หัวข้อ: พระพุทธศาสนา คือความจริง เริ่มหัวข้อโดย: b.chaiyasith ที่ กันยายน 24, 2009, 10:00:12 am (http://www.vcharkarn.com/uploads/170/170264.jpg)
ได้มีผู้กล่าวพุธทศาสนาไม่ใช่ปรัชฐา พุทธศาสนาไม่ใช่ลัทธิสำหรับเชื่ออย่างงมงายแต่พุทธศาสนาเป็นเรื่องจริงของธรรมชาติหรือเป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ โดยพิสูจน์ด้วยตนเองจึงจะเข้าใจหลักธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ในครั้งพุทธกาลได้มีธรรมนิยายเล่าว่าครั้งหนึ่ง ณ เมืองสาวัตถี ได้มีพราหมณ์ชื่อสังคารวะ ผู้มีความเชื่อถือว่าบุคคลจะบริสุทธิ์ได้ด้วยการอาบน้ำในแม่น้ำคงคาวันละ สามครั้งคือ เช้า กลางวัน และเย็น โดยมีความเชื่อว่าบาปใดที่ได้กระทำไว้ในยามราตรี ปาบนั้นจะชำระได้ด้วยการอาบน้ำในเวลาเช้า ในเวลากลางวันอาบน้ำเพื่อล้างบาปที่ทำตั้งแต่เช้าจนเที่ยง และอาบน้ำในเวลาเย็นเพื่อล้างบาปอันจะเกิดขึ้นในเวลาหลังเที่ยง น้ำที่จะอาบนั้นจะต้องเป็นน้ำจากแม่น้ำคงคา โดยถือว่าเป็นแม่น้ำจากสววรค์ ผ่านเศียรพระสิวะผู้เป็นเจ้ามาแล้ว นอกจากนี้ยังสามารถบำบัดโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย และมื่ออาบน้ำจากแม่น้ำคงคาทุกวันเมื่อตายแล้วย่อมไปสู่สวรรค์ได้สถิตย์อยู่ กับพระผู้เป็นเจ้าด้วยเหตุนี้จึงเป็นของธรรมดาที่จะเห็นโยคีและผู้บำเพ็ญพรต นิกายต่างๆ ฝั่งแม่น้ำคงคาตอนเหนือแถบภูเขาหิมาลัย ทรมานตนอยู่ด้วยวิธีแปลกๆ ตามแค่ตนจะเห็นอย่างไหนดี และเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าได้เช่น นอนบนหนามยืนยกขาเดียวอ้าปากกินลม บูชาไฟ และบูชาพระอาทิตย์ ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อยที่บำเพ็ญจิตจนบรรลุฌานขั้นต่างๆ ครั้งหนึ่งพระอานนท์ได้พบสังคารวะพราหมณ์และเห็นว่าสังคารวะพราหมณ์มีจริยปฏิบัติที่น่าเลื่อมใส จึงมากราบทูลพระพุทธเจ้าให้เสด็จไปโปรดสังคารวะพราหมณ์ ซึ่งพระองค์ได้เสด็จไปเยี่ยมพราหมณ์นั้น และได้ตรัสถามพรามหณ์ว่า พราหมณ์ ขณะนี้ท่านยังอาบน้ำดำเกล้าที่แม่น้ำคงคาวันละสามครั้งอยู่หรือ พราหมณ์ตอบว่า ยังอาบอยู่พระเจ้าข้า พระพุทธองค์ได้ตรัสถามเหตุผล และพราหมณ์ได้ตอบตามที่ตนเองเชื่อว่าน้ำในแม่น้ำคงคานั้นสามารถชำระบาปมลทินได้จริงๆ พระองค์ได้ถามอีกว่า บาปมลทินนั้นอยู่ที่กายหรืออยู่ที่ใจ พราหมณ์ตอบว่า อยู่ที่ใจสิพระเจ้าข้า พระพุทธองค์จึงได้กล่าวว่า เมื่อบาปอยู่ที่ใจแล้วการอาบนน้ำชำระล่างกายนั้นจะสามารถซึมซาบลงไปล้างใจได้หรือ พราหมณ์ตอบว่า น้ำนั้นเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสามารถชำระล้างใจได้ พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพราหมณ์ว่า ความเชื่อสามารถเปลี่ยนแปลงช้อเท็จจริงซึ่งมีอยู่ที่ตัวมันอยู่แล้วให้เป็นอย่างอื่นตามที่เราเชื่อหรือ พราหมณ์คิดแล้วตอบว่า เป็นไปไม่ได้เลย ความเชื่อไม่สามารถบิดเบือนความจริงได้ ความจริงเป็นของคงตัวอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม พระพุทธองค์ทรงตรัสต่อไปว่า เป็นอันว่าท่านยอมรับว่าความเชื่อไม่อาจไปบิดเบือนความจริงได้ ก้การที่ท่านเชื่อว่าน้ำในแม่น้ำคงคาสามารถล้างบาปมลทินได้นั้น มันจะเป็นจริงอย่างที่เชื่อหรืออุปมาเหมือนบุรุษที่หลงทางในป่าและบ่ายหน้าไปทางทิศหนึ่ง ซึ่งตนเข้าใจว่าเป็นทิศตะวันออกแต่ความจริงเป็นทิศตะวันตก ความเชื่อของเขาไม่อาจไปเปลี่ยนทิศตะวันตกให้เป็นทิศตะวันออกได้ฉันใด ความเชื่อของพราหมณ์เป็นอันมากที่เชื่อว่าแม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิสามารถล้างบาปได้ก็ไม่อาจทำให้แม่น้ำนั้นล้างบาปได้จริง เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่งที่มีหม้อทองแดงอยู่ใบหนึ่งมันเปื้อนเปรอะด้วยสิ่งปฏิกูลทั้งภายในและภายนอก แต่บุรุษได้ทำการล้างภายนอกเท่านั้นหาได้ล้างภายในไม่ ท่านดิดว่าสิ่งปฏิกูลภายในจะหมดไปด้วยหรือ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ภายในจะหมดซึ่งสิ่งปฏิกูล บุรุษนั้นจึงเหนื่อยแรงเปล่าไม่สามารถทำให้หม้อนั้นสะอาดได้ ดูก่อนพราหมณ์ เราได้กล่าวว่า การทำกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริตว่าเป็นสิ่งทำให้จิตใจสกปรก และสามารถชำระล้างได้ด้วยธรรม คือการทำกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต มิใช่ด้วย การอาบน้ำธรรมดา น้ำดื่มของบุคคลผู้มีกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต ย่อมเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปในตัวแล้ว มีศีลเป็นท่าลง เป็นที่ที่ผู้รู้นิยมอาบกัน อาบแล้วสามารถข้ามฝั่งได้โดยตัวไม่เปียกเถิด (http://www.vcharkarn.com/uploads/170/170267.gif) พราหมณ์ได้ยินดังนั้นก็แจ่มแจ้งในหลักคำสอนของพระองค์ แล้วปฏิญาณตนเป็นอุบาสกถึงพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ ตั้งแต่นั้นจวบจนสิ้นลมหายใจ เราจะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอนธรรมะแก่สังคารวะพราหมณ์ด้วยความจริง ซึ่งสังคารวะพราหมณ์ได้ทำการตริตรองแล้วเห็นถึงความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง จนเข้าใจว่าความเชื่อที่ตนมีอยู่นั้น เป็นเพียงความเชื่อที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ประการใด แต่หากสังคารวะพราหมณ์เชื่อตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งมีเหตุผลเป็นเพียงความจริงสามารถพิสูจน์ได้โดยกระทำการใดๆ ด้วยกายสุจริต วจีสุทริต และมโนสุจริต นั้นย่อมเป็นความจริงที่ว่าด้วยผลของการกระทำนั้น จะไม่ก่อให้เกิดบาปใดๆ ขึ้น และเป็นการตัดซึ่งกิเลสมัวเมาจิต ทำให้จิตใจบริสุทธิ์ สามารถดับทุกข์อันจะเกิดจากกิเลสตัณา อุปทานต่งๆ ได้ซึ่งตัวการกระทำ หรือกรรมนั่นหละที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าใรดีหรือไม่ดีบริสุทธิ์ ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ทํ หีนปฺปณตตาย. กรรมย่มจำแนกัตว์โลกให้เลรือดี ดังนี้ ดังนั้นพระพุทธาสนาจึงเป็นความจิรงที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และนำมาเผยแพร่แก่เวไนยสัตว์ ความจริงนั้นย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่สามารถมีการโต้แย้ง หากว่าพระพุทธศาสนาเป็นเพียงปรัชญาความเชื่อ หรือจิตวิทยาย่อมมีผู้รู้หลายคน ซึ่งแต่ละย่อมมีแนวคิดต่างๆ กันไป โดยไม่สามารถสรุปได้ว่าแนวคิดของผู้รู้ท่านใดเป็นความรู้ที่ถูกต้อง ซึ่งขึ้นกับความพอของผู้เชื่อเพียงเท่านั้นเอง ขอให้ท่านจงพิจารณาด้วยปัญญาเถิด ขอบคุณข้อมูลจากจุลสารก๊าซไลน์ ภายใต้ความร่วมมือของ ปตท.กับวิชาการดอทคอม ที่มา : จุลสารก๊าซไลน์ |