หัวข้อ: คำอังกฤษ อเมริกัน พันกัน...นัวเนีย เริ่มหัวข้อโดย: b.chaiyasith ที่ กันยายน 02, 2009, 12:43:50 pm หนังสือเรียนภาษาอังกฤษอย่างสนุกสนานกับ อ.พนิตนาฏ
"ท่องกันดีนัก...รู้จักกันหรือเปล่า?" คำอังกฤษ อเมริกัน พันกัน..นัวเนีย เคย สงสัยกันไหมคะ ว่าหลายๆ ครั้งที่เราต้องมานั่งเถียงกันเอง ระหว่างเพื่อนฝูงว่า ทำไมเธอถึงใช้คำนั้น ทำไมไม่ใช้คำนี้ หรือทำไมเธอสะกดคำนี้ว่าอย่างนั้น ทำไมไม่สะกดอย่างนี้ ครูขอยกตัวอย่างคำง่ายๆ ค่ะ ครูเคยเห็นลูกศิษย์เถียงกันว่า คำว่า colour ที่แปลว่า สี สะกดแบบนี้ถูกหรือเปล่า หรือต้องเขียนว่า color กันแน่ คำนี้อาจจะดูง่ายไปหน่อยใช่ไหม แล้วถ้าครูจะถามว่า คำที่เราเรียนทับศัพท์กันว่า “เซ็นเตอร์” หรือที่แปลง่า จุดศูนย์กลาง เขียนอย่างไร อ้าว! เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ? ได้ค่ะ เพราะนี่คือการใช้ภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ (British English) และอังกฤษแบบอเมริกัน (American English) ค่ะ คนอังกฤษจะสะกดคำนี้ว่า centre และ colour แต่คนอเมริกันจะสะกด คำว่า center และ color (ถ้าสังเกตจะเห็นว่าคนอเมริกันจะสะกดคำง่ายๆ กว่าคนอังกฤษนะคะ) ฟังๆ ดูแล้วแปลกดีใช่ไหมคะ ก็พูดอังกฤษ ภาษาเดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมต้องแบ่งเป็นสองค่าย ทั้งอังกฤษ ทั้งอเมริกัน ให้วุ่นวายเวียนหัวกัน ภาษาอังกฤษคล้ายๆ กับภาษาไทยกันนั่นแหละค่ะ ภาษาไทยของเรามีหลายสำเนียง ภาษาไทยสำเนียงกลาง เหนือ ใต้ อีสาน มีคำหลายคำที่เราใช้เหมือนกันทุกภาค และก็มีบ้างบางคำที่เราใช้ต่างกัน มีคำในภาษาอังกฤษที่คนอังกฤษและอเมริกันใช้ต่างกัน หรือบางครั้งใช้คำเดียวกัน แต่ออกเสียงหรือมีสำเนียงต่างกันออกไป เช่น คำบางคำที่มีเสียงตัว a คนอังกฤษออกเสียงเป็นเสียง อะ แต่คนอเมริกันออกเสียงตัวเดียวกันเป็น แอะ เช่น glass คนอังกฤษ ออกเสียงว่า กลาส คนอเมริกันออกเสียงว่า แกลส class คนอังกฤษ ออกเสียงว่า คลาส คนอเมริกันออกเสียงว่า แคลส นอเมริกันจะออกเสียงตัว r คือ ต้องห่อปากและลิ้น ในทุกที่ที่มีตัว r ปรากฏอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอักษรนำ หรือตัวสะกด ถ้าเป็นตัวสะกด จะออกเสียงตัว r ข้างท้ายแบบแผ่วๆ เบาๆ แต่คนอังกฤษจะไม่ออกเสียง r ถ้าตัว r เป็นตัวสะกด เช่น car คนอังกฤษ ออกเสียงว่า คา คนอเมริกันออกเสียงว่า คาร bar คนอังกฤษ ออกเสียงว่า บา คนอเมริกันออกเสียงว่า บาร water คนอังกฤษ ออกเสียงว่า ว๊อเถ่อะ คนอเมริกันออกเสียงว่า ว๊อเท่อร์ barber คนอังกฤษ ออกเสียงว่า บ๊าเบ่อะ คนอเมริกันออกเสียงว่า บ๊ารเบ่อร farmer คนอังกฤษ ออกเสียงว่า ฟ๊าเหม่อะ คนอเมริกันออกเสียงว่า ฟ๊ารเหม่อร แหม! ถอดเสียงเป็นภาษาไทยให้เหมือนนี้ยากจริ๊งๆ เอาเป็นว่าครูพยายามให้ได้เสียงที่คล้ายที่สุดก็แล้วกันนะคะ ครูใช้ตัว ร แทน เสียง r ซึ่งความจริงแล้ว มันก็ไม่เหมือนกันนักหรอก เพราะตัว ร ของคนไทย ต้องกระดกลิ้น แต่ไม่ต้องห่อปาก ส่วนตัว r ต้องห่อปากและลิ้นเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับต้องกระดกลิ้นรัวหรอกนะคะ และอย่าลืมออกเสียงตัวสุดท้ายแบบเบาๆ ทุกครั้งนะคะ (ขอย้ำค่ะ) เรื่องของการออกเสียงที่ต่างกัน ถือว่า เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่น่าวิตกมากนักหรอกค่ะ แต่ถ้ารู้ไว้จะช่วยให้เราพัฒนาภาษาของเราได้ดีขึ้นได้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการออกเสียง คือ เรื่องตัวสะกด และการใช้คำต่างกันมากกว่าค่ะ ครูเคยถามลูกศิษย์ว่า flat กับ apartment ต่างกันหรือเหมือนกัน ลูกศิษย์พร้อมใจตอบกันเสียงแจ๋วว่า flat เก่ากว่า แต่ apartment ใหม่กว่า แล้วถ้าอยู่ apartment ดูดีมีระดับกว่า ครูฟังแล้ว อึ้ง..ไปเลยค่ะ คิดได้ยังไงคะเนี่ย ความจริงแล้ว flat กับ apartment เหมือนกันค่ะ ไม่มีอะไรดูดี ดูโก้ กว่าอะไรอย่างที่เข้าใจหรอกค่ะ คนอังกฤษเรียกตึกสูงที่แบ่งเป็นห้องๆ เพื่อพักอาศัยว่า flat แต่คนอเมริกันจะเรียกว่า apartment เหตุที่คนไทยมักคิดว่า flat เก่ากว่า apartment อาจเป็นเพราะ แต่เดิมในสมัยก่อนคนไทยเรียนภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ เราเลยใช้คำว่า flat แต่ต่อมาเราเริ่มรับภาษาอังกฤษแบบอเมริกันมาใช้มากขึ้น คำว่า apartment จึงนำมาใช้ทีหลัง แฟลตต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาทีหลัง จึงนิยมเรียกกันแบบอเมริกัน เป็น apartment ของที่สร้างทีหลังย่อมดูใหม่กว่าและทันสมัยกว่าจริงไหมคะ เราเลยเข้าใจผิดว่าอยู่ apartment ดูหรูหรากว่าอยู่ flat ซะได้ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดค่ะ เข้าใจผิดแบบนี้ ยังพอกล้อมแกล้มคุยกันพอเข้าใจ แต่บางทีทำให้เข้าใจผิดไปเลย พาลให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราวกันวุ่นวาย คยมีกรณีอย่างนี้เกิดขึ้นค่ะ ลูกศิษย์ครูคนหนึ่งเรียนสาขาการ ท่องเที่ยวมาเล่าให้ครูฟังว่า วันหนึ่งเขาพากรุ๊ปทัวร์ฝรั่ง ไปเที่ยววัดพระแก้ว ก่อนไปก็ซักซ้อมกับลูกทัวร์เป็นอย่างดี ว่าถ้าเขาใส่กางเกงไป เขาต้องใส่กางเกงขายาวเท่านั้น ห้ามนุ่งกางเกงขาสั้นเด็ดขาด และเขาก็ย้ำกับฝรั่งแล้วว่า “You have to wear pants only” (คุณต้องใส่กางเกงขายาวเท่านั้นนะ) ปรากฏว่า พอถึงวันนัด พวกสาวๆ ลูกทัวร์ใส่กางเกงขาสั้นมาเป็นแถว เจ้าหน้าที่จึงไม่อนุญาตให้เข้า ต้องไปยืมผ้านุ่งของที่วัดจัดให้มาใส่วุ่นวายกันไปหมด เขาถามครูว่า เขาพูดอะไรผิดตรงไหน หรือฝรั่งพวกนี้ภาษาอังกฤษไม่ดี เลยฟังไม่เข้าใจ ทำไมมันถึงได้กลายเป็นอย่างนี้ไปได้ ครูเลยถามว่า พวกกรุ๊บทัวร์กลุ่มนี้มาจากประเทศอะไร เขาตอบว่า เป็นคนอังกฤษ ครูจึงต้องบอกให้เขารู้ว่า คำว่า pants ของคนอเมริกัน หมายถึง กางเกงขายาว ในขณะที่ คนอังกฤษเรียก กางเกงขายาว ว่า trousers แต่คำว่า pants ของคนอังกฤษ คือ กางเกงขาสั้น เจ้าค่ะ แล้วคุณไปบอกคนอังกฤษให้ใส่ pants เขาก็ใส่กางเกงขาสั้นมาสิ ถ้าคุณจะให้คนอังกฤษใส่กางเกงขายาว คุณต้องบอกให้เขาใส่ trousers จ้า คุณไกด์สมัครเล่นทำหน้าเอ๋อ ...ไปเลย แล้วถามครูว่า กางเกงขาสั้นเรียกว่า shorts ไม่ใช่เหรอ ใช่ค่ะ แต่ shorts เป็นคำที่คนอเมริกัน ใช้เรียกกางเกงขาสั้น แต่ถ้าคุณพูดกับคนอังกฤษต้องใช้ pants นะจ๊ะ..อย่าลืม อ่านแล้ว คิดตามทันไหมคะ อย่างเพิ่งมึนไปซะก่อน สรุปว่าอย่างนี้ค่ะ คนอังกฤษเรียกกางเกงขายาวว่า trousers แต่คนอเมริกันเรียกว่า pants ส่วนกางเกงขาสั้น คนอเมริกันเรียกว่า shorts แต่คนอังกฤษ เรียกว่า pants นะจ๊ะ อย่าลืม จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันอีก เห็นไหมคะ แค่คำง่ายๆ ใกล้ๆ ตัวแบบนี้ ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจกันให้ดี อาจทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายได้เหมือนกัน ครู ได้รวบรวมคำอังกฤษ อเมริกัน ที่มักทำให้สับสนและเข้าใจผิดกันบ่อยๆ ออกมามากมาย บางคำเราก็คุ้นเคยกับคำอังกฤษ บางคำเราก็คุ้นกับคำอเมริกัน ลองมาดูกันนะคะ อังกฤษแบบอเมริกัน อังกฤษแบบอังกฤษ ความหมาย (American English) (British English) apartment flat แฟลต baggage luggage สัมภาระ can tin กระป๋อง candy sweets ลูกอม closet cupboard ตู้ closet wardrobe ตู้เสื้อผ้า connect put through ต่อ (สายโทรศัพท์) cookie biscuit คุ้กกี้ (หวาน) cracker biscuit ขนมปังกรอบ (เค็ม) desk clerk receptionist พนักงานต้อนรับ diaper nappy ผ้าอ้อม downtown city centre (centre) ย่านการค้า / ย่านธุรกิจ ขอขอบคุณภายใต้ความร่วมมือของโรงเรียนสอนภาษา อ.พนิตนาฎ ชูฤกษ์ และวิชาการดอทคอม http://www.24h-ads.com/print_product.php?product_id=9716 (http://www.24h-ads.com/print_product.php?product_id=9716) เครดิต วิชาการดอดคอม หัวข้อ: Re: คำอังกฤษ อเมริกัน พันกัน...นัวเนีย เริ่มหัวข้อโดย: b.chaiyasith ที่ กันยายน 12, 2009, 07:46:01 pm (http://www.vcharkarn.com/uploads/167/168003.jpg)
คำอังกฤษ อเมริกัน พันกัน...นัวเนีย ตอนที่ 2 เป็นอย่างไรกันบ้างคะ อ่านตอนที่แล้วไปแล้ว เห็นด้วยกับครูไหมคะ ว่าคำอังกฤษและคำอเมริกัน มันช่างพันกันนัวเนีย จนบางครั้งเราแทบจะแยกออกจากกันไม่ได้เลย ได้แต่ใช้...ใช้...ใช้....ไปโดยไม่รู้ว่าคำไหนเป็นของชาติไหนกัน แบบนี้ก็ยังไม่เท่าไหร แต่บางทีสับสนคิดว่ามันเป็นคนละคำกัน ต้องมานั่งเถียงกันอยู่เป็นนานสองนานว่าใครถูกใครผิดกันแน่ วุ่นวายกันไปหมด เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งค่ะ ครูสอนภาษาอังกฤษเด็กๆ เราเล่นเกมคำศัพท์กัน ครูให้เด็กๆ รวบรวมคำศัพท์เกี่ยวกับสิ่งของที่มีอยู่ในห้องเรียน ปรากฏว่า มีเด็กคู่หนึ่งเถียงกันหน้าดำหน้าแดงเรื่อง ยางลบ คนหนึ่งบอกว่า This is a rubber แต่อีกคนเถียงว่า No, this is an eraser. คนแรกก็บอกว่า No, it is a rubber. เถียงกันเอ็ดตะโรดังลั่นจนครูต้องเข้าไปห้ามทัพ แม่หนูทั้งสองคนแย่งกันฟ้องว่าเพื่อนพูดผิด ครูเลยต้องเฉลยว่าถูกทั้งคู่ เพราะคำว่า ยางลบ คนอังกฤษ เรียกว่า rubber ส่วนคนอเมริกันเรียกว่า eraser จ้า.... แม่หนูเลยพูดเสียงอ่อยๆ ว่า ก็หนูไม่รู้นี่คะ หนูเคยเรียนมาจากที่โรงเรียนแบบนี้ ตอนคุณครูเขาสอน เขาก็ไม่ได้บอกหนูว่ามีคำอังกฤษ อเมริกัน อะไรแบบนี้ด้วยนี่นา นั่นแน่! ฉลาดจริงแม่หนูน้อย...คุณครูภาษาอังกฤษโปรดทราบด้วยนะคะ เวลาสอนต้องบอกให้ละเอียด เด็กๆ จะได้เข้าใจ แล้วไม่ยกความผิดมาให้ครูค่ะ อ้อ! แต่ครูขอกระซิบหน่อยนะคะ คำว่า rubber ของคนอเมริกัน ในภาษาพูดอาจหมายถึง ถุงยางอนามัย ก็ได้ค่ะ เพราะฉะนั้น บางครั้งในห้องเรียนบางห้อง ครูเขาจะให้นักเรียน เรียกยางลบว่า eraser จะปลอดภัยกว่าค่ะ ตอนนี้ เราจะมาดูกันต่อว่า คำภาษาอังกฤษ ที่เราใช้กันอยู่บ่อยๆ เป็นคำอังกฤษ แบบอเมริกัน หรืออังกฤษแบบอังกฤษกัน อังกฤษแบบอเมริกัน อังกฤษแบบอังกฤษ ความหมาย (American English) (British English) dresser chest of drawer ตู้มีลิ้นชัก/โต๊ะเครื่องแป้ง drapes curtains ม่าน drugstore/pharmacy chemist's (shop) ร้านขายยา elevator lift ลิฟท์ eraser rubber ยางลบ fall autumn ฤดูใบไม้ร่วง faucet tap ก๊อกน้ำ อังกฤษแบบอเมริกัน อังกฤษแบบอังกฤษ ความหมาย (American English) (British English) undergraduates: freshman the first year student นักศึกษาปีที่ 1 sophomore the second year student นักศึกษาปีที่ 2 junior the third year student นักศึกษาปีที่ 3 senior the fourth year student นักศึกษาปีที่ 4 floors of building: ชั้นของตึก first floor ground floor ชั้น 1 second floor first floor ชั้น 2 garbage / trash rubbish ขยะ garbage / trash can dustbin / bin ถังขยะ garbage truck dustbin lorry รถขนขยะ gas (gasoline) petrol นำมันเบนซิน gas station filling station ปั๊มน้ำมัน เจอคำนี้แล้ว ครูนึกได้ถึงเหตุการณ์หนึ่ง จะเล่าให้ฟังค่ะ เพื่อนของครูคนหนึ่ง พูดภาษาอังกฤษได้บ้างเล็กน้อย ความที่อยากฝึกภาษาอังกฤษให้เก่งๆ เขาก็เลยใช้วิธีเขียนจดหมายถึงเพื่อนชาวต่างชาติ ที่คนอเมริกันเขาเรียกกันว่า penpal หรือที่คนอังกฤษ เรียกว่า pen friend นั่นเอง วันหนึ่ง เพื่อนชาวอเมริกันที่เขาเขียนจดหมายติดต่อกัน ได้มาเที่ยวเมืองไทย เขาก็เลยขับรถพาเที่ยว ปรากฏว่าน้ำมันรถเหลือน้อยเต็มที เขาก็เลยบอกกับเพื่อนชาวอเมริกันว่าต้องแวะปั๊มน้ำมัน เพื่อเติมน้ำมันก่อน ความที่เพื่อนของครูใช้ภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรง เพื่อนอเมริกันฟังอยู่นานเพิ่งเข้าใจก็เลยบอกว่า "I see, do you want to drop at the gas station?" เจ้าเพื่อนครูได้ยินคำว่า gas station ก็รีบปฏิเสธลั่นว่า no no รถของชั้นใช้น้ำมัน ไม่ได้ใช้แก๊ส แหม! พูดอย่างนี้มาหาว่ารถชั้นเป็นรถแท็กซี่หรือไงถึงได้ใช้แก๊ส เพราะเพื่อนของครูเธอเข้าใจว่า gas station คือ สถานที่ที่เติม gas เธอไม่รู้ว่าคนอเมริกันเขาเรียกปั๊มน้ำมันว่า gas station ก็เลยมัวแต่ no no กันอยู่ จนวิ่งเลยปั๊มไปหลายปั๊ม จนในที่สุด ไม่มีปั๊มให้เติม น้ำมันหมดถังกันพอดี กว่าจะเข้าใจกัน ก็ต้องลงมาเข็นรถกันนั่นแหละ ขอขอบคุณภายใต้ความร่วมมือของโรงเรียนสอนภาษา อ.พนิตนาฎ ชูฤกษ์ และวิชาการดอทคอม www.panidnad.com ที่มาวิชาการดอดคอม |