตก กระจายออกแล้วนั้นแลเราพ้นจากถ้ำเสือแล้วใครเล่าที่ วิ่งออกมาจากถ้ำเสือจนตัวลอยแล้ว ยังจะพอใจไยดีกลับไปนอนฟังเสียงเพลงของเสือกระหึ่มในถ้ำเสืออีกบรรดาท่าน ผู้ผ่านถ้ำเสือออกถึงที่ปลอดภัยแล้วต้องออก อุทานในใจด้วยกันทุกรายว่าพ้นแล้วจากแดนแห่งความสมมุติแดนแห่ง ความยุ่งเหยิงแดนแห่งความบกพร่องแดนแห่ง ความเกิดแก่เจ็บตายจิตที่เป็น สมมุติกับกิเลสซึ่งเป็นตัวสมมุติด้วยกันเกาะกันเข้า กลายเป็นก้อนสมมุติขึ้นมาพาให้สัตว์เวียนว่ายธรรมชาติ ที่น่ากลัวนี้เราพ้นไปเสียแล้วบัดนี้จิต ของเราไม่ใช่จิตสมมุติแต่กลายเป็นวิมุตติจิตขึ้นมาแล้วชื่อว่าการท่อง เที่ยววกเวียนที่เคยเป็นมาได้ตัดสินกันแล้วในวันนี้นับแต่ขณะ นี้ไปเราจะไม่เป็นผู้ต้องหาขึ้นโรงขึ้นศาล เพื่อแก้คดีกล่าวหาจากอวิชชาอีกแล้วอวิชชาผู้พา เกิดพาตายได้แยกทางกันกับเราแล้วในวันนี้จิตของเรา ถึงแล้วซึ่งธรรมอันไม่ใช่วิสัยของอวิชชาจะตามยื้อแย่งนี่อุทาน ของท่านที่หลุดลอยออกได้จากถ้ำเสือ ข่าวของพระพุทธเจ้าและสาวกท่านดำเนินอย่างไรจึงถึง แดนแห่งความเกษมเราก็ดำเนินตามแนวทางของท่านเป็น ลำดับมาจนถึงธรรมชาติที่รู้ๆอันเป็นสหาย ของอวิชชาและถูกทำลายโดยสิ้นเชิงด้วยอำนาจของปัญญาจากนั้นไม่ มีสมมุติใดๆเข้าเคลือบแฝงแต่ ธรรมชาติที่ไม่ใช่สมมุตินั้นท่านให้นาม แฝงว่าวิมุตติเพื่อให้ลง กันได้กับโลกที่มีสมมุติ ขอให้เป็นข่าวของพวกเรานักปฏิบัติอย่างนี้ดำเนิน อย่างนี้เป็นมาอย่างนี้รู้เห็นได้ อย่างนี้ด้วยปัญญาเชื่อว่าไม่เสียทีที่เกิดมาเป็น มนุษย์ได้บวชในพระพุทธศาสนาได้ดำเนิน ตามเยี่ยงอย่างของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายจนเต็มกำลังความสามารถทั้งด้าน ความเพียรเพื่อแก้กิเลสอาสวะทั้งแดนแห่ง ความหลุดพ้นก็สุดขีดความสามารถอีกเช่นเดียวกัน ดังนั้นขอให้บรรดาท่านผู้ฟังทุกท่านจงน้อมเอา ธรรมที่ทรงประทานไว้แล้วด้วยพระเมตตามาปฏิบัติหากท่านจะ ปิดพระโอษฐ์ไม่ทรงโปรดสัตว์ผู้ยากจนเช่นพวกเราเข้าสู่ นิพพานไปเสีย ก็สุดหวังผู้ตั้งใจตามเสด็จพระองค์ท่านโดยทางธรรมตามบทธรรมเป็นภาษา ของเราว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ตถาคตแต่ไม่ทรงเห็นอย่างนั้น จึงโปรดประทานร่องรอยไว้ในธรรมทุกบททุกบาทโปรดทราบว่า นั่นคือศาสนาผู้ใคร่ต่อธรรมชื่อว่าใคร่ต่อศาสนาจงน้อม ปฏิบัติเต็มกำลัง ผลที่ได้รับจะเป็นไปตามธรรมที่ศาสดาตรัสไว้ทุกประการนับแต่ชั้น ต้นจนถึงวิมุตติพระนิพพานจะเป็นสมบัติของท่านทั้งหลายโดยไม่ ต้องสงสัยจึงขอยุติธรรมเทศนาเพียงเท่านี้ เอวํ lsv-smile |