หัวข้อ: ข้อควรระวังในการใช้ไมโครเวฟเพื่อต้มน้ำเปล่า เริ่มหัวข้อโดย: Donovan♥ ที่ เมษายน 01, 2007, 01:19:29 am ชายวัย 26 ปี คนหนึ่งต้องการชงกาแฟโดยใช้ไมโครเวฟ เขาได้ใช้น้ำเปล่าใส่ถ้วยกาแฟ แล้วใส่เข้าไปในไมโครเวฟเพื่อต้มน้ำให้เดือน (ซึ่งเขาเคยทำอย่างนี้เป็นประจำ) ในครั้งนี้ไม่ทราบว่าเขาตั้งเวลาในการต้มน้ำไว้นานเท่าไหร่ เมื่อถึงเวลาที่ตั้งไว้ เขารีบเปิดเตาไมโครเวฟแล้วหยิบถ้วยกาแฟออกมา ซึ่งเขาแปลกใจมากว่าทำไมน้ำในถ้วยไม่เดือดปุดขึ้นมาเป็นไอ เขาจึงก้มหน้าลงไปใกล้ๆ เพื่อจะดูน้ำในถ้วยกาแฟ ทันใดนั้น น้ำในถ้วยกาแฟก็เดือดปุดพุ่งขึ้นมาใส่ใบหน้าเขา จนเขาต้องโยนถ้วยทิ้งแต่น้ำร้อนได้ลวกใบหน้าเขาทั้งหน้า และทำให้หน้าพุพอง ซึ่งต่อไปจะเป็นแผลเป็นจนถึงกับเสียโฉม นอกจากนี้ ตาซ้ายยังถูกน้ำร้อนจนสูญเสียการมองเห็นไปบางส่วน
แพทย์ที่รักษาได้กล่าวว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ ถ้าคุณใช้น้ำเปล่าเข้าไปต้มในไมโครเวฟ และได้แนะนำให้ใช้แท่งไม้สำหรับคนกาแฟ หรือถุงน้ำชา (ยกเว้นช้อนโลหะ) ใส่ลงไปในน้ำเพื่อกระจายพลังงานเวลาที่ต้มน้ำในไมโครเวฟ ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าคือการต้มน้ำในกาต้มน้ำแทนไมโครเวฟ คำตอบจากองค์กรเครื่องใช้ไฟฟ้า: ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณที่ได้แจ้งและสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นจริงและเกิดขึ้นได้ ถ้าคุณใช้ไมโครเวฟในการต้มน้ำหรือของเหลวอื่นๆ ซึ่งจะไม่เดือดปุดขึ้นมาเป็นไอ ถึงแม้จะถึงจุดเดือดหรือเกินจุดเดือดแล้วก็ตาม น้ำที่ร้อนมากๆ นั้นจะเดือดปุดได้ก็ต่อเมื่อน้ำนั้นถูกแกว่งหรือมีถุงน้ำชาอยู่ในน้ำ เพื่อป้องกันปัญหานี้ จึงไม่ควรตั้งเวลาในการต้มน้ำเกิน 2 นาที และเมื่อครบเวลาแล้ว ควรรออีก 30 วินาที ก่อนที่จะนำออกมาจากไมโครเวฟ หรือก่อนจะใส่อะไรลงไปในน้ำร้อน สิ่งนี้เป็นสิ่งซึ่งคุณครูวิทยาศาสตร์ท้องถิ่นต้องพูดถึง : ขอบคุณสำหรับการเตือนไมโครเวฟ ฉันพบเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ มันเป็นธรรมชาติปรากฏให้เห็นเมื่อน้ำถูกทำให้ร้อน โดยเฉพาะกับภาชนะใหม่ๆ ที่เพิ่งนำมาใช้หรือใส่น้ำในถ้วยน้อยเกินไป สิ่งที่ปรากฏนี้เกิดขึ้นเพราะน้ำร้อนเดือดเร็วกว่าการเกิดฟองไอน้ำ ถ้าถ้วยใหม่มากและไม่มีรอยขีดข่วนภายใน ฟองจะไม่สามารถสร้างเป็นรูปร่างและเดือดปุดขึ้นได้ น้ำจะไม่มีการเดือดปุดถึงแม้จะร้อนเกินจุดเดือดไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อมีการสั่นสะเทือน ฟองไอน้ำก็จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและระเบิดออกมาเหมือนกับน้ำอัดลมที่มีโซดาพุ่งออกมาและมีคุณเขย่าก่อน ข้อมูลจาก http://gotoknow.org/blog/health-tip/86479 |