หัวข้อ: What a Wonderful World : Louis Armstrong เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ มีนาคม 07, 2009, 07:16:17 pm http://www.youtube.com/v/vnRqYMTpXHc&hl.swf
บทเพลงแห่งความพอเพียงของ หลุยส์ อาร์มสตรอง ~ I see trees of green Red roses too I see them bloom for me and you And I think to myself What a wonderful world I see skies of blue and clouds of white The bright blessed day Dark sacred night And I think to myself What a wonderful world The colors of the rainbow So pretty in the sky Are also on the faces of people going by I see friends shaking hands Saying "how do you do?" They're really saying "I love you" I hear babies crying, I watch them grow They'll learn much more than I'll ever know And I think to myself What a wonderful world Yes, I think to myself What a wonderful world I see trees of green Red roses too I see them bloom for me and you And I think to myself What a wonderful world.............. ... ~ เป็นเพลงแห่งความสุขแบบพอเพียง ~ ก็เพราะเนื้อหาของเพลงนี้พูดถึงความสวยงามน่าอภิรมย์ของโลกล้วนๆ เริ่มต้นก็บรรยายถึงต้นไม้ใบเขียวความงามของดอกไม้ ท้องฟ้า สายลม แสงแดด สายรุ้ง มิตรภาพ ความรักของเพื่อนมนุษย์ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มีในธรรมชาติ ไม่ต้องใช้เงินทองซื้อหา ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้สัมผัส ไม่ว่าคนรวย คนจน คนโสด หรือไม่โสด เพราะเป็นความรักในธรรมชาติและมิตรภาพที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไป ฟัง เพลงนี้แล้วนึกถึงความหมายไปด้วย จะทำให้เรามีความสุขในความเรียบง่ายที่ธรรมชาติมอบให้เราเสมอหน้ากัน ผู้แต่งคำร้องและทำนองเพลงนี้คือ George D. Weiss& Bob Thiele ตั้งแต่ ค.ศ. 1967 เกือบ 40 ปีมาแล้ว แต่ที่ทำให้เพลงนี้โด่งดังเปนที่คุ้นหูคุ้นใจคนทั้งโลก ก็ต้องยกให้หลุยส์ อาร์มสตรอง หลุยส์ อาร์มสตรอง (1901-1971)เป็นชาวเมืองนิวออร์ลีนส์ มาจากครอบครัวของนิโกรที่มีอดีตเป็นทาส ตำบลที่หลุยส์เกิดเป็นถิ่นคนยากจนขนานแท้ มีแม่เป็นเพียงสาวน้อยอายุ 15 ปีที่ พอเกิดหลุยส์ออกมา สามีก็ทิ้งไปหลุยส์ อาร์มสตรองกับมารดาMayann Armstrong, และน้องสาว, Beatrice Armstrong แต่หลุยส์ก็เติบโตมาในการดูแลของยายที่ทุ่มเทความรักให้เขามากมาย จึงทำให้หลุยส์รักษาตัวไว้ได้ และเติบโตเป็นผู้ที่มีความรักไว้แจกจ่ายให้มนุษย์ทั้งโลกด้วยเสียงเพลง ไม่มีความขมขื่นกับอดีต และไม่เคยใช้ความขาดแคลนในวัยเด็กมาเป็นเครื่องต่อรอง หรือแก้ตัวเพื่อเรียกร้องประการใด หากยังมีความเห็นใจและเข้าใจชีวิตมนุษย์ และพร้อมที่จะให้อภัยเสมอ ในวัยเด็กช่วงหนึ่ง หลุยส์ได้รับความเมตตาจากชาวยิวโดยการ ได้อาศัยติดรถม้าของครอบครัวชาวยิวไปซื้อของเก่ามาขายคอร์เนท และครอบครัวชาวยิวนี้เองที่ช่วยให้หนูน้อยหลุยส์ ได้เป็นเจ้าของคอร์เนทอันแรกของชีวิต เพราะความประทับใจในครอบครัวชาวยิวนี้ หลุยส์จึงเป็นผู้ที่เติบโตขึ้นโดยไม่ถือผิว ไม่รังเกียจคนขาว ไม่โกรธแค้นในการปฏิบัติของคนขาวต่อคนดำ เพราะเขารับรุ้โดยประสบการณ์ว่า มนุษย์ทุกเผ่าพันธ์ ทุกเชื้อชาติลวนเหมือนกัน คือมีทั้งคนดี และคนเลว หลุยส์ ไม่เคย"เหมารวม" สันดานมนุษย์ ช่วงอายุ 11 ขวบ หลุยส์แอบเอาปืนของพ่อเลี้ยงไปควงเล่น จึงถูกจับส่งเข้าโรงเรียนดัดสันดาน ซึ่งเป็นที่ๆเขาได้เรียนดนตรี โดยเฉพาะครูจอมดุของที่นี่ได้สอนการเป่าคอร์เนทให้กับหลุยส์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว จนได้เป็นดาราของโรงเรียนและทำให้วงดนตรีของโรงเรียนมีชื่อเสียง ตอนที่วงดนตรีของโรงเรียนไปเดินพาเหรดที่เมืองบ้านเกิดของหลุยส์ ว่ากันว่าบรรดา พ่อเล้าแม่เล้า แมงดา โสเภณีที่คุ้นเคยในย่านที่หลุยส์เคยอาศัย พากัยภูมิใจในตัวหลุยส์ยิ่งนัก มาดูกันอื้ออึงเต็มถนน หลุยส์จึงได้เงินบริจาคไปซื้อฟอร์มใหม่ ให้พรรคพวกนักดนตรีแห่งโรงเรียนดัดสันดานได้ทั้งวง จากนั้นชีวิตหลุยส์ก็โลดแล่นไปบนถนนแห่งดนตรีตราบจนวันตาย จากคอร์เนทหลุยส์เปลี่ยนไปเล่นทรัมเปต เขากลายเป็นราชาทรัมเปต เสียงทรัมเปตของหลุยส์ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน มีทั้งหวาน สดชื่น หยอกล้อ กระปรี้กระเปร่า กระเซ้ากระซี้ รมย์รื่น ไปจนถึงโศกเศร้า เจ็บปวด โหยหวน เพราะเวลาเล่น หลุยส์ทุ่มเททั้งหัวใจ ทุกอณูที่มีอยู่ในตัว และไม่เคยเล่นซ้ำแบบกันในแต่ละครั้ง ด้วยแก่นแท้ของแจ๊สนั้น คือการเล่นด้วยวิญญาณ และความรู้สึก ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นวินาทีนั้น ไม่ใช่เล่นด้วยการฝึกหัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่ผิดเพี้ยน ขนาดนักดนตรีด้วยกันยังไม่เชื่อว่า มนุษย์ใดในโลกจะเล่นดนตรีได้อย่างหลุยส์ แม้การร้องเพลงด้วยเสียง "ขรุขระ" อันเป็นสัญญลักษณ์ประจำตัวของเขา หลุยส์ก็ทำเช่นเดียวกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือ หลุยส์พบว่า ดนตรีที่ดีนั้น ไม่มีสีผิว ไม่มีเพศ ไม่มีวัย และไม่มีชนชั้น และดนตรีนำมาซึ่งมิตรภาพและสันติภาพ laugh2 |