หัวข้อ: แรงงานฝีมือไทยขาดแคลนหนัก เริ่มหัวข้อโดย: b.chaiyasith ที่ พฤศจิกายน 19, 2009, 08:53:45 am ติดต่อแรงงานจังหวัดด่วน
ประเภทฝีมือ สาขาวิศวกรรม ช่างเทคนิค รวมถึงผู้จบการศึกษาระดับปวช-ปริญญาตรี 8,962 ตำแหน่ง ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ ... ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ว่า ในไตรมาส 3 ของปี 52 (ก.ค.-ก.ย.) มีบริษัทที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ 741 แห่ง ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานประเภทฝีมือ สาขาวิศวกรรม ช่างเทคนิค รวมถึงผู้จบการศึกษาระดับปวช-ปริญญาตรี 8,962 ตำแหน่ง ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ สาธารณูปโภค เกษตรแปรรูป ช่างกล โรงงาน และเจียระไนเพชร ดังนั้น ภาคเอกชนได้เสนอให้รัฐบาลเร่งผลิตบุคลากรที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมความสามารถการแข่งขันและรองรับขยายลงทุนตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ นักลงทุนต้องการแรงงานที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ บัญชี วิทยาศาสตร์ รวมถึงช่างเทคนิคระดับ ปวช. และปวส. ซึ่งยอมรับว่าภาคอุตสาหกรรมประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือมานานและยังไม่สามารถแก้ไขได้ ส่งผลให้มีการจ้างแรงงานต่างประเทศในอัตราเงินเดือนที่สูงแทน โดย 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) มี บริษัทติดประกาศรับผู้จบการศึกษาระดับ ปวช.-ปริญญาตรี 32,735 ตำแหน่ง ส่วนปี 51 ต้องการ 62,259 คน และปี 50 ต้องการ 60,505 คน ส่วนแนวโน้มการขอรับส่งเสริมการลงทุนก็มีเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเดือน ก.ย. นักลงทุนยื่นขอลงทุน 132 โครงการ และเดือน ต.ค.ยื่น 130 โครงการ ส่งผลให้ 10 เดือนของปี (ม.ค.-ต.ค.) มียอดขอรับส่งเสริม ลงทุนรวม 929 โครงการ วงเงินลงทุนกว่า 330,000 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 110,000 คน ขณะเดียวกัน ตัวเลขการออกใบอนุญาตโรงงาน แก่นักลงทุนของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ก็มีแนวโน้มที่ดีกว่าช่วงต้นปีมากเช่นกัน โดยในเดือน ต.ค. ได้ อนุญาตสร้างโรงงาน 361 ราย มีการจ้างงาน 8,451 ราย วงเงินลงทุนกว่า 14,400 ล้านบาท เป็นมูลค่าที่สูงกว่าหมื่นล้านบาทเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน และเมื่อรวม 10 เดือนของปีนี้ อนุญาตสร้างโรงงาน 3,064 ราย เงินลงทุน 110,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 78,000 คน สำหรับจังหวัดที่มีมูลค่าการสร้างโรงงานเกิน 1,000 ล้านบาท มี 19 จังหวัด โดยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีมูลค่าสูงสุด 12,819 ล้านบาท รองลงมาสระบุรี 11,152 ล้านบาท สมุทรสาคร 8,234 ล้านบาท กาญจนบุรี 8,207 ล้านบาท กรุงเทพฯ 6,733 ล้านบาท ชลบุรี 5,254 ล้านบาท สมุทรปราการ 5,134 ล้านบาท นครปฐม 5,093 ล้านบาท นนทบุรี 3,695 ล้านบาท ฉะเชิงเทรา 3,671 ล้านบาท ปทุมธานี 3,449 ล้านบาท และอุบลราชธานี 3,071 ล้านบาท เป็นต้น. ที่มาไทยรัฐhttp://www.thairath.co.th/content/eco/47706 (http://www.thairath.co.th/content/eco/47706) |