หัวข้อ: ปลาเค็มดีมันต้องมีหนอน(ยุ่บ)นะครับ เปลว สีเงิน 13 มีค.52 เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ มีนาคม 14, 2009, 10:27:03 am http://www.thaipost.net/news/130309/1706
ถ้าจำไม่ผิดเป็นวันเสาร์ บังเอิญก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน "คุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ" ท่านไปไหนมาก็ไม่ทราบ ซื้อปลาเค็มตากแห้งมาให้ตัวนึง เห็นห่อมาดิบดี ผมก็นึกว่าระดับอดีตรองนายกฯ ส่งมาให้ทั้งที ต้องเป็นของประเภท "อมตะเลอค่า" แน่ๆ บรรจงแกะกระดาษที่ห่อหลายชั้นแน่นหนา ยิ่งแกะกลิ่นตุๆ ยิ่งโชยแรงขึ้น..แรงขึ้น ตัวสัญญา คือความจำได้หมายรู้บอกทันทีว่า..นี่เกี้ยมฮื้อนี่นา! ครับ..เป็นปลาเค็ม ผมดูหน้าแห้งๆ มันแล้วคลับคล้ายคลับคลา "ปลาอินทรี" ไม่ใช่ปลากุเลา พอแกะกระดาษออกหมด โอ้โฮ..ค่อยๆ กระดุ๊บๆๆๆๆๆ ทางเหงือกออกมาหลายตัว แต่ละตัวอ้วนท้วนพอสัณฐานน่ารักเชียว นี่แสดงว่า "รักกันจริง" ที่คุณสุวัจน์ส่งปลาเค็มมีหนอนมาให้ผม ถ้าไม่มีหนอน เดี๋ยวนี้ผมไม่ (ค่อย) กล้าทาน เพราะอะไร เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ผมขอบอกไว้เลยว่า ถ้าซื้อปลาเค็มต้องเลือกที่มีหนอนดุ๊กดิ๊กตามเหงือก ตามท้องปลา เพราะหนอนคือตัวการันตีว่า "ปลอดภัย" กินไม่ตายผ่อนส่งค่อนข้างแน่! คุณสุวัจน์คงเจนจบในศาสตร์ว่าด้วยผลิตภัณฑ์ปลาเค็ม จึงเลือกซื้อปลาเค็มแถมหนอน หรือไม่อีกทีก็ไม่รู้เรื่องอะไร ใครคงเอาปลาเค็มมาให้ เห็นหนอนยุ่บก็...แหวะ นึกถึงผมขึ้นมาได้ ก็รีบห่อให้เด็กบึ่งรถมา? แต่คงเป็นอย่างแรกมากกว่า เพราะคุณสุวัจน์มักจะเอาของกินแบบชาวบ้านๆ มาให้ลอง เรียกว่าไปทางจังหวัดไหน ก็มักซื้อของแปลกประจำจังหวัด หรือไม่ก็จกจากหม้อไหติดมือมาแจก อย่างปลาเค็มนี่เหมือนกัน เข้าใจว่าถ้าไม่ไปสมุยก็คงไปหัวหินมา แม่บ้านที่โรงพิมพ์เห็นปลาเค็มมีหงอนวี้ดว้ายยกใหญ่ หาว่าปลาเน่าซะนี่ ถ้าไม่เน่าแล้วมันจะเป็นปลาเค็มเรอะ พิลึกจริง! ผมให้เขาจัดการมัดปาก เอาเชือกผูกหาง ไปชักรอกตากแดดไว้บนดาดฟ้า และให้ผลัดเวรยาม ๒๔ ชั่วโมง อย่าให้ปลาตากน้ำค้าง และอย่าให้ใครมาขโมยเฉือนไปทอดซะก่อนเป็นอันขาดเชียว แต่ถ้าแมลงวัน หรือหนอนมาตอมไต่-อนุญาต แบ่งปันกันไป แมลงวันมั่ง หนอนมั่ง จะหมดซักเท่าไหร่กัน เนอะ ความจริง การทำปลาเค็มนี่เป็นอาชีพประจำตระกูลผมเลยทีเดียว เพราะพ่อผมทำอวนปลากระบอก ในกระบวนปลาเค็ม ที่อร่อยเป็นหนึ่งในทำเนียบเกี้ยมฮื้อโลก ผมยกให้ปลากระบอก และปลากุเลา นอกนั้นกินไปก็คันเหงือกไป ปลาเค็มที่บ้านผมงี้ พูดแล้วจะหาว่าคุย แต่ละตัว "รับประกันคุณภาพ" หนอนเท่าหัวนิ้วโป้ง! เดี๋ยวบางท่านจะนึกว่าผมพูดเอาสนุก ผมจะเล่าอะไรให้ฟัง เอาชีวิตเป็นประกันว่าเรื่องจริง เพราะเกิดกับตัวผมเอง จำได้มั้ยที่กลางปีที่แล้วผมถูกหามไปนอนโรงพยาบาล ไม่ได้มาคุยกับท่านหลายวัน คือนั่งๆ เขียนคอลัมน์นี่แหละ จู่ๆ มันวิเวกวิเหววโหววในหัว ตาพร่าลาย หมดเรี่ยวหมดแรง เหงื่อแตกพลั่ก หายใจไม่ออก หงายท้องตึงถอนยวงจากเก้าอี้ลงไปกองอยู่กับพื้น สิ่งที่ผมนึกได้ในความเลือนรางของสติที่เหลืออยู่คือ...อ้อ..คนจะตายมันทุรนทุราย อย่างนี้เองละหนอ! น้องนุ่ง-เพื่อนฝูงที่พอมี เขาช่วยกันหามไปส่งโรงพยาบาล ทั้งนอน ทั้งเช็กอยู่ ๓ โรงพยาบาล ถูกเจาะเลือด ถูกจับเข้าเครื่องมือแพทย์ จนผมนึกดีใจว่า เออ..ดีนะ รีบตกนรกซะตอนเป็นๆ นี่แหละ เวลาตายจะได้พาสชั้นไปเลย ไม่ต้องมาถูกทิ่ม ถูกแทง ถูกแยง ถูกมัด ถูกยัด ถูกกรอก เหมือนอย่างตอนนี้อีก สรุปแล้ว "มากหมอ-มากโรค" แถมไม่ตรงกันซักโรค สุดท้าย ถึงวันนัดหมอประจำไตรมาสตามปกติของผมอีกโรงพยาบาลหนึ่ง หมอก็เล่น ๒๐ คำถามตามปกติ ผมบอกว่าไม่รู้เป็นไร นั่งๆ ก็วูบหงายท้องไปเลย หมอหัวเราะ แล้วถามคำเดียวว่า "คุณดื่มน้ำส้มคั้นหรือเปล่า?" ผมรีบตอบโชว์สุขภาพทันทีว่า "ดื่มครับ ดื่มประจำทุกวัน บังเอิญมีคนซื้อส้มมาให้คั้นดื่ม" คุณหมอก็หัวเราะรอบสอง แล้วบอก "ขึ้นไปนอน แล้วแกะกระดุมรอผม" ผมก็ขึ้นเตียง แกะกระดุมเสื้อเม็ดบนออก ๒ เม็ดด้วยรู้กัน คุณหมอก็เอาจุ๊บอะไรไม่รู้มาแหย่ๆ ตรงหน้าอก-หน้าใจแล้วฟัง ให้นั่งเคาะหลังเล่นกุ๊กๆ บีบๆ กดๆ ตรงนั้น-ตรงนี้ ให้อ้าปาก แลบลิ้น แล้วปลิ้นตาผมเล่นซะอีก เสร็จแล้วก็ให้แต่งตัวลงมานั่งคุย คุณหมอชี้ไปที่กระดาษแผ่นหนึ่งแล้วบอกว่า "นี่ไง...พวกคนไข้ที่เป็นเหมือนคุณ เดี๋ยวนี้คนจะตายเพราะพืช-ผัก-ผลไม้-อาหารทะเล อย่างพวกส้ม พวกปลาเค็มอาบยากันมากเหลือเกิน ถ้าจะกินต้องมั่นใจ อันตรายทั้งนั้น ผมเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ไม่แน่ใจที่มาจะไม่กินเลย" คนไข้คนหนึ่งมาจากเหนือ เป็นเจ้าของไร่ส้ม ขนาดไม่ได้กิน แค่ฉีดสารเคมีใส่ ทั้งต้น ทั้งดอก ทั้งใบ ทั้งผล ไม่ได้กิน เพียงแต่ดมที่ระเหยมา หนักๆ เข้าก็เป็นโรควูบ อยู่ๆ ก็บ้านหมุน หงายท้องตึง ส้มแต่ละใบนอกจากดูดซึมทั้งยาฆ่าแมลง และสารเคมีเข้าไปสะสมในเนื้อแล้ว เปลือกนอกก็ล้วนเปรอะเปื้อน เวลาปอกก็ติดมือ และมือนั้นก็แกะส้มใส่ปาก ไม่ชักแหง็กๆ กันมื้อนี้ แล้วจะไปชักมื้อไหน? ยังไม่ร้ายเท่า "น้ำส้มคั้น" เพราะต้องคั้นทั้งเปลือก ต่อให้ล้างขนาดไหน ยาฆ่าแมลงก็ล้างออกไม่หมด ฉะนั้น ท่านคงหลับตาเห็นนะครับว่า เวลาคั้นๆๆๆๆ นอกจากน้ำส้มแล้ว ยังมีอะไรจากเปลือกส้มผสมลงไปด้วย! ผมจึงบ้านหมุน หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก หน้ามืด เหงื่อแตกพลั่ก หงายท้องตึงไงล่ะ!!! ปลาทะเลเหมือนกัน คุณหมอเล่าว่า คนไข้ประจำคนหนึ่งเป็นเอเยนต์ปลา เวลามาตรวจก็มักเอาปลาเค็มมาฝาก และบอกว่า "นี่ของคุณหมอ ดิฉันทำพิเศษ ไม่ได้ราดยา ทานได้นะคะ" คือปลามันหมดทะเลบ้านเราแล้ว ต้องเอาเรือไปจับจากอินโดฯ พม่า มาเลย์ เป็นเดือนๆ กว่าจะกลับ ฉะนั้น ปลาในท้องเรือเขาจะเอาน้ำยาราดเลย ปลาจะเหมือนสดอยู่ตลอด เป็นเดือนก็ไม่เน่า เรื่องน้ำยาดองศพ ฉีดศพนั่นน่ะ โบราณไปแล้ว เดี๋ยวนี้มียาขนานใหม่ คุณหมอบอกชื่อเหมือนกัน แต่ผมจำไม่ได้ ทำให้ปลาไม่เน่า แต่อันตรายสำหรับมนุษย์มาก และปัจจุบันใช้กันเกร่อมาก ทำกันขนาดว่าพอขนลังอาหารทะเลใส่รถปิคอัพ ก็จะเอาน้ำยากันอาหารทะเลเน่าสาดอาบไปทั้งคันรถเลยก่อนนำไปส่งลูกค้าตามจุด ต่างๆ! ยิ่งปลาเค็มละตัวดี แช่น้ำยาแล้วอย่าว่าแต่จะไม่มีหนอนเลยครับ ขนาดแมลงวันยังไม่กล้าตอม ตัวไหนใจกล้า-หน้าด้าน เกาะๆ ไชๆ พักเดียวแหละ แมลงวันหงายท้อง!!! ฉะนั้น นักนิยมปลาเค็มทั้งหลายโปรดทราบ จะซื้อหาปลาเค็ม ต้องหาร้านที่ไว้ใจได้ในคุณภาพ ถ้าไม่ไว้ใจคนก็ต้องไว้ใจหนอน รักปลาเค็มก็ต้องรักหนอนปลาเค็ม ถ้ารักจะกินปลาเค็ม แต่รังเกียจหนอน เลือกกิน-เลือกซื้อแต่ที่ไม่มีหนอน ระวังเถอะ..ตัวเองจะต้องนอนให้หนอนกิน! hungry2 (http://www.thaipost.net/sites/default/themes/thaipost/images/logo.png) หัวข้อ: Re: ปลาเค็มดีมันต้องมีหนอน(ยุ่บ)นะครับ เปลว สีเงิน 13 มีค.52 เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ มีนาคม 14, 2009, 10:57:57 am “ฟอร์มาลีน -ฟอร์มัลดีไฮด์” ทั้งสองตัวนี้ในทางเคมีคือสารตัวเดียวกัน เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ในรูปของสารละลายจะเรียกว่า “ฟอร์มาลีน” ซึ่งเป็นชื่อที่เราคุ้น ๆ กันดีก็คือน้ำยาดองศพนั่นเอง ส่วน “ฟอร์มัลดีไฮด์” มีสถานะเป็นก๊าซที่อุณหะภูมิปกติ มีกลิ่นฉุนแสบจมูก ส่วนมากที่จำหน่ายกันอยู่ทั่วไปอยู่ในรูปของสารละลายน้ำภายใต้ชื่อน้ำยาฟอร์ มาลีน
โดยปกติสารละลาย นี้จะไม่เสถียรเมื่อเก็บไว้นานโดยเฉพาะที่อุณหภูมิสูง จะกลายเป็นกรดฟอร์มิก จึงมีการเติมสารยับยั้งหรือที่เรียกว่าสารที่ทำหน้าที่เป็นตัวสเตบิไลเซอร์ เช่นเมทานอล 5-15 เปอร์เซ็นต์ หรือมีขายในรูปของพาราฟอร์มัลดีไฮด์ มีประโยชน์ในฐานะที่เป็นสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์อื่นอีกมากมาย ที่ใช้มากคือนำไปทำเม็ดพลาสติกชนิดต่าง ๆ ที่มีชื่อเรียกกันว่า “ยูเรีย-ฟอร์มัลดีไฮด์” หรือ “ฟีนอล-ฟอร์มัลดีไฮด์” ที่ใช้เป็นกาวสำหรับเฟอร์นิเจอร์ไม้ ใช้ทำโฟมเพื่อเป็นฉนวน เป็นต้น สำหรับในวงการแพทย์ใช้ประโยชน์มากมาย อย่างเช่นการดองศพ ใช้ในเวชภัณฑ์ เช่นยาอม ใช้ฆ่าเชื้อโรค และฟอกหนัง เป็นต้น ไอของฟอร์ มัลดีไฮด์จะระคายตา จมูก และผิวหนัง ทำให้เป็นแผลหรือถึงขั้นตาบอด ถ้าสูดดมเข้าไปมาก ๆ จะทำให้น้ำท่วมปอด จนหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก และตายในที่สุด อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นหลายชั่วโมงหลังจากได้รับสารโดยไม่มีอาการเจ็บปวด เลยก็ได้ หากได้รับปริมาณน้อยเป็นเวลานาน จะมีอาการไอและหายใจติดขัดเพราะหลอดลมอักเสบ เป็นต้น สารเคมีมี ประโยชน์ถ้าใช้อย่างถูกต้อง เมื่อทราบพิษภัยของมันแล้ว จงอย่าคิดนำฟอร์มาลีนไปล้างผักอย่างที่พ่อค้าแม่ค้าหลายคนกระทำกันอยู่ และเป็นข่าวอยู่เสมอ สิ่งตกค้างย่อมเป็นอันตรายได้เมื่อกินเข้าไป โดยเฉพาะฟอร์มัลดีไฮด์นี้มีข้อพิสูจน์ที่พอจะเชื่อได้ว่าเป็นสาร “ก่อมะเร็ง” (http://www.ashthailand.or.th/wecare/pic/Cyanide.jpg) (http://b.imagehost.org/0111/0_0001.jpg) (http://www.peane1.com/udon/post/upfile/00000636001297L.jpg) สารกันบูดจากเส้นก๋วย เตี๋ยวที่ไม่ได้มาตรฐาน, สารอัลฟาท็อกซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งจากพริกป่น, ถั่วลิสงป่น, สารเคมีตกค้างในผักสด, ฟอร์มาลีนจากสไบนาง, สีสังเคราะห์จากซอส และสารตะกั่วจากหม้อก๋วยเตี๋ยว ที่เชื่อมด้วยตะกั่ว |