หัวข้อ: ธรรมะที่ไม่ชรา... เริ่มหัวข้อโดย: Nattawut-LSV Team ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2009, 06:49:26 am ธรรมะที่ไม่ชรา... เรานั้นจะต้องตายร่างกายนี้จะต้องเน่าเปื่อยผุพังไป ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา คนที่เกิดก่อนเราตายก่อนเราก็มี ตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ คนที่เกิดพร้อมเราตายก่อนเราก็มี ตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ คนที่เกิดทีหลังเราตายก่อนเราก็มี ตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ นี่แสดงว่าไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา เราไม่มีในร่างกายร่างกายไม่มีในเรา ละสักกายทิฏฐิคือความยึดมั่นถือมั่นในกายนี้ว่าตัวว่าตนออกไปเสียจากใจ คนเราพอมันไม่ห่วงอะไรไม่อาลัยในสิ่งใด ใจมันก็เป็นสุข ไม่เสียดายชีวิต จิตนั้นก็สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายได้ ทำลายสังโยชน์ 3 ได้ไปพร้อมกัน บรรลุปฐมฌานที่เป็นโลกุตตระ โสดาปัตติมัคคตั้งมั่นประดิษฐานในจิต ไม่ง่อนแง่นไม่คลอนแคลน มีจิตน้อมไปในนิพพาน มีใจเอนไปในนิพพาน มีนิพพานเป็นเบื้องหน้า เข้าสู่กระแสพระนิพพาน มีวิตก วิจารในนิพพาน มีปีติ มีสุข และเอกคตารมณ์ จิตเป็นกุศลหลุดพ้นจากโลก หลุดพ้นจากบ่วงโลกีย์ได้แน่นอน ราชรถอันวิจิตยังมีวันคร่ำคร่า อนึ่งแม้สรีระก็ย่อมเข้าถึงชราโดยแท้ แต่ว่าธรรมของสัตตบุรุษหาเข้าถึงชราไม่ สัตตบุรุษกับสัตตบุรุษเท่านั้นย่อมรู้กันได้ ขอบคุณบทความจากธรรมะไทย หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ไม่ชรา... เริ่มหัวข้อโดย: Nattawut-LSV Team ที่ มีนาคม 01, 2009, 06:09:31 pm ความไวของสติ
-------------------------------------------------------------------------------- สิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันระหว่างวิปัสสนากรรมฐานกับสมถกรรมฐาน ก็คือ เมื่อฝึกถึงจุดที่มีสติไวขึ้น วิปัสสนากรรมฐานจะสามารถปฏิบัติในระหว่างวันได้โดยไม่จำเป็น ต้องนั่งสมาธิเป็นเวลานานเหมือนสมถะชั่วเวลาเพียงแค่สองสามวินาที ก็สามารถปฏิบัติวิปัสสนาได้ แม้ระหว่าง ขับรถ ยืน เดิน นั่ง นอน หรือเข้าห้องน้ำ เพราะวิปัสสนาจะใช้เพียงขนิกสมาธิ(สมาธิชั่วขณะ) พระพุทธองค์ตรัสว่า เพียงแค่ชั่วเวลาช้างกระดิกหู ถ้าสามารถใช้สติเข้าไปจับแบบวิปัสสนา ก็จะได้บุญมหาศาลถึงขนาดตัดภพตัดชาติ แน่นอนสำหรับผู้เริ่มต้น ต้องฝึกวิปัสสนากรรมฐานแบบนั่งสมาธิ และเดินจงกรมสลับกันไป เพราะสติยังไม่แข็งแรงพอ ในช่วงเวลาเริ่มแรก ผู้ที่ฝึกวิปัสสนากรรมฐานจะรู้สึกทรมานกว่า ผู้ที่ฝึกสมถกรรมฐาน แต่เมื่อฝึกถึงระดับที่บรรลุญาณ และสามารถใช้สติเข้าไปจับปรากฎการณ์ต่างๆของธรรมชาติรอบๆตัว รวมไปถึงธรรมชาติภายในตัว จนเข้าใจธรรมชาติอย่างที่เป็นจริง มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ยิ่งสติไวยิ่งเห็นละเอียด และเห็นอย่างที่คนอื่นไม่เห็น เช่น แสงเทียนที่ลุกโชติช่วงดูราบเรียบเย็นตา ถ้ามองด้วยจิตวิปัสสนาจะเห็นแสงนั้นเกิด ดับ เกิด ดับ เป็นจำนวนนับหมื่นครั้งต่อนาที พระพุทธองค์ไม่ทรงเน้นให้ใช้จิตที่ฝึกแล้วแบบวิปัสสนาไปจับการเกิด ดับ ทางกายภาพ แม้ว่าจะสามารถนำไปสู่การค้นพบอันยิ่งใหญ๋ แบบที่ นิวตัน หรือไอสไตน์ค้นพบก็ตาม เพราะถึงมนุษย์จะเกิดปัญญาในการวิเคราะห์สิ่งต่างๆรอบตัว แต่ไม่เคยวิเคราะห์สภาพจิตภายในของตนเอง การค้นพบทางกายภาพเหล่านั้นก็ไม่มีทางที่จะลดกิเลส ตัณหา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ของมนุษย์ได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ที่แท้จริง ผลพลอยได้ในทางโลกจากการฝึกวิปัสสนากรรมฐานมีมากมายเช่น นักกีฬาที่ฝึกวิปัสสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกายานุปัสสนาสติปัฎฐาน จะมีการเคลื่อนไหวทางกายที่ละเอียดและไวกว่าคู่ต่อสู้ นักธุรกิจที่ฝึกสติอย่างสม่ำเสมอ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคก่อนคู่แข่ง ฯลฯ แม้จะมีสติที่ไวกว่าปกติ สามารถนำไปใช้ในทางโลกจนประสบผลสำเร็จ ในอาชีพ ทางธุรกิจ ทางการแข่งขัน ฯลฯ แต่สำหรับผู้ที่ฝึกวิปัสสนากรรมฐานอยู่เป็นนิจจะเกิดความเบื่อหน่าย เพราะรู้เท่าทันความสำเร็จ รู้เท่าทันอารมณ์ต่างๆที่ผุดขึ้นในแต่ละวัน เกิด ดับ เกิด ดับ เกิด ดับ วันหนึ่งๆเป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง จนรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่จีรังยั่งยืนเลย ไม่ใช่ความสุขที่จริงแท้ ในที่สุดจะเกิดปัญญา ต้องการที่จะหลุดพ้นจากวังวนเหล่านี้ ตามปกติของผู้ที่ไม่เคยฝึกสติ จะเห็นปรากฎการณ์การ เกิด ดับ ของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อารมณ์ต่างๆช้ากว่าผู้ที่ฝึกสติ อย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสามเท่าตัว เช่น ในวัยเด็ก เราเคยเล่นเป่าฟองสบู่ ฟองสบู่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ประมาณ 3 วินาที ก็แตกออกและดับไป แต่สำหรับผู้ที่ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน จะเห็นการเกิด ดับ เหลือเพียง 1 วินาที ช่วงเวลา 3 วินาที ที่ฟองสบู่ลอยละล่องทำให้เกิดความสนุก ความยินดี แต่จิตของวิปัสสนาที่เห็นมันดับอย่างรวดเร็วจะไม่หลงเหลือความสนุกอยู่ และยิ่งสติไวขึ้น จนในที่สุดจะเห็นว่าการเกิดการดับเกิดขึ้นเร็วมาก จนรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของปลอม ความสุขความสนุกที่เกิดขึ้นก็เป็นของปลอม ฟองสบู่เป็นเพียงการเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพ แต่ความจริงแล้วสิ่งต่างๆที่ผุดขึ้นในแต่ละวันทั้งจาก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และจากใจเราเอง คือ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ราคะ โทสะ โลภะ โมหะ เมื่อเกิดภาวนามยปัญญา หยั่งรู้เห็นการเกิด ดับ รู้เท่าทันมัน พอมันเกิดขึ้นก็พอใจ พอแตกดับก็เสียใจ เหมือนถูกธรรมชาติลูบหัวแล้วตบหลัง แต่จิตแบบวิปัสสนาจะทำให้ความสุขจากการถูกลูบหลังลดลงเรื่อยๆ และเห็นความทุกข์จากการถูกตบหัวชัดขึ้นเรื่อยๆ สุขปลอมๆแต่ทุกข์จริง วนไปแบบนี้ตลอดกาล ก็จะยิ่งรู้สึกว่าต้องหลีกหนีสิ่งมายาเหล่านี้ไปให้ไกล เมื่อนั้นเราจะเกิดแรงขับ พยายามปฏิบัติธรรม กำหนดสติให้ถึงจุดที่หลุดพ้นให้ได้ เพื่อเข้าสู่ความจริงอันสูงสุด ความสุขที่จริงแท้และเป็นนิรันดร์ ธรรมดลใจ เรียบเรียงจากบทความของ ท.พ. สม สุจีรา ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ไม่ชรา... เริ่มหัวข้อโดย: sirirrin ที่ มีนาคม 01, 2009, 09:12:31 pm (http://z.about.com/d/healing/1/0/X/v/art_lotus_12009915A.jpg) สาธุ |