หัวข้อ: อ.ระพี สาคริก เริ่มหัวข้อโดย: b.chaiyasith ที่ มีนาคม 03, 2010, 07:49:24 pm (http://img530.imageshack.us/img530/6382/rapeezi1.jpg)
ชื่อนี้คงมีคนจำนวนไม่น้อยนักที่จะคุ้นหู หลายคนรู้จักและเรียกท่านว่าอาจารย์ นั่นเพราะเคยได้รับการทาบทาม จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ให้เข้าเป็นอาจารย์ประจำ รวมทั้งเคยดำรงตำแหนงอธิการบดีของมหาวิทยาลัยด้วย อีกทั้งยังเคยเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ อีกมุมหนึ่งหลายคนก็รู้จักท่านในฐานะนักเขียน นักคิด นักวิจัย ขณะที่เมื่อใดที่ว่างด้วยเรื่องของกล้วยไม้ ในฐานะของนักวิชาการเกษตรผู้บุกเบิก วงการกล้วยไม้ของประเทศไทยให้ก้าวย่างสู่สากล นี่คือสิ่งที่ท่านได้รับการยอมรับและยกย่องให้ยืนอยู่แถวหน้า กระทั่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา สาขาเกษตรศาสตร์ ในปีพ.ศ.2511 ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดด้านวิชาการ นอกจากนี้ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ในปีพ.ศ.2513 อีกด้วย ทว่าศ.ระพีในวัย 84 ปีที่เราได้เห็นในวันนี้ คือภาพของชายชราธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่วางมือจากชีวิตการทำงาน ทั้งในภาคราชการ กึ่งราชการและเอกชน เพื่อหันมาใช้ชีวิตที่สงบและเรียบง่าย เหลือก็แต่เพียงการเป็นที่ปรึกษาให้วิทยาทานด้วยการบรรยาย สัมมนา โดยเฉพาะด้านการพัฒนาชนบทและเยาวชนที่เน้นด้านคุณธรรมและจริยธรรม ดังเช่นคราวนี้ที่ท่านได้รับเชิญให้มาบอกเล่าเรื่องราวของตนเอง ซึ่งจัดโดยสำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในสไตล์สบายๆแบบ ปู่คุยกับหลาน (http://img85.imageshack.us/img85/442/orchidtd2.jpg) ชีวิตคนไทยส่วนใหญ่รากฐานอ่อนแอ จะเห็นกันง่ายๆคือ ใช้เงินเป็นตัวชี้วัดแค่เห็นเงินก็ตาโต ตื่นเต้นกัน เห็นของใหม่ก็อยากได้อยากมี ทั้งๆ ที่ของเก่าก็ยังใช้ได้ อย่างเช่นโทรศัพท์มือถือ หลายต่อหลายรุ่นที่ออกมาวางขาย ทำให้สภาพจิตใจอ่อนแอลง ความซื่อสัตย์ต่อตัวเองหายไป อีกทั้งยังตกอยู่ในสภาพที่ประมาท อย่างเรื่องข้าวหอมมะลิที่ถูกสหรัฐอเมริกาจดลิขสิทธิ์ไปนั้น ซึ่งถ้าว่ากันจริงๆมันคงไม่มีประโยชน์แล้วที่เราจะไปเรียกร้องทวงสิทธิ์อะไร แต่อยากให้หันมามองสิ่งที่อยู่รอบตัวเราจะดีกว่า ให้มองว่าในประเทศไทยของเรายังมีข้าวของอีกมากมาย ที่ควรจะหันมาใส่ใจและเร่งพัฒนาพร้อมๆกับการเก็บรักษาไว้ นี่คือจุดอ่อนของคนไทยสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุดเรากลับมองข้าม คุณปู่ระพี เริ่มสะท้อนทัศนคติของตนเองอย่างเนิ่บๆ พร้อมกันกับการแสดงสีหน้าที่แปดเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้คนนั่งฟังรู้สึกคล้อยตามและนับถือในคำพูดของท่าน ศาสตราจารย์ผู้ผ่านโลกมากว่า 8 ทศวรรษ ยังบอกเล่าต่อไปอีกว่า หากสังคมใดตกอยู่ในความประมาทสังคมนั้นๆย่อมไปไม่รอด ดังนั้นความประมาทนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่สิ่งที่ต้องคำนึงไปพร้อมๆกันนั่นคือตัวเอง ถ้าคนทุกคนรู้จักตัวเองก็เท่ากับว่าเรารู้จักผู้อื่นด้วย รวมทั้งต้องรู้จักที่จะยกย่องผู้อื่นให้เทียบเท่ากับตัวเอง อย่างเช่นในวงการกล้วยไม้ ระดับพล.ทหารกับนายพลก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้ ไม่มีชนชั้นวรรณะ เรื่องแบบนี้เป็นกันไปทั่วโลก หากเราคำนึงถึงจิตใจผู้อื่น สังคมก็จะเป็นสังคมที่ดี แม้เม็ดดินเม็ดทรายสักเม็ดหนึ่งก็มีความสำคัญเท่าเม็ดใหญ่ ความจนความรวยไม่เคยมีในโลกนั้นเป็นความจริง เช่น สมมติเรามีเงินอยู่ 10 บาท ถ้าเราบอกตัวเองเสมอว่าเราพอใจแล้ว เราพอใจตรงนี้ นี่คือความพอเพียงเพราะรากฐานของความพอเพียงคือจิตใจ ต้องควบคุมจิตใจตัวเองให้ได้เพราะรากฐานจิตใจทำให้เราได้รู้จักกับตนเอง รวมทั้งใช้ธรรมะคือธรรมชาติในใจเป็นฐานทุกอย่าง แล้วจากนั้นแม้จะมีเทคโนโลยีใดๆเข้ามาก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ นี่คือหนึ่งในแง่คิดที่อาจารย์ระพีสอนให้ทุกคนในสังคมได้รับรู้ ถึงการใช้ชีวิตท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขันกันสูง ค่าครองชีพยังคงได้ไม่สม่ำเสมอเท่าเทียมกัน ขณะที่สิ่งล่อหูล่อตาอันเป็นกิเลสก็เข้ามาเบียดเบียนจิตใจ จนทำให้หลายคนแพ้ราบคาบ เมื่อเกริ่นมาถึงสภาพบ้านเมืองในปัจจุบัน ในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์ชีวิตที่ได้สัมผัสโลกมามากมาย ก็อดที่จะให้แง่คิดไม่ได้ว่าปัญหาบ้านเมืองในสมัยก่อน คำว่าประชาธิปไตย เกิดขึ้นและมีอยู่ในใจคน ข้างนอกจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ จิตใจคนคือรากฐานของทุกสิ่งอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงแตกต่างจากภาพของประชาธิปไตยที่เราประจักษ์กันในปัจจุบัน และไม่ว่าปัญหาใดๆก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นเพียงทุกคนมองให้เป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่ไม่ใช่เป็นธรรมชาติที่เป็นสิ่งแวดล้อมล้อมๆ ตัวเรา แต่ให้มองว่าเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นภายในตัวเรา มองว่าเป็นปัญหาที่ตัวเรา แม้ในบางเรื่องจะดูเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ใส่ใจ แต่บางครั้งก็เป็นตัวเราเองที่ก่อเรื่องโดยที่ไม่รู้ตัว ทุกอย่างจึงขึ้นอยู่ที่ตัวเราเหมือนดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่พระองค์เคยตรัสไว้ว่า คนที่จะช่วยบ้านเมืองได้ ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง แต่จะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น ทุกวันนี้ หลังจากที่ได้ปลดระวางตัวเองจากหัวโขนหลากหลายที่ได้รับจากสังคมแล้ว ศ.ระพี เล่าให้ฟังว่าได้ใช้ชีวิตส่วนหนึ่งหมดไปกับการนั่งเขียนหนังสือ ถ่ายทอดเรื่องราวและมุมมองผ่านประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวมาตลอดชีวิต แต่หนังสือจริงๆไม่ได้อยู่ที่บทความหรือรูปเล่มภายนอก ทว่าอยู่ในใจ ซึ่งการจะเป็นนักฟัง นักอ่าน นักเขียนที่ดีนั้นต้องมีฐานอยู่ที่ตัวเอง ซึ่งก็สนใจที่จะเขียนทุกสิ่งทุกอย่างอันจะเป็นการเปิดโอกาสให้ได้ค้นหาความจริง โดยที่ผลการค้นหาความจริงจากใจตนเองเชื่อว่า ข้อมูลที่เก็บสะสมเอาไว้ในรากฐานจิตใจ ถ้าเป็นหนังสือก็คงเป็นตำราเล่มใหญ่ นอกจากนั้น ยังมีโอกาสพบความจริงจากวิถีการดำเนินชีวิตต่อไปอีกว่า ยิ่งใช้ประโยชน์จากคลังข้อมูลมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วแตกฉานยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนมีดที่ยิ่งลับ ยิ่งนำมาใช้ประโยชน์ก็ยิ่งคม ไม่นำมาใช้เลยมีดก็ทื่อ ธรรมชาติของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ขอให้เป็นตัวของตัวเองให้ดีที่สุด อย่างตัวผมก็ไม่ได้เก่งไปกว่าใคร แต่ผมยืนอยู่บนความหลากหลายของตนเองคือเคารพในตนเอง ขณะเดียวกันก็เคารพคนอื่นไปพร้อมๆกัน และนี่คืออีกมุมหนึ่งของลูกผู้ชายตัวจริงที่ชื่อ ระพี สาคริก การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย ได้มาถึงจุดที่เราต่างก็เรียกหา "คุณธรรม" กันอย่างกว้างขวาง ถ้าจะกล่าวว่า "หากสังคมขาดธรรมาธิปไตยซึ่งควรจะมีอยู่ในพื้นฐาน แม้เราจะหวังให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยก็คงเป็นไปได้ยาก" หากหวนกลับไปพิจารณาค้นหาความจริง ว่า นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2475 ซึ่งเราประกาศว่าต้องการประชาธิปไตย แต่เราเอา การปฏิวัติ มาเป็นเงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลง มันก็เหมือนนำชนักมาปักติดหลังคนไทยทั้งชาติเอาไว้จนถึงทุกวันนี้ การเปลี่ยนแปลงจากตรงนั้นเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ การยกพวกฆ่ากันเองมาโดยตลอด ผู้เขียนยังจำได้ดีว่า หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ไม่นาน ช่วงนั้นมีพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาถึงช่วงที่คุณทวี บุณยเกตุ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 7 วัน หลังจากนั้นเราก็เริ่มมีการติดตามฆ่ากันเอง จนกระทั่งฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่าจำต้องหนีหัวซุกหัวซุน สิ่งดังกล่าวมันสอนให้แต่ละคน ทีหลังอย่าคิดโลภโมโทสัน เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนไปเองอย่างเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว การมีอำนาจด้วยความรู้สึกพอเพียงเท่านั้น ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ด้วยความสงบและร่มเย็นเป็นสุข แทนที่จะอยากได้ประชาธิปไตยจนตัวสั่น ซึ่ง ณ จุดนี้ทำให้ขาดการรู้ตัวเองได้ถึงเหตุและผล ทุกวันนี้ หลายคนคิดถึงความสำคัญของ "บ้าน" ซึ่งหาใช่บ้านที่แต่ละคนอาศัยซุกหัวนอนเท่านั้นไม่ หากควรจะหยั่งรู้ได้อย่างลึกซึ้ง ว่า คือบ้านเกิดเมืองนอนของแต่ละคน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิต ความหมายของ บ้าน หาใช่หมายถึงบ้านที่แต่ละคนอาศัยอยู่ มีรั้วรอบขอบชิดที่สร้างขึ้นมากันขโมย และการล่วงล้ำของเพื่อนบ้าน และให้ความสวยงามเป็นการส่วนตัวเท่านั้นไม่ แต่ถ้าเข้าใจความหมายของคำว่า บ้าน ได้อย่างลึกซึ้งว่า หมายถึงบ้านที่ชีวิตไทยร่วมกันอาศัยอยู่อย่างอบอุ่นตลอดทั้งชาติ ดังนั้น บ้านซึ่งทุกคนใฝ่ฝันที่จะมีไว้เป็นเจ้าของ และควรจะรู้ความหมายได้ถึงระดับหนึ่ง มันเป็นความจริงที่ว่า บ้านอันเป็นสุดที่รักดุจชีวิตของแต่ละคน กำลังสูญหายไปจากหัวใจคนไทยจำนวนมาก บ้านหลังนี้หมายถึง ความสำคัญของจิตใจ ที่สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัย ของจิตวิญญาณเราแต่ละคนที่เชื่อมโยง ถึงกันและกันอย่างเสมอเหมือนกันหมด หากมองเห็นความจริงเรื่องนี้เราคงจะต้องสำนึกอยู่ในใจแล้วว่า "อนิจจาบ้านซึ่งเป็นของคนไทยทุกคน มันกำลังเหลือแต่เศษหินและดินที่กองอยู่บนพื้นผิวโลก รวมทั้งวิญญาณคนไทยก็คงจะเปลี่ยนไปเป็นแค่ตำรา ในประวัติศาสตร์อย่างน่าเศร้าใจที่สุด" ถึงกระนั้น แม้แต่ตำราดังกล่าว ถ้าจิตใจคนไทยขาดการรู้คุณค่าของตัวเอง ประวัติศาสตร์มันก็คงกลายเป็นเศษกระดาษที่เผาอยู่ในเปลวไฟได้ไม่ยาก ก่อนอื่น เราควรเริ่มต้นด้วยการก้มลงมาดูพื้นดินและพิจารณาอย่างรู้เหตุรู้ผลร่วมด้วยว่า ถึงบัดนี้แผ่นดินไทย ซึ่งเคยเป็นของคนไทย รวมทั้งญาติพี่น้องเราเองอย่างภาคภูมิใจนั้น มันกลับเป็นเพียงรอยเท้าของฝรั่งมังค่าที่เข้ามาเหยียบย่ำหัวใจคนท้องถิ่น ซึ่งยังมีจิตสำนึกหลงเหลืออยู่บ้าง เรื่องนี้อาจจะต้องยอมรับความจริงว่า มีการฆ่าฟันกันเองไปจนถึงจุดหนึ่งแล้ว ปัจจุบันนี้ผู้เขียนหวนกลับมาค้นหาความจริงใจจากตนเอง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ค้นหาเหตุผล ทำให้อดรู้สึกไม่ได้ว่า "ทุกวันนี้ชีวิตคนไทยกำลังดิ้นตายใช่หรือเปล่า?" "..ฉันนึกถึงภาพแมวตัวหนึ่งซึ่งผ่านเข้ามาในสายตาตัวเองหลายปีมาแล้ว วันนั้น แมวตัวนั้นกำลังเดินวนไปเวียนมาเพื่อค้นหาเศษอาหารที่อยู่ในครัว บังเอิญเด็กชายคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในบ้าน มองเห็นเข้า เขากระโดดไปคว้าไม้พลองที่พิงอยู่ข้างฝา แล้วนำมาหวดลงบนหลังเจ้าแมวตัวนั้น ฉันมองเห็นภาพมันดิ้นอย่างสุดฤทธิ์ ไม่เพียงเท่านั้นการดิ้นของแมวมันคล้ายกับว่า เส้นเอ็นซึ่งอยู่ในระบบอันเป็นธรรมชาติกำลังชักกระตุก จนกระทั่งพาเอาตัวมันเองเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะแน่นิ่งไป แต่แล้วเด็กชายคนนั้นก็นำไม้มาหวดซ้ำลงไปอีก ฉันเพิ่งเข้าใจความหมายของคนแต่ก่อนที่กล่าวไว้ว่า "พื้นที่ดินแปลงนี้มันมีขนาดเท่ากับแมวดิ้นตาย.."(http://img378.imageshack.us/img378/2430/rapee1bu3.jpg) ความหมายของภาษิตบทนี้ควรจะหมายถึง ถ้าหวังที่จะได้แผ่นดินซึ่งมีขนาดเท่ากับแมวดิ้นตาย ก็คงมีความหมายว่ามันคงไม่รู้จักจบลงได้ ณ จุดใดจุดหนึ่ง ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงคำว่า "บ้าน" แต่ละคนคงใฝ่ฝันที่จะมีบ้านเป็นของตัวเอง อีกทั้ง ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์เอาไว้กิน ไว้ใช้ ให้เกิดความภูมิใจในชีวิต แต่ถ้ามองบ้านด้วยความรู้ความเข้าใจได้ลึกซึ้งถึงระดับหนึ่ง อย่างที่พูดกันว่า บูรณาการ ควรเห็นความจริงได้ว่า บ้านอันเป็นที่รักดุจชีวิตกำลังสูญหายไปจากหัวใจเราเอง ซึ่งขณะนี้ต่างคนต่างเห็นแก่ตัวกันเป็นส่วนใหญ่ ไม่คำนึงว่าเพื่อนมนุษย์จะสามารถอยู่ในโลกได้อย่างมีความสุข หรือว่าใครจะทุกข์แค่ไหนก็ไม่สำคัญ แต่ฉันหรือตัวกูหวังจะมีความสุขคนเดียวก็พอแล้ว หากมีใครท้วงติงก็จะสะท้อนให้เห็นภาพถ่ายในจิตใจได้ว่า แทนที่จะรับฟังด้วยความขอบคุณ กลับขาดความใจกว้าง ดังนั้น ความหวังที่ว่าสังคมจะได้รับการแก้ไขก็คงเป็นไปได้ยาก และถ้ายังมองไม่เห็นความสำคัญของบ้านเกิดเมืองนอน ที่เชื่อมโยงถึงกันและกันได้หมดทั้งประเทศ จนกระทั่งถึงทั้งโลก วันหนึ่งก็คงจะต้องหวนกลับมานั่งรำพึงถึงชีวิตตัวเองว่า อนิจจาสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตเราแต่ละคน มันกำลังจะสูญหายไป จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว ทุกวันนี้ แม้กระทั่งบ้านลูกหลานไทยที่ปลูกอยู่บนแผ่นดินผืนนี้ มันก็เริ่มกลายเป็นของคนท้องถิ่น ซึ่งมีสามีเป็นฝรั่ง ไปทีละแห่งสองแห่ง และแล้ววันหนึ่งมันก็จะหมดสิ้นไปจนไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศักดิ์ศรีของความเป็นคนไทย ที่ควรจะอยู่บนแผ่นดินผืนนี้ได้อย่างมั่นคงยั่งยืนสืบไป วันหนึ่งในอนาคตแผนที่ประเทศไทยหรือประเทศสยาม ที่ผู้คนสมัยก่อนเคยหลงติดอยู่กับฝรั่งกระทั่ง ถึงกับเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย ฟังดูแล้วมันน่าอับอายขายหน้าคนชาติอื่นเขาหรือเปล่า ที่กลุ่มผู้บริหารประเทศนำเอาสิ่งดังกล่าว ไปขายให้คนต่างชาติเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเอง แท้จริงแล้วหากรู้สึกได้อย่างลึกซึ้ง ควรสำนึกได้อยู่เสมอว่า การซื่อสัตย์ต่อตัวเอง มันสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด แม้จนก็ควรจะภูมิใจว่าเราสามารถถือความซื่อสัตย์ต่อตนเองเอาไว้ให้มั่นคงอยู่ได้ ยิ่งกว่านั้น สิ่งดังกล่าวหากจะต้องแลกด้วยชีวิต ก็ควรยอมได้ แทนที่จะให้คนชาติอื่นเขามาปรามาส ดูถูกเหยียดหยาม ว่า "คนไทยสามารถใช้คุณค่าของชีวิตเอามาขายกินได้ทุกเรื่อง" ซึ่งฟังแล้วครั้งใด แทบจะเอาชีวิตแทรกแผ่นดิน หนีหน้าไปให้พ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ขณะนี้ สภาพที่เป็นอยู่เช่นนี้ ถ้าจะกล่าวจากใจจริงก็ว่า ทุกวันนี้คนที่รักและซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินไทยกำลังมีหัวอกกลัดหนอง แล้วคงมีคำถามต่อไปอีกว่า แล้วใครจะบ่งหนองสิ่งนี้ออกไปจากตัวเรา แท้จริงแล้วเราก็ไม่ควรจะหวังให้คนอื่นมาช่วย ถ้าหวนกลับมาพิจารณาถึงสิ่งซึ่งอยู่ในใจเราเอง เราแต่ละคนควรหาคำตอบได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ อนิจจาประชาธิปไตยในสังคมไทย มันก็คงล้มลุกคลุกคลาน อีกทั้งทำให้คนไทยต้องยกพวกฆ่ากันเองอย่างจบสิ้นลงได้ยาก และแล้วบนแผ่นดินผืนนี้เราจะหวังหาความสุขได้จากที่ไหน ใครรู้ช่วยกรุณาตอบทีด้วยเถิด ที่มาอรุณสวัสดิ์ หัวข้อ: Re: อ.ระพี สาคริก เริ่มหัวข้อโดย: b.chaiyasith ที่ มีนาคม 03, 2010, 08:03:00 pm สวนกล้วยไม้
(http://images.yuttana59.multiply.com/image/30/photos/28/500x500/1/2007-07-20-Rapee-Sagarik-Orchid-Garden-001-resize.jpg?et=bxOfcW%2B27SpVGlD7LdpeKw&nmid=51478260) (http://images.yuttana59.multiply.com/image/13/photos/28/500x500/9/2007-07-20-Rapee-Sagarik-Orchid-Garden-012-resize.jpg?et=pkDXY3MPjGZSqC4tOT0YnQ&nmid=51478260) ขอบคุณ http://yuttana59.multiply.com/photos/album/28 (http://yuttana59.multiply.com/photos/album/28) หัวข้อ: Re: อ.ระพี สาคริก เริ่มหัวข้อโดย: ปื้น ปากพนัง ที่ กรกฎาคม 27, 2014, 07:25:59 pm ขออนุญาตเพิ่มเติมครับ THANK!!
(http://www.108kaset.com/up-pic/n20101007141031_5088.JPG) ศาสตราจารย์ ระพี สาคริก (4 ธันวาคม พ.ศ. 2465 ) ราษฎรอาวุโส นักวิจัย นักวิชาการเกษตรผู้บุกเบิกวงการกล้วยไม้ของประเทศไทยสู่สากล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบันอาศรมศิลป์ (http://www.108kaset.com/up-pic/200px-RAPEE.JPG) ชีวิตเมื่อเยาว์วัยและการศึกษา ศาสตราจารย์ระพี สาคริกเกิดที่วรจักร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรชายคนโตของขุนตำรวจเอก พระมหาเทพกษัตริยสมุห (เนื่อง สาคริก) และคุณแม่สนิท ภมรสูตร เริ่มต้นการศึกษาระดับประถมที่โรงเรียนสามเสนวิทยาคาร และจากนั้นได้ย้ายโรงเรียนอีกหลายแห่ง ตั้งแต่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล โรงเรียนจิตรลดา โรงเรียนนาฏศิลป์ โรงเรียนวัดเบญจมบพิตรหรือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรในปัจจุบัน จนจบชั้นมัธยมบริบูรณ์ และได้รับประกาศนียบัตรจากกระทรวงศึกษาธิการถึง 2 ใบจากนั้น จึงได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ต่อมาสถาปนาขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หลักสูตรปริญญาตรี 5 ปี เมื่อ พ.ศ. 2486) ซึ่งเปิดสอนระดับเตรียมมหาวิทยาลัยที่แม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ (แม่โจ้รุ่น 7) โดยศึกษาในคณะเกษตร ศาสตราจารย์ระพี สาคริกได้เลือกศึกษาด้านกสิกรรมและสัตวบาล สาขาปฐพีวิทยาระดับปริญญาตรีและได้รับพระราชทานปริญญาบัตรเมื่อ พ.ศ. 2490 หัวข้อ: Re: อ.ระพี สาคริก เริ่มหัวข้อโดย: ปื้น ปากพนัง ที่ กรกฎาคม 27, 2014, 07:32:08 pm (http://www.108kaset.com/up-pic/hqdefault (1).jpg)
การทำงาน ศาสตราจารย์ระพี สาคริกได้รับการทาบทามจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่กรุงเทพฯ ให้เข้าเป็นอาจารย์ประจำ แต่เนื่องจากความชอบทำงานค้นคว้าภาคสนามจึงเลือกไปทำงานที่สถานีทดลองกสิกรรมที่แม่โจ้ในตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว ได้รับมอบหมายให้ทำการวิจัยพันธุ์ข้าว พันธุ์ผักและยาสูบ ในขณะเดียวกันก็ทำการศึกษาค้นคว้าด้าน "กล้วยไม้" ไปด้วยด้วยทุนส่วนตัว ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นกิจวัตรในชีวิตของท่านทีได้อุทิศให้กับงานค้นคว้าวิจัยด้านกล้วยไม้ตลอดมาจนได้รับการยอมรับจากวงการกล้วยไม้ของโลกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญมากที่สุดผู้หนึ่ง เมื่อทำงานวิจัยได้ 2 ปี จึงกลับเข้ามารับราชการเป็นอาจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผลงานการค้นคว้าและส่งเสริมกล้วยไม้ทั้งในด้านการปรับปรุงพันุธุ์ ขยายพันธุ์ตลอดจนด้านธุรกิจการส่งออก ทำให้กล้วยไม้ไทยกลายเป็นสินค้าส่งออกด้านเกษตรที่สำคัญชนิดหนึ่งของประเทศไทย ด้วยเหตูนี้ ศาสตราจารย์ระพี สาคริกจึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา สาขาเกษตรศาสตร์ (พ.ศ. 2511)[1] นอกจากนี้ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ (พ.ศ. 2513) อีกด้วย ศาสตราจารย์ระพี สาคริกเคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ รวมทั้งตำแหน่งอื่นๆ ที่สำคัญอีกมากมาย ปัจจุบัน แม้จะเกษียณอายุราชการนานแล้วก็ตาม ศาสตราจารย์ระพี สาคริกก็ยังได้รับความเคารพยกย่องเป็นปูชนียบุคคล โดยเฉพาะในวงการศึกษาและวงการกล้วยไม้ จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น บิดาแห่งกล้วยไม้ไทย ในปี พ.ศ. 2549 ศาสตราจารย์ระพี ได้ร่วมกันลงนามทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2549 โดยอ้างอิงความตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 หัวข้อ: Re: อ.ระพี สาคริก เริ่มหัวข้อโดย: ปื้น ปากพนัง ที่ กรกฎาคม 27, 2014, 07:42:44 pm (http://www.108kaset.com/up-pic/images (2).jpg)
ชีวิตครอบครัว ศาสตราจารย์ระพี สาคริกในวัยชรา ศาสตราจารย์ระพี สาคริกสมรสกับคุณกัลยา มนตริวัตร (บุตรีขุนพิชัยมนตรี หัวหน้าเสรีไทยสายกาญจนบุรีในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2) มีบุตร 4 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 1 คน เมื่อ พ.ศ. 2533 ศาสตราจารย์ระพี สาคริกได้ลาออกจากตำแหน่งประจำต่างๆ ที่ท่านดำรงทั้งภาคราชการ กึ่งราชการและภาคเอกชน เพื่อหันมาใช้ชีวิตที่สงบและเรียบง่าย เหลือเพียงการเป็นที่ปรึกษาให้วิทยาทานด้วยการบรรยาย สัมมนา โดยเฉพาะด้านการพัฒนาชนบทและเยาวชนที่เน้นด้านคุณธรรมและจริยธรรม จาก http://www.108kaset.com/index.php?topic=23 |