หัวข้อ: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์ เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ เมษายน 21, 2024, 07:44:44 am โค๊ด: https://www.facebook.com/thiravat.h Professor Thiravat Hemachudha -------------------------------------------------------------- อย่าพยามทำตัวเป็น น้ำเต็มแก้ว เรียนรู้ ศึกษา วิเคราะห์ แยกแยะ ฟังหูไว้หู วิสัชนา เอาครับ ? ♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥ กระบวนการบิดเบี้ยวของระบบสุขภาพ (ตอนที่ 1) ความยั่งยืนของระบบสุขภาพนั้นประกอบไปด้วย ความตระหนักของประชาชนในการดูแลตัวเอง ด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและเพาะบ่ม ตั้งแต่ในครอบครัวในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลต่อเนื่องไปทั้งชีวิต การละทิ้งการรักษาตัวเองจะก่อให้เกิดโรคทางสุขภาพมากมายทำให้ คนไทย เปราะบางและพร้อมที่จะเกิดโรคต่างๆในระดับความรุนแรง มากกว่าปกติและแม้เมื่อกระทบกับ โรคติดเชื้อกลับถึงกับเสียชีวิต อย่างง่ายดาย การโหมประโคม การรักษาฟรีได้ทุกโรคโดยไม่บอกความจริง ถึงงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และเพิ่มสิทธิประโยชน์โดยที่ประชาชน ไม่ทราบว่าการรักษานั้นไม่ได้ถึงขีดสุดตามที่ควรจะเป็น และแม้ว่าจะสามารถรักษาโรคบางอย่างได้ดีเช่น หลอดเลือดหัวใจตันหรือภาวะไตวาย ซึ่งมีการต่อสู้กันอย่างเนิ่นนานให้เป็นการฟอกเลือด แทนการล้างไตในช่องท้องซึ่งประชาชนและครอบครัว ยังไม่พร้อมก่อให้เกิดการติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่จำนวนผู้ป่วยเหล่านี้ปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ จนแพทย์พยาบาลและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญรับมือไม่ไหว อย่างเช่นประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีการหยุดงานประท้วงของแพทย์ นักศึกษาแพทย์จนกระทั่งถึงลาออก ทั้งนี้เนื่องจากไม่เข้าใจว่าการให้บุคลากรที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญเหล่านี้ยังอยู่ในระบบได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่เร่งผลิตแพทย์เอาแต่ปริมาณจำนวนและในที่สุด แล้วมีปัญหาเรื่องคุณภาพและผลกระทบก็คือตกอยู่ที่ประชาชนคนป่วย และขาดความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขรวมถึงการฟ้องร้องอย่างรุนแรง ประเด็นที่เกี่ยวโยงกัน คือ การหาประโยชน์จากระบบสุขภาพ กลายเป็นห่วงโซ่ธุรกิจข้ามชาติ ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีอิทธิพลของบริษัทยา วัคซีนและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ โยงไปถึง หน่วยงานหลักของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และจนกระทั่งองค์กรหลัก ของโลก และ ในประเทศตะวันตก ซึ่งระบบสาธารณสุขของไทย ยึดถือตามเอาอย่างโดยไม่ผิดเพี้ยน การปล่อยออกตลาด ของวัคซีนโควิดในสภาวะฉุกเฉิน แต่กระนั้นก็ต้องมีการศึกษาความปลอดภัย ในมนุษย์เป็นขั้นตอนที่หนึ่ง ครอบครัวของเด็กหญิงอายุ 12 ปีที่เป็นอาสาสมัคร เข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ในการศึกษา ในมนุษย์ระยะที่หนึ่งในเรื่องความปลอดภัย ปรากฏว่าหลังเข็มที่หนึ่งมีแต่ไข้เจ็บแขนและหายไป แต่หลังเข็มที่สองเกิดอาการ มหาศาลตามต่อ 20 ถึง 30 อาการ ต้องเข้าโรงพยาบาล อาสาสมัครเหล่านี้นำไปรายงานใน วารสารนิวอิงแลนด์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2021 และสรุปว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนต่างมีอาการเล็กน้อยไม่รุนแรง และกล่าวถึงเด็กหญิงคนนี้ว่าอาการไม่น่าวิตกอะไร และเป็นเพียงปวดท้องเนื่องจากความเครียดทางอารมณ์ หลังจากนั้นอีกไม่นานข้อมูลเหล่านี้ ถูกนำไปใช้ในเรื่องความปลอดภัย ของวัคซีนและนำไปสู่การศึกษาในมนุษย์อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมีการใช้จริงในกลางปี 2021 วิดีโอนี้เป็นการบันทึกคำให้การของมารดาของเด็กหญิง ที่ได้รับผลกระทบและขณะนี้ ยังต้องนั่งรถเข็นและใส่สายยางให้อาหาร เป็นคำให้การและหลักฐานต่อวุฒิสมาชิก และยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่ได้รับผลกระทบ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตีพิมพ์ในวารสาร ชั้นหนึ่งอันดับโลกมึความบิดเบี้ยว และในบทความตีพิมพ์นี้ นายแพทย์ที่เป็นชื่อแรกคือคนที่รับผิดชอบและดูแลผู้ป่วยรายนี้ด้วยซ้ำ กรุณาดูวิดีโอชิ้นนี้ ทั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดไม่ได้มีการตัดต่อใดๆ โค๊ด: https://youtu.be/L2GKPYzL_JQ?si=VKECXgj_GwGoqKzL ยาที่ถูกแสนถูกหมดสิทธิบัตรแล้วและถูกห้ามใช้ อย่างรุนแรงจากองค์กรสากลต่างๆ รวมทั้งในประเทศไทย ในที่สุด FDA สหรัฐ แพ้คดี ต้องถอนข้อความในการห้ามใช้ ยาฆ่าพยาธิ ไอเวอร์เมคติน ในการป้องกัน และรักษาโควิด และที่มีการดูถูกถากถาง และส่งผลให้แพทย์ถูกลงโทษ อีกตัวอย่างที่น่ากลัวคือ การถ่ายทอดผ่า นรก ของวัคซีน COVID-19 mRNA หลักฐานจากการวิเคราะห์รก มารดา และเลือดจากสายสะดือหลังการฉีดวัคซีน โค๊ด: https://www.ajog.org/.../S0002-9378(24)00063-2/fulltext... ประเด็นที่ร้ายแรงต่อตามมาก็คือ ผลผลิตของนวัตกรรมซึ่งสามารถเกิดขึ้น อย่างมหัศจรรย์ แบบผิดธรรมชาติ จากวัคซีนโควิด นวัตกรรมนี้สามารถสร้างความเสียหาย โดยผ่านกลไกหลายระบบ แบบที่พบเห็นกันทั่วไป จากกลไกทางด้านภูมิคุ้มกัน แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น คือ ความสามารถ ที่จะฝังตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์ไปนานเป็นปี และสั่งให้ร่างกายมนุษย์สร้างโปรตีนหนาม เป็นเป้าล่อให้กระบวนการภูมิคุ้มกันของมนุษย์ เข้ามาทำลาย ซึ่งก็หมายความว่าทำร้ายตัวเอง นอกจากนั้นโปรตีนหนามนี้ เข้าไปสอดแทรกในเนื้อเยื่อที่ลึกลงไป ก่อให้เกิดการอักเสบมีรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และต่อมา ชิ้นของเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจะค่อยๆ ทะลักออกมาทางผิวเซลล์ที่ถูกทำลาย และในกรณีของหลอดเลือดจะทะลักออกมาในกระแสเลือดโดยโปรตีนนี้ จะเหนี่ยวนำ ให้เกิดโปรตีนบิดเกลียว misfolded protein ลักษณะเป็นอมิลอยด์ ซึ่งไม่สามารถย่อยได้ด้วยเอนไซม์ และค่อยๆ สะสมขึ้นทีละน้อย ลักษณะอาจเป็นก้อนหรือเป็นแท่งหล่อ พบ ขณะมีชีวิตและเมื่อตายแล้ว และไม่จำเป็นต้องเกิดทุกคน กลไกจากนวัตกรรมนี้ จนได้ผลิตผล ขั้นสูงสุดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ และ ถ้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยอมรับว่าเกิดขึ้นได้นั้น หมายความว่าแพลตฟอร์มของนวัตกรรมนี้ ที่จะนำมาใช้สำหรับโรคอื่นทุกชนิด ที่จะเปลี่ยนรูปแบบทุกอย่างในโลกนี้ ต้องถูกระงับ เป็นคำอธิบายชัดเจนในการต่อต้าน ทั้งนี้ ได้สรุปเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ อย่างละเอียดจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ ของประเทศเยอรมันและเจ้าหน้าที่ในสหรัฐ กลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ ไม่สามารถนำลงไปตีพิมพ์ในวารสารได้ เพราะได้รับการต่อต้านตั้งแต่ พบหลักฐานใน 15 รายแรกและได้แจ้งให้สมาคม ราชวิทยาลัยของประเทศให้จับตา และทำการศึกษาอย่างจริงจัง แต่ได้รับการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ดังนั้น เป็นการเสนองานทางวิทยาศาสตร์ อย่างละเอียดในที่ประชุมนานาชาติ จากการชันสูตรศพและวิเคราะห์เนื้อเยื่อ ทางกล้องจุลทรรศน์และทางฟิสิกส์จากศพ 100 ราย และจากชิ้นเนื้อจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ 20 ราย และข้อมูล ที่สำคัญที่มอบให้สื่อ ยังเป็นรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใน cath lab ที่ไม่ระบุชื่อ anonymous whistle blower ที่โรงพยาบาลในสหรัฐ ที่ทำการฉีดสีและดูด ลาก ตัด ก้อนที่ปะปนกับลิ่มเลือดตามปกติออกมา ซึ่งได้ทำการรายงานโรงพยาบาลทันที แต่ได้รับคำสั่งห้ามพูดเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถูกไล่ออก เลยได้ทำการติดต่อโรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐ ซึ่งก็พบปรากฏการณ์เช่นนี้และทุกแห่งถูกสั่งห้ามพูด ทั้งนี้จะมีโรงพยาบาลหลักในสหรัฐ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้ และสนับสนุนนวัตกรรมนี้ ทำการปิดกั้นผลกระทบ เหล่านี้ อย่างสิ้นเชิง ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา หมอดื้อ 17/4/2567 หัวข้อ: Re: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์ เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ เมษายน 21, 2024, 07:49:49 am กระบวนการบิดเบี้ยวของระบบสุขภาพ (ตอนที่ 2)
ปรากฏการณ์ที่กระทบมนุษย์นั้นเริ่มเห็นหนาตาขึ้น จนปิดไม่มิดและประชาชนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า สำหรับคนที่ยังไม่เกิดอาการและไม่เห็นความสำคัญ ของข้อมูลเหล่านี้ต้องไม่ลืมว่า ต้องรอถึงอย่างน้อย 10 ปี จึงจะแน่ใจว่าอยู่รอดปลอดภัย วัคซีน นวัตกรรมอำมหิตนี้ 1- มันไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนเท่านั้น 2- มันเลื้อยเข้ากระแสเลือด 3- มันซึมเข้าไปในเซลล์ทุกแห่งในเนื้อเยื่อและทุกอวัยวะ 4- มันบังคับให้เราสร้างโปรตีนหนามในเซลล์ 5- โปรตีนหนามเป็นพิษต่อเซลล์ 6-โปรตีนหนามยังเป็นเป้าล่อให้ร่างกาย พยายามทำลายเลยเกิดการอักเสบในร่างกาย 7- สิ่งที่หลุดรั่วออกมาจากผนังเซลล์และเนื้อเยื่อ มีปฏิกิริยาเหนียวนำทำให้เกิดโปรตีนชนิดใหม่ เป็นอมิลอยด์โปรตีนเข้าไปในหลอดเลือด 8- มันยังมีสิ่งแปลกปลอมเพราะกระบวนการผลิต มีดีเอ็นเอปนเปื้อนและยังมียีนส์ที่ทำให้มัน เข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์ 9-คุณสมบัติของอนุภาคนาโนไขมันที่มีขยะอยู่มาก และพร้อมที่จะเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์ โดยเฉพาะที่พิสูจน์แล้วคือโครโมโซมที่เก้าและสิบสอง และ 10- สิ่งที่ควรทำและต้องทำคือต้องหยุดการฉีดมันเข้าร่างกายมนุษย์ สมควรแล้วหรือไม่ที่มีเทคโนโลยีนี้นำมาใช้ ในโรคชนิดต่างๆที่ทยอยกันออกมา สมควรหรือไม่ที่ต้องออกมารับผิดชอบ เยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและพิการตลอดชีวิต หยุด มัน เดี๋ยวนี้และเปิดโปง ผู้ได้รับผลประโยชน์จาก มัน ขั้นตอนที่จะสู้คือการพัฒนาการตรวจจากเลือด เพื่อดูปริมาณของสารผิดปกตินี้ และใช้ยาถอนพิษซึ่งขณะนี้มีหลายตำรับด้วยกัน โดยที่ต้องประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัย (ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา หมอดื้อ นวตกรรมอำมหิต ตอนหนึ่งและสอง) ประเด็นของ ขององค์การอนามัยโลก และยึดโยงลงเกี่ยวข้องกับประเทศไทยในเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วลากมาปัจจุบันและที่คนไทยจะเจออะไรในอนาคต Tucker Carlson น่าจะเป็นคนเดียวที่หยิบยก และคนเริ่มหันมาสนใจหลาย ล้านคนแล้ว โค๊ด: https://youtu.be/4MIESbBnA2k?si=JV-UPUa9oHZkP25Y โดยที่ องค์การจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉินและสามารถกำหนดให้ ประเทศภาคีต้องปฏิบัติตามทั้งในด้านยาผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวง โดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ไม่สามารถคิดเองทำเองได้โดยเด็ดขาด และสามารถปิดกั้นข้อมูลที่ไม่สอดคล้อง ได้อย่างสมบูรณ์ทั้งโลกเป็น เรียลไทม์ ไทยก็เป็นประเทศหนึ่งในภาคีเครือข่าย เนื้อหา บทกำหนดใหม่นั้น มีการตกแต่งต่อเติม อ่านแล้ว งงงวย สรุปคือ ถ้ายอมตามก็เป็นไปตามนั้น และองค์กรถ้าทำผิดพลาดจะไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งฟังดูคุ้นๆ ให้ประเทศรับผิดชอบกันเอง ควรหรือไม่ควรที่จะมีการถามจุดยืนของประเทศไทย หรือจะทำอย่างที่ทำมาตลอด ฝรั่งว่าดี ถึงจะทำ ถ้ามีคำแนะนำอะไร ของฝรั่งถือว่าดีที่สุด สมาคมราชวิทยาลัยต่างประเทศ ว่าอย่างไรต้องทำตาม ไม่มีใครเคยฉุกคิดว่า ข้อมูลที่ปรากฏผล ที่ประมวลมีการตั้งใจที่จะตัดข้อมูลบางส่วนทิ้ง ที่ทำให้สถิติออกมา ดูดีหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้ การอ่านวารสารในปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่ผลออกมาดีอย่างผิดธรรมชาติ หรือเลวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ จำเป็นต้องหาข้อมูลรอบด้าน totality of evidence สิ่งที่เห็นรอบตัว ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย โดยทางการ แถลงทุกสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ประกาศว่า มีคนได้รับผลกระทบของวัคซีนโควิดอย่างรุนแรงทั้งประเทศ และเสียชีวิตมี จำนวนห้ารายเท่านั้น ดังนั้นอัตราส่วนคือหนึ่งต่อ 1,000,000 คน และข้อร้องเรียนอื่นๆนั้น เมื่อพิจารณา อย่างถี่ถ้วนแล้วว่า พบว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน รายงานในวารสารโดยจากคณะกรรมการ พิจารณาผลข้างเคียงของวัคซีนในประเทศไทย บอกว่าวัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มีผลข้างเคียงน้อยมาก และไม่รุนแรง ในขณะที่สถาบันในประเทศไทยที่ ไม่มีอคติทับซ้อนกลับรายงาน ตรงข้าม ประชาชนพยายามที่จะบอกว่าได้มีคำร้องไปแล้ว ครอบครัวมีคนตายไปแล้วแต่ไม่เข้าเกณฑ์ถูกปัดตกมากมาย หรือที่มีการชดเชย โดย สปสช ไปแล้วก็จะมีการสรุปว่า เป็นตัวเลขที่บรรเทาความเดือดร้อน เท่านั้น ยัง ไม่ได้ พิสูจน์ เกี่ยวข้องกับวัคซีน เนื้อหาทางด้านล่างนี้เป็นคำบรรยายตามสูตร ของกระทรวงสาธารณสุข อ่านแล้วพิจารณาให้ดี กองระบาด กรมการแพทย์ไม่ได้มีการปิดบังข้อมูลอะไรเลย เกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนมี การตรวจสอบถูกต้องตามระบบของ WHO สปสช จ่ายเงินเยียวยา โดยไม่ได้ใช้ฐานข้อมูล และผลสรุปของกองระบาดซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญ ในการตรวจสอบผลข้างเคียงที่มีความถูกต้องกว่า เนื่องจากตอนนั้น รัฐบาลมีความกังวลว่าคนจะไม่ไปฉีดวัคซีน จึงยอมจ่ายค่าเยียวยา ซึ่งหลายๆครั้ง ไม่มีการตรวจสอบที่ถูกต้องครับ เพื่อให้การเยียวยาเบื้องต้นไปก่อน สรุปว่าเมื่อ ทางการ จะทำการอ้างอะไร จะเป็นไปตามเบื้องบนองค์กรสั่ง ใช้กรรมการที่ไม่ได้ประกาศชื่อว่ามีใครบ้าง และถ้าความเป็นจริงปรากฏตรงข้ามดังที่เห็นในปัจจุบัน จะต้องรับผิดชอบ ความผิด ในการปกปิดบิดเบือนข้อมูลหรือไม่ และจะถูกลงโทษประการใดหรือไม่? ทำให้คนไทยต้องมองดูรอบตัว และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้อง ให้เปิดเผยความเป็นจริงทุกอย่าง และได้รับการเยียวยาที่ถูกต้องใช่หรือไม่ องค์การอนามัยโลก (WHO) สามารถจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉิน และสามารถกำหนด ให้ประเทศภาคี ต้อง ปฏิบัติตาม ทั้ง ในด้านยา ผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ก็ด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations หรือ IHR) ยิ่งกว่านั้น ภาวะฉุกเฉิน นอกจากหมายถึงโรคระบาด WHO ยังสามารถประกาศภาวะอะไรตามแต่ ผอ.WHO จะตัดสินตามใจชอบ เช่น มีการโหมโรงจาก บิลล์ เกตส์ องค์การโลกอื่นๆ รวมถึง World Economic Forum (WEF) ว่า public health emergency (PHE) จะกลายเป็นผู้กำหนดและบริหารระเบียบโลก (New World Order, NWO) ทั้งร่าง IHR และ PHE ใหม่กำลังจะประชุมตัวแทนประเทศสมาชิก ลงนามรับในเดือน พฤษภาคม 2567 ที่จะมาถึง รัฐบาลไทยจะต้องปฏิเสธทั้ง สอง ฉบับเด็ดขาด หากแม้นรับเพียงอันหนึ่งอันใดก็ตาม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนไว้ จะหมายถึง การเสียอธิปไตย ของประเทศให้แก่ WHO ที่ไม่อาจบิดพริ้วได้ ฟังคลิปสั้นที่แนบโดยทนายสวิส Phillip Kruse บรรยายถึงอันตราย WHO ถอดความจากงานสัมมนา International COVID Summit ครั้งที่ 5 ด้านล่าง โค๊ด: https://rumble.com/v4finab-excerpts-from-the... สิ่งที่เห็นด้วยตาของทุกคนเป็นความจริงหนึ่งเดียว ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา หมอดื้อ 21/4/2567 หัวข้อ: Re: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์ เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ เมษายน 21, 2024, 07:53:01 am พิมพ์เขียวของไวรัสโควิดมาจาก
โครงการ DEFUSE 2018 และ PREEMPT แต่ที่สำคัญ อีกประการ คือ รวมถึงการสร้างไวรัสใหม่เข้าไปติดเชื้อในค้างคาว ในโครงการแรกแต่ต้อง สเปรย์บ่อยๆ และในโครงการที่สองให้แพร่ติดในหมู่ค้างคาวเองก่อน แต่หลังจากนั้นให้ค้างคาวปล่อยเชื้อเข้าไปในฝูงอื่น ติดต่อไปเรื่อยๆทางละอองฝอย เป็นการติดเชื้อกันเองเป็นทอดๆ นัย ว่า เพื่อให้เป็นวัคซีนของค้างคาว ในการป้องกันการแพร่ไวรัสโคโรนา (transmissible vaccine) โดยตัวที่จะเอามาติดในค้างคาวนั้น เป็นตัวที่จะครอบคลุมไวรัสโคโรนาทั้งหมด ที่จะมีวิวัฒนาการสูงสุดแล้ว นั่นคือร้ายแรงที่สุดแล้ว (ทั้งนี้ค้างคาวเมื่อติดเชื้อแล้วไม่เกิดอาการ) หลังจากนั้น มีการรวมโครงการทั้งสองเข้าเป็นหนึ่งเดียว คือ CREID และในตะวันออกเฉียงใต้ คือ SEARCH โดยในโครงการหลักนี้ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน จะทำการหาเชื้อไวรัสที่ใกล้เคียงกับโควิดมากที่สุด และทำการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว และจากนั้นทำการ สร้างไวรัสโควิดใหม่ ในห้องทดลองที่ร้ายแรงกว่าเก่า ทั้งนี้รวมการสร้างไวรัสอีโบลาใหม่ และสร้างไวรัสนิปาห์ใหม่ และหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆรวมในประเทศไทย ก็คือการหาไวรัสเหล่านี้ถอดรหัสพันธุกรรม และส่งให้องค์กรต่างประเทศ นี่คือ ธุรกิจสร้างไวรัสข้ามชาติ ให้เกิดเป็นการระบาดทั่วโลก pandemic ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วัคซีนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และคนตายไปเรื่อยๆ ข้อมูลเหล่านี้สามารถสืบค้นได้จากการสอบสวน ของรัฐสภาสหรัฐที่มีต่อองค์กรและสถาบัน ที่เกี่ยวข้องในการให้ทุนและการกำเนิด ตั้งแต่โควิดเป็นต้นมา และ จากข้อมูลที่ต้องเปิดเผย โดยผ่านทางกฎหมายความโปร่งใสของข้อมูล ทำให้ได้รายละเอียดเหล่านี้มา ใครทำอยู่ในประเทศไทย สามารถสืบค้นได้จากทุนที่สหรัฐให้ โดยผ่านทางองค์กรต่างๆ CDC NIH USAID DARPA DTRA EcoHealth alliance ทั้งๆที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวังเพียงแค่ทุน เศษเงินที่โยนมาให้ และอ้างว่ามีประโยชน์เป็นวิทยาการชั้นสูง แล้วโควิดที่ระบาดไปแล้วปฏิเสธได้หรือว่า ไม่ได้เกิดจากการสร้างในลักษณะนี้ และปลดปล่อยออกมาโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม โดยที่มีวัคซีนจดสิทธิบัตรเรียบร้อยตั้งแต่ปี 2018 และ NIH ได้รับเงินจากการจดสิทธิบัตร จากบริษัทวัคซีนโดยต้องจ่ายเงินให้ 400 ล้านเหรียญ ในขณะที่อีกบริษัทหนึ่งยังอยู่ในระหว่างการ ไม่ยอมให้เงินต่อ โดยที่ได้จ่ายไปแล้วก่อนหน้า และถูกเปิดโปงอยู่ขณะนี้ว่า หน่วยงานกลางของประเทศแต่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ในลักษณะนี้เป็นเรื่องต้องห้ามหรือไม่ และเป็นเหตุผลในการเซ็นเซอร์ข่าวสาร ทางด้านลบที่เกี่ยวกับวัคซีนมาตลอด ดังที่มีการเปิดเผยเปิดโปงกันจนถึงปัจจุบันนี้ ข้อมูลในการเก็บค่าต๋ง NIH ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียด ข้อตกลง ค่าลิขสิทธิ์วัคซีนโควิด-19 หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ อ้างว่า ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว โดยแซคารี สตีเบอร์ 18/4/2024 ข้อมูลข่าวสารจาก The Epoch Times สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIH) ปฏิเสธ ที่จะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อตกลง ที่สถาบันทำเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 กับบริษัทวัคซีน ทั้งนี้ได้รับเงินไปอย่างน้อย 400 ล้านดอลลาร์ NIH ปฏิเสธที่จะจัดหาเอกสารใดๆ ต่อคำขอ ตามกฏหมายข้อมูลความโปร่งใส กอร์กา การ์เซีย-มาลีน เจ้าหน้าที่ NIH บอกกับ The Epoch Times ในจดหมาย NIH ระงับบันทึกทั้งหมด อ้างว่าได้รับการปกป้องไม่ให้ปล่อย ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 Moderna ประกาศว่าได้จ่ายเงินจำนวน 400 ล้านดอลลาร์ ให้กับ NIH และจะชำระเงินเพิ่มเติมในอนาคต โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงใบอนุญาต สำหรับโปรตีนขัดขวางที่ใช้ ในวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท Epoch Times ได้รับสำเนาของสัญญา ซึ่งยืนยันการชำระเงิน แต่แก้ไขรายละเอียด การชำระเงินในอนาคตใหม่ จากนั้น The Epoch Times ได้ยื่นคำขอใหม่ โดยมองหารายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับการชำระเงินในอนาคต ซึ่งกล่าวกันว่าขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีน ป้องกันโควิด-19 ที่จำหน่ายได้ นางสาวการ์เซีย-มาลีนกำลังตอบสนองต่อคำขอใหม่ เจมส์ เลิฟ ผู้อำนวยการ Knowledge Ecology International ที่ไม่แสวงหากำไรกล่าวว่าข้อมูลดังกล่าว ควรได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ NIH ได้ออกแถลงการณ์หลายฉบับ เกี่ยวกับข้อพิพาทเรื่องค่าลิขสิทธิ์กับ Moderna และตอนนี้พวกเขาไม่ควรอ้างว่า เป็นข้อมูลที่เป็นความลับบางอย่าง ในเมื่อเกี่ยวกับเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ ผลประโยชน์สาธารณะในเรื่องความโปร่ง เป็นเรื่องสำคัญ นายเลิฟบอกกับ The Epoch Times ทางอีเมล มีเจ้าหน้าที่ NIH จำนวนมากที่ไม่พอใจ กับเรื่องความโปร่งใส เขากล่าวเสริม Epoch Times วางแผน ที่จะอุทธรณ์คำตัดสินของ NIH NIH เป็นหนึ่งในหน่วยงานของรัฐหลายแห่ง ที่ได้รับค่าลิขสิทธิ์ เจ้าหน้าที่ที่นั่น ต่อสู้กับความพยายามที่จะรับข้อมูลเกี่ยวกับ การชำระเงินเหล่านี้ ในปี 2566 พวกเขาเปิดเผย ค่าลิขสิทธิ์จำนวน 325 ล้านดอลลาร์ ที่ได้รับจนถึง 2563 หลังจากถูกฟ้อง ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าการจ่ายเงิน ให้กับหน่วยงานและนักวิทยาศาสตร์ ชั้นนำหลายคนควรหยุดลง ทั้งรัฐบาลและพนักงานของรัฐไม่ควรมีผลประโยชน์ ทางการเงินในผลิตภัณฑ์ที่รัฐบาลมีส่วนร่วม ในการออกใบอนุญาตหรือการส่งเสริม Aaron Siri หุ้นส่วนผู้จัดการของ Siri & Glimstad LLP บอกกับ The Epoch Times ทางอีเมล มันก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่เป็นอันตราย เดินหน้าต่อไป BioNTech NIH กำลังพยายามหาเงินเพิ่มเติม จากผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ตามเอกสารที่ยื่นล่าสุด BioNTech ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของไฟเซอร์ กล่าวในรูปแบบที่ NIH แจ้งไว้ล่วงหน้า เนื่องจากจุดยืนของ NIH คือ BioNTech เป็นหนี้เงินจากการขายวัคซีนโควิด-19 BioNTech กล่าวว่าไม่คิดว่าจะเป็นหนี้เงินของ NIH แต่ "ผลลัพธ์สุดท้ายของเรื่องเหล่านี้ไม่แน่นอน และเราไม่สามารถรับประกันได้ว่า การตีความข้อตกลงใบอนุญาตเหล่านี้ จะมีผลเหนือกว่า หรือในที่สุด เราจะไม่ต้องจ่ายบางส่วนหรือทั้งหมด ค่าภาคหลวงและจำนวนเงิน ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่เป็นข้อพิพาท NIH ไม่ได้ตอบกลับการสอบถาม เกี่ยวกับเอกสารที่ยื่นต่อ BioNTech NIH เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าได้ออกใบอนุญาต เทคโนโลยีโปรตีนขัดขวางให้กับ BioNTech สำหรับวัคซีนโควิด-19 ของ Pfizer-BioNTech Epoch Times ได้ส่งคำขอพระราชบัญญัติเสรีภาพ ด้านข้อมูลสำหรับการแจ้งการผิดนัดและเอกสารที่เกี่ยวข้อง คำขออื่นจะค้นหาข้อมูลว่า NIH ได้ข่มขู่หรือให้บริการ ไฟเซอร์ด้วยการแจ้งเตือนที่คล้ายกันหรือไม่ ไม่ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะได้รับค่าลิขสิทธิ์เท่าใด ก็จะน้อยกว่าที่รัฐบาลสหรัฐฯ จ่ายสำหรับวัคซีนมากเพียงใด รัฐบาลใช้จ่ายไปแล้ว กว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Professor Thiravat Hemachudha ศาสตราจารย์เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง โค๊ด: https://www.facebook.com/thiravat.h หัวข้อ: Re: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์ เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ เมษายน 21, 2024, 08:09:53 am ใครยังเสนอฉีดวัคซีนโควิดอยู่ทั้ง
เด็ก ผู้ใหญ่ ซึ่งขณะนี้เป็นไข้หวัดไปแล้ว ให้ถามว่ามีรับประกัน และชดใช้ อย่างน้อย 10 ปี หรือไม่ การตาย สมองเสื่อม และมะเร็ง ตามข้อมูลที่ทั่วโลกออกมา รวมทั้ง โรควัวบ้าแบบพิเศษ ล่าสุดญี่ปุ่นรายงาน ออกมาแล้วว่า ฉีดสามเข็มเพิ่มมะเร็งจริง (age adjusted/logistic regression analysis) โค๊ด: https://www.cureus.com/.../196275-increased-age-adjusted... (ดูรายงานในโพสต์ก่อนหน้า) ใครยังฉีดอีกแม้เป็น ตัวใหม่ก็ไม่ได้ผล และยังติดโอไมครอนอีก ไม่นับอันตรายที่เกิดจากวัคซีน โค๊ด: https://www.nature.com/articles/s41467-024-47451-w สงครามเริ่มจุดชนวนแล้วไทยเราก็เป็นมหาอำนาจโดยปริยาย ถ้าไม่ยุ่งกับใคร แล้วยังจะเอือก ฆ่าคนไทยด้วย ฉีดๆ อีกหรือ เราฉีดไปแล้ว หมอก็ฉีดด้วย กิน มัง แบบไม่มีสารเคมี ลดละเลิก สัตว์บก กินปลาได้ ไม่กินของหวาน ออกกำลัง แดดมีเหลือเฟือ ใครมีใบกัญชา สด แห้ง ใส่น้ำร้อน ชงดื่มเป็นน้ำชา หัวข้อ: Re: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์ เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ เมษายน 24, 2024, 07:41:18 am คนถามว่ามาพูดเรื่องผลกระทบทำไมในเมื่อมันผ่านไปแล้ว?
คำตอบคือ 1-มันไม่ได้ผ่านไปครับยังฝังอยู่กับตัวเราและใครยังไม่มีอาการปรากฏไม่ควรนิ่งนอนใจ รักษาตัวให้ดีหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้นในร่างกาย การควบคุมอาหารเข้าใกล้มังสวิรัติ คุมโรคประจำตัว กำลังสม่ำเสมอ แดด และกระบวนการถอนพิษ เป็นไปได้ 2- เพื่อให้หยุด ระงับเทคโนโลยีนี้ เพื่อใช้กับวัคซีน อื่นๆ ถ้าไม่มีการปรับเปลี่ยน และไม่มีขั้นตอนในการควบคุมความปลอดภัย และเลิกบริการฉีด เลิกบังคับให้ฉีด ของวัคซีนนี้ จากการจุดกระแสต่างๆ 3- เพื่อให้ตระหนักในผลกระทบที่เกิดขึ้นและให้เข้าใจว่า ไม่ใช่โรคที่คิดไปเอง ดังที่ถูกสั่งพักงาน เพราะหมอวินิจฉัยไม่ได้ แต่ในที่สุดพบการอักเสบมากมายมหาศาลในร่างกาย แม้กระทั่งไปทำ PET scan เจอการอักเสบทั่วตัวและต่อมน้ำเหลืองโตเต็มตัว 4- เพื่อให้มีการเยียวยาผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบอย่างจริงจัง เป็นหมื่นเป็นแสนคน 5- ในที่สุดเพื่อหาคนรับผิดชอบ เมื่อรู้ความจริงแทนที่จะระงับ กลับส่งเสริมต่อและทำการเปลี่ยนความจริงให้เป็นเท็จ คนเหล่านี้ ต่ำทราม และไม่ควรเป็นคนไทย หัวข้อ: Re: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์ เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ เมษายน 30, 2024, 03:53:20 pm วัคซีนโควิดกับการเกิดมะเร็ง
รายงานจนกระทั่งถึงปลายเดือนเมษายน 2024 ตอกย้ำความเชื่อมโยงของวัคซีน mRNA กับอัตรา ตายสูงขึ้นอย่างผิดปกติ (statistically significant increases) ของมะเร็งทุกชนิดโดยเฉพาะในกลุ่ม ที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen- related cancers) ตามหลังการระดมฉีดเข็มสาม รายงานจากประเทศญี่ปุ่นใน วันที่ 8 เมษายน 2024 ในวารสาร Cureus ในเครือเนเจอร์ โดยที่เป็นการรายงาน ประเมินผลกระทบของการระบาดโควิดในประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้เป็นการวิเคราะห์อัตราการตาย ของมะเร็ง 20 ชนิดในประเทศ โดยใช้ข้อมูลของทางการที่เกี่ยวข้องกับการตาย การติดเชื้อโควิดและการฉีดวัคซีนโควิด โดยเป็น การปรับตัวแปรในช่วงอายุต่างๆ (age adjusted mortality) ผลที่ได้ถือเป็นการค้นพบ ที่น่าตกใจ ในช่วงหนึ่งปีแรกของการระบาดโควิด ไม่พบการตายที่เกิดจากมะเร็ง ที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ (excess cancer deaths) แต่การตาย กลับเพิ่มขึ้นโดย แปรตามการฉีดวัคซีนโควิด ประเทศญี่ปุ่นมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงที่สุด และในปี 2024 กำลังระดมการฉีดวัคซีนโควิดเข็มที่เจ็ด โค๊ด: https://www.cureus.com/.../196275-increased-age-adjusted... การระดมฉีดทั้งประเทศญี่ปุ่นเริ่มในปี 2021 และ เริ่มเห็นตัวเลขของการตายจากมะเร็ง เพิ่มขึ้นคู่ขนานไปกับการฉีดฉีดวัคซีนเข็มที่หนึ่งและเข็มที่สอง หลังจากที่มีการฉีดเข็มที่สามในปี 2022 พบว่ามีการตายจากมะเร็งที่เกิดขึ้นอย่างผิดปกติ ในมะเร็งทุกชนิดและโดยเฉพาะกับมะเร็งที่ไว หรือตอบสนองต่อ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่เรียกว่า estrogen and estrogen receptor alpha( ERalpha)-sensitive cancers โดยรวมทั้งมะเร็งรังไข่ มะเร็งเม็ดเลือดขาว ต่อมลูกหมาก มะเร็งริมฝีปาก ช่องปาก ช่องลำคอ มะเร็งตับอ่อนและมะเร็งเต้านม สำหรับมะเร็งเต้านมนั้นในช่วงระยะเวลาปี 2020 พบการตายจากมะเร็งเต้านมลดลง แต่แล้วเปลี่ยนมาเป็นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในปี 2022 พร้อมกับการระดมฉีดทั่วประเทศของวัคซีนเข็มที่สาม มะเร็งตับอ่อนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นคงที่ก่อนหน้าระบาดโควิด และมะเร็งอีกห้าชนิดมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตามมะเร็งหกชนิดยังมีการตายเพิ่ม กว่าที่คาดการณ์ไว้ในในปี 2021 ในปี 2022 หรือในช่วงระยะเวลาทั้งสองปี ยิ่งไปกว่านั้น มะเร็งสี่ชนิดซึ่งมีการตายสูงอยู่แล้ว ได้แก่มะเร็งปอด ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งตับ ซึ่งมีการตายลดลงก่อนปี 2020 แต่เมื่อเริ่มมีการใช้วัคซีนนั้น อัตราการตายกลับไม่ลดลงมากดังก่อนมีการระบาด อัตราตาย ของมะเร็งที่พุ่งขึ้นทั้ง ๆ ที่ ก่อนหน้าการระบาดของโควิดในช่วงระหว่างปี 2010 ถึง 2019 ในประเทศญี่ปุ่น พบว่าการตายจากมะเร็งมีแนวโน้มลดลง ในทุกอายุ ยกเว้นที่อายุ 90 หรือสูงกว่า 90 ปี และแม้แต่ในปี 2020 ช่วงที่ยังไม่มีการระดมฉีดวัคซีน และมีการระบาดของโควิดแล้ว อัตราการตายจากมะเร็งก็ยังลดลง ในช่วงแทบทุกอายุยกเว้นช่วงอายุ 75 ถึง 79 ในปี 2021 เริ่มเห็นแนวโน้มในอัตราการตายของมะเร็งที่สูงขึ้น และสูงขึ้นต่อเนื่องจนกระทั่งถึงในปี 2022 ในช่วงทุกอายุ ในปี 2021 มีอัตราตายเพิ่มขึ้นจากทุกสาเหตุ อย่างมีนัยสำคัญ 2.1% และ 1.1% สำหรับการตายที่เกิดจากมะเร็ง ในปี 2022 การตายจากทุกสาเหตุ กระโดดขึ้นเป็น 9.6% และสำหรับมะเร็งสูงขึ้นเป็น 2.1% การศึกษานี้ได้แยกแยะตามอายุและพบว่า จำนวนการตายจากมะเร็งทุกชนิด จะสูงสุดในช่วงอายุ 80 ถึง 84 ปี ซึ่งประชากรในกลุ่มนี้มากกว่า 90% ได้รับวัคซีนสามเข็ม และวัคซีนที่ได้รับนั้นเกือบ 100% เป็น mRNA และเป็นไฟเซอร์ 78% โมเดนา 22% คณะผู้รายงานยังได้เพ่งเล็งประเด็นของการตาย จากมะเร็งดังกล่าวที่ อาจจะมาจากสาเหตุที่มี การคัดกรองมะเร็งน้อยลง และ การเข้าถึงการรักษาได้จำกัดในช่วงที่มีการล็อคดาวน์ แต่อย่างไรก็ตาม คณะผู้รายงานระบุว่า ไม่สามารถอธิบายการกระโดดขึ้นของการตาย โดยเฉพาะในมะเร็งหกชนิดในปี 2022 ซึ่งไม่มีข้อจำกัดในการคัดกรองมะเร็งและการรักษาแล้ว และมะเร็งที่มีอัตราตายสูงขึ้น จะตกอยู่ในกลุ่มที่เป็น ERalpha-sensitive ทั้งนี้สามารถอธิบายได้จากกลไกหลายอย่าง ของวัคซีน mRNA ซึ่ง อยู่ในอนุภาคนาโนไขมัน มากกว่าที่จะอธิบายจากการติดเชื้อโควิด หรือการที่มีการรักษาลดลงในช่วงล็อกดาวน์ นักวิทยาศาสตร์วิจัยอาวุโส ของ MIT Stephanie Seneff ได้ให้ความเห็นว่ารายงานดังกล่าวชี้ชัดเจน ในข้อมูลทางระบาดวิทยาซึ่งสามารถเชื่อมโยงอัตราตายที่สูงขึ้น ของมะเร็งหลายชนิดและการที่ได้รับวัคซีนหลายเข็ม ทั้งนี้โดยที่ได้เคยให้ความเห็น ก่อนหน้านี้แล้ว โดยยึดถือพื้นฐานกลไกทางวิทยาศาสตร์ ทางด้านระบบภูมิคุ้มกันว่าวัคซีน ควรจะมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง โดยที่วัคซีนนั้นทำให้ระบบการตรวจตราเฝ้าระวัง และป้องกันการเกิดมะเร็งนั้นถดถอยลงโดยเฉพาะในระบบ ที่เรียกว่า innate immunity และความบกพร่องห่วงโซ่ ในระบบภูมิคุ้มกัน ที่นำไปถึงการติดเชื้อโรคได้ง่ายขึ้น และมีโรคภูมิคุ้มกันแปรปรวนทำร้ายตัวเองมากขึ้น และทำให้มะเร็งมีการเติบโตแพร่กระจายได้เร็ว กลไกที่ mRNA วัคซีน โยงไปถึงการเกิดมะเร็งได้ไวขึ้นและโตเร็วขึ้นนั้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็น estrogen และERalpha-sensitive เกิดจากการที่โปรตีนหนามของวัคซีน มีการจับตัวอย่างเฉพาะเจาะจงกับ ERalpha และเร่งให้เกิดปฏิกริยามากขึ้น การศึกษาที่รายงานในปี 2020 ในวารสาร Translational Oncology พบว่า ส่วนของโปรตีนหนาม S2 มีความสัมพันธ์จำเพาะกับยีนส์ ที่ปกป้องไม่ให้เกิดมะเร็ง คือ p53 BRCA1 และ BRCA2 ที่มักมีการผันเปลี่ยน พันธุกรรมในมะเร็ง โค๊ด: https://www.sciencedirect.com/.../pii/S1936523320303065... ซึ่งสอดคล้องกับรายงานในประเทศญี่ปุ่น โดยที่มีการตายเพิ่มของมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูกและรังไข่ในผู้หญิง และมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้ชาย ซึ่งเกี่ยวพันกับการทำงานของ BRCA1 ลดลง และยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับอ่อน การทำงานผิดปกติ ของ BRCA2 ยังมีความสัมพันธ์กับมะเร็งเต้านม รังไข่ในผู้หญิง มะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านมในผู้ชาย และมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน acute myeloid leukemia ในเด็ก การกระจายตัวได้ทั่วไปในร่างกายมนุษย์ในทุกอวัยวะ จากการที่วัคซีนอยู่ในอนุภาคนาโนไขมัน โดยมีการพิสูจน์ชัดเจนแล้วโดยที่ วัคซีนยังเข้าไปฝังตัวที่ ตับ ม้าม ต่อมหมวกไต รังไข่และไขกระดูก ซึ่งก็ทำการผลิตโปรตีนหนาม ปล่อยออกมาตลอดและยังทำให้มีการติดเชื้อง่ายขึ้นอีก โค๊ด: https://www.mdpi.com/2227-9059/11/8/2287 ในเดือนสิงหาคม 2023 รายงานในวารสาร Proteomics Clinical Applications พบว่าชิ้นส่วนของโปรตีนหนามจากวัคซีนยังล่องลอย อยู่ในเลือดของผู้ได้รับวัคซีนยาวนาน ได้อย่างน้อยสามถึงหกเดือนใน 50% ของตัวอย่าง และเมื่อเปรียบเทียบกับการติดเชื้อโควิดตามธรรมชาตินั้น โปรตีนหนามจากไวรัส จะพบได้นาน ประมาณ 10 ถึง 20 วัน แม้ว่าการติดเชื้อนั้นจะมีความรุนแรงมากก็ตาม และในรายงานดังกล่าวนี้ยังชี้ให้เห็นว่า โปรตีนหนามนั้นสามารถที่จะเข้าไปอยู่ในเซลล์บางชนิด หรือมีการสร้างใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าขึ้นมาอีกในเซลล์ โค๊ด: https://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1002/prca.202300048 การศึกษา รายงานในเดือนพฤศจิกายนปี 2021 ในวารสาร the Journal of Immunology พบ exosome ซึ่งบรรจุโปรตีนหนามที่ 14 วันหลังจากฉีดวัคซีน และ เมื่อได้รับวัคซีนเข็มที่สองและวัคซีนเข็มต่อไป โปรตีนหนามดังกล่าว พบมากขึ้นเรื่อย ๆ วัคซีนโควิดยังเป็นวัคซีนที่ปรับแต่งให้เสถียรขึ้นด้วย N1-Methyl-Pseudouridine การที่วัคซีนมีการปรับแต่งดังกล่าวจะทำให้มีการด้อย หรือเปลี่ยนการทำงานของโปรตีนที่สำคัญคือ toll-like receptors ที่คอยป้องกันการเกิดเนื้องอก และการโตของเนื้องอก โค๊ด: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/34805188/ และ โค๊ด: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7072551/.... การที่วัคซีนมีการปรับแต่งดังกล่าวทำให้ร่างกาย มีการผลิตโปรตีนหนามในจำนวนมากมาย และทำให้มีการขัดขวางระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และ ด้อยการส่ง สัญญาณผ่านทางอินเตอร์เฟียรอน (early interferon signaling) ทำให้มีการสร้างโปรตีนหนามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกันทำให้การ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันด้อยลง รายงานในวันที่ 5 เมษายนในวารสาร International Journal of Biological macromolecules พบว่าการดัดแปลงของวัคซีนดังกล่าวทำให้เกิด การกดภูมิคุ้มกันและช่วยส่งเสริมให้เกิดมะเร็ง ทั้งนี้โดยการใส่ N1-methyl-pseudouridine mRNA วัคซีน ในการทดลองที่ใช้ มะเร็งผิวหนัง melanoma ผลปรากฏว่าสามารถกระตุ้นการเติบโตของ เซลล์ มะเร็ง และการแพร่กระจาย ในขณะที่ mRNA วัคซีนที่ไม่มีการดัดแปลงจะไม่เกิดผลร้ายดังกล่าว โค๊ด: https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0141813024022323?via%3Dihub ระบบภูมิคุ้มกันในระดับที่เรียกว่า ADE หรือ antibody dependent enhancement การได้วัคซีนหลายเข็ม เป็นการทำให้ได้รับโปรตีน หนาม มากขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้กลับมีการติดเชื้อโควิดตามธรรมชาติได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ยังร่วมกับการที่มนุษย์ประทับความทรงจำกับไวรัสโควิด บรรพบุรุษหรือดั้งเดิมและจากการที่มีการกดภูมิคุ้มกัน ADE เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อแอนติบอดีแทนที่จะทำลายไวรัส กลับช่วยนำพาไวรัสเข้าเซลล์ได้ง่ายขึ้น และมีการเพิ่มจำนวนในเซลล์ได้เก่งขึ้น โค๊ด: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC8438590/ ผลของโปรตีนหนามและอนุภาคนาโนไขมัน ทำให้หลอดเลือดอุดตัน ผลการวิจัยต่างๆแสดงว่าวัคซีนโควิดก่อให้เกิดความเสี่ยง ต่อการตันของเส้นเลือดและยิ่งเป็นคนป่วยด้วยโรคมะเร็ง ดังนั้นจะทำให้อัตราตายของมะเร็งยิ่งสูงขึ้นไปอีก หลังจากมีระดมการฉีดในประเทศญี่ปุ่น จากการศึกษาพบว่าโปรตีนหนามของไวรัสโควิด และจากวัคซีนเองนั้น มีศักยภาพทางไฟฟ้าบวก และทำให้จับกับ glycoconjugates ที่มีศักยภาพทางไฟฟ้าเป็นลบ และอยู่บนผิวของเม็ดเลือดแดงและเซลล์ชนิดอื่นๆ นอกจากนั้นโปรตีน หนาม ยังสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ผ่านทางตัวรับ ACE2 ทำให้เกิดผนังหลอดเลือดหนาตัว ขัดขวางการทำงานของ ไมโตคอนเรีย โรงพลังงานของเซลล์ และการเกิด reactive oxygen species (ROS) โค๊ด: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3880197/... ทั้งนี้ ROS เป็น highly reactive radicals ions หรือ โมเลกุล ที่มีอิเล็กตรอน โดดเดี่ยว ไม่มีคู่ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเกิดพันธะ (single unpaired electron) โดยที่เซลล์มะเร็งนั้นจะมีปริมาณของ ROS สูงมากจากการ ผลของเมแทบอลิซึม การทำงานของ oncogene และการที่ไมโตคอนเดรีย ผิดปกติและยังรวมทั้งกลไกทางด้านภูมิคุ้มกันต่างๆ ส่วนจำเพาะของโปรตีนหนามยังสามารถทำให้เกิด การก่อตัวของโปรตีนอมิลอยด์ (fibrous insoluble tissue) และแอนติบอดีต่อโปรตีนหนามที่เกาะกับโปรตีน S ที่โผล่ออกมาจากผิวเซลล์ ทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ ทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อของตนเอง และอธิบายปรากฏการณ์เกิดแท่งย้วยสีขาว หรือ white clots ระบบการเฝ้าระวังตรวจตรามะเร็งของมนุษย์อ่อนด้อยลง จากการที่วัคซีนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงทำให้มีการปะทุของไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว โดยที่มีศักยภาพในการก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น ไวรัสงูสวัด ไวรัสเริม herpesvirus 8 โดยที่ไวรัสตัวนี้ถือว่าเป็นไวรัส ที่ก่อให้เกิดมะเร็งชนิด Kaposis sarcoma และการปะทุของไวรัส EBV และ human papilloma virus ที่สามารถเหนียวนำให้เกิดมะเร็งในช่องปากและลำคอ ปรากฏการณ์เช่นนี้จะช่วยอธิบายอัตราการตายที่สูงขึ้น ของมะเร็งที่ริมฝีปากช่องปากและลำคอในปี 2022 ในประเทศญี่ปุ่นที่มีการระดมฉีด เข็มที่สาม การเปลี่ยนRNA เป็น DNA จากกระบวนการ reverse transcription และเข้าไปเสียบในจีโนมของมนุษย์ รายงานในปี 2022 ในวารสาร Current Issues in Molecular Biology แสดงให้เห็นว่าวัคซีน mRNA สามารถเสียบเข้าไปในยีนส์ของมนุษย์ หรือดีเอ็นเอโดยใช้กระบวนการนี้ โค๊ด: https://www.mdpi.com/1467-3045/44/3/73 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 รายงานในวารสาร Medical Hypotheses พบว่าการเพิ่มปริมาณของวัคซีน mRNA และโมเลกุลของดีเอ็นเอที่ได้ถูกปรับเปลี่ยนจาก อาร์เอ็นเอในเซลล์ (cytoplasm) จะสามารถเหนียวนำ ให้เกิดภาวะอักเสบด้วยตัวเองอย่างเรื้อรัง และนำไปสู่ภูมิคุ้มกันแปรปรวนต่อต้านตัวเอง จนกระทั่งถึงการทำลายดีเอ็นเอ และ เกิดมะเร็งในมนุษย์ที่มีปัจจัยโน้มน้าวอยู่แล้วด้วย นักวิจัยทางด้านพันธุศาสตร์ Kevin McKernan พบว่าวัคซีนโควิดสามารถถูกเปลี่ยนให้เป็นดีเอ็นเอ ทั้งนี้โดยสามารถตรวจพบส่วนของพันธุกรรมโปรตีนหนาม ของวัคซีนโควิด ในโครโมโซม 9 และ 12 ของเซลล์มะเร็ง เต้านมและรังไข่หลังจากที่ฉีดวัคซีนโควิด mRNA และพบว่ามีความเชื่อมโยงกับบาง batch ของวัคซีน ที่มีปริมาณของดีเอ็นเอที่ปนเปื้อนกับความรุนแรง ของผลข้างเคียงและผลกระทบที่เกิดขึ้น นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสาธารณสุข และการแพทย์ของฝรั่งเศส Helene Banoun ได้สนับสนุนรายงานจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคล้องจองกับศักยภาพในการกระตุ้นการเกิดมะเร็ง จากผลิตภัณฑ์ที่เป็น gene therapy ซึ่ง mRNA วัคซีน ถือว่าจัดอยู่ในประเภทนี้ และผลของวัคซีนที่เหนียวนำ ให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันชาด้าน(immune tolerance) ส่งเสริมการเกิดมะเร็ง ทั้งนี้ สำนักอาหารและยาของสหรัฐเอง ได้มีการระบุอย่างชัดเจนมาก่อนว่า มีกลไกหลายอย่างที่เป็นไปได้ที่ DNA ที่ปะปนปนเปื้อน จะทำให้เกิดมะเร็ง ทั้งนี้ รวมถึงการที่เข้าไปเสียบในดีเอ็นเอของมนุษย์ และสั่งให้มีการสร้าง ยีนส์มะเร็ง (oncogenes) หรือ มีการสอดใส่ซึ่งทำให้มีการผันแปร ทางรหัสพันธุกรรม (intentional mutagenesis) โค๊ด: https://www.fda.gov/media/78428/download?utm_medium=email... คณะผู้รายงานจากญี่ปุ่นได้ตอกย้ำว่า กระบวนการวิธีมาตรฐานในผลิตภัณฑ์วัคซีน ตามที่สำนักอาหารและยาของสหรัฐได้ระบุไว้นั้น ควรต้องถูกนำมาพิจารณา ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงระบาดของโควิดนั้น เป็นการใช้ในภาวะฉุกเฉินเท่านั้น บทความนี้เรียบเรียงจากรายงานของ คณะผู้ศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นและ จาก คุณเมแกน เรดชอ สื่อ เอปิค ไทม์ส ------------------------------------------------ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha หัวข้อ: Re: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์ เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ พฤษภาคม 14, 2024, 11:02:09 am โค๊ด: https://www.facebook.com/thiravat.h/videos/1197656931612715/ ping! หัวข้อ: Re: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์ เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ พฤษภาคม 15, 2024, 07:10:38 am https://www.ubmthai.com/leksoundsmf3/index.php/topic,101341.0.html
อาจารย์ปูชนียบุคคลทางวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย ที่ไม่ใช่ จุฬา ส่งข่าวมาว่า อยากให้ตรวจสอบถามโครงการที่ทำ Crowdfunding ขอบริจาคจากประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อหา PD1 /PDL1 monoclonal Ab ซึ่งได้เงินบริจาคหลายร้อยล้าน ว่าผลเป็นอย่างไร เงินหมดไปเท่าไรครับ ? ผมเคยพูดไว้แล้วว่า จุฬาขอบริจาคแบบ aggressive มากๆ ทำให้คนที่ไม่บริจาค เหมือนกับทำผิด และยังบอกไว้ด้วยว่า ถ้าไม่สำเร็จ ก็จะทำให้สังคมไม่เชื่อถือนักวิจัยอีกต่อไป ! นี่เป็นการประชาสัมพันธ์ให้คนบริจาคตั้งแต่ 4 ธันวาคม 2018 และจนกระทั่งถึงปัจจุบัน 2024 ยังไม่มีรายงานความก้าวหน้าอะไรทั้งสิ้น และขณะเดียวกันจะจับมือกับ องค์การเภสัชกรรม เพื่อทำโครงการต่อ ในขณะที่ได้เงินบริจาคไปน่าจะหลายร้อยล้าน แต่ไม่มีใครตรวจสอบเลย (และยังมีโครงการรักษามะเร็งด้วยกระบวนการ CAR-T cell อีก ซึ่งเป็นการระดมทุนเช่นเดียวกัน) ------------------------------------------------------------------------- จะมีการแถลงข่าวประชาสัมพันธ์ โครงการรักษามะเร็งวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 โดยร่วมทุนกับองค์การเภสัชกรรม ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องสนใจเพราะมีการรับบริจาคมา ห้าถึงหกปีแล้ว และความคืบหน้าเป็นอย่างไร การพัฒนาเป็นการก๊อปปี้แบบเดียวกับที่ทำวัคซีนโควิด โดยก๊อปจากไฟเซอร์และวัคซีนวัคซีนโควิดของจุฬา ได้ประกาศเลิกทำแล้วในเดือนพฤษภาคม 2567 นี้ ใช้เงินไปเกือบ 1000 ล้านบาท และยังมีเรื่องยาพ่นจมูก chula Covi-trap ซึ่งโฆษณาประชาสัมพันธ์ มากมาย โดยทำจากแอนติบอดีที่เฉพาะเจาะจงกับสายพันธุ์ โดยที่โควิดเปลี่ยนสายพันธุ์ไปเรื่อยเรื่อย ลักษณะดังดังกล่าว ได้รับเงินทุนบริจาคหรือไม่อย่างไร และได้ผลเพียงใดเมื่อเทียบกับยา พ่นจมูกแบบปกติ ที่ขายอยู่หลายยี่ห้อ ที่กันไม่ให้เชื้อโรคเกาะติดที่ผนังจมูก และลำคอเท่านั้นและราคาถูกกว่า โดยไม่ได้ขอบริจาคจากประชาชน ต้องมีกรรมการภายนอกตรวจสอบ ? ทั้งทางวิชาการการใช้เงินมีใครที่ได้รับเงินไปบ้าง ? Cr: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์ เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง ju_ju!! หัวข้อ: Re: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์ เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ มิถุนายน 03, 2024, 08:59:52 am โค๊ด: https://www.facebook.com/reel/1689957125081153 Cr: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ผลกระทบของวัคซีนลักษณะ เหมือนกับติดเชื้อโควิด แต่รุนแรงและเนิ่นนาน และถ้ามีภาวะลองโควิดด้วย จะซ้ำซ้อนกับวัคซีนทำให้อาการไม่หาย เป็นได้ทั้งหลังฉีดใหม่ๆ และที่เกิดขึ้นภายใน ระหว่างสามอาทิตย์ถึงสามเดือน และต่อเนื่องเป็นระยะยาวนานไปเป็นปี ผลกระทบประเมินได้ว่าอาจจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง หรือปะทุระยะหลังหรือเป็นๆหายๆ ในระหว่าง อย่างน้อย 10 ปี เพราะวัคซีน modified mRNA ถูกปรับแต่งให้มีความเสถียรไม่ถูกทำลาย และฝังตัวจากการที่อยู่ในอนุภาคนาโนไขมัน เข้าไปในทุกส่วนของร่างกายและบังคับให้สร้างโปรตีน หนาม ซึ่งเป็นภัยต่อเนื้อเยื่อพร้อมกับล่อให้เกิดการอักเสบไปพร้อมกัน และมีความสามารถเหนี่ยวนำ ส่วนประกอบโปรตีนของมนุษย์ ให้กลายเป็นโปรตีนพิษ (misfolded protein) ในเนื้อเยื่อและหลุดออกมาในเลือด และน้ำเหลืองกลายเป็นแท่งย้วย ซึ่งส่วนสำคัญเป็น โปรตีนอมิลอยด์ ไม่ละลายน้ำ ทนการทำลาย แม้กระทั่งเอ็นไซม์ ที่ใช้ย่อยโปรตีน และก่อให้เกิดสมองเสื่อมได้ รวมทั้งความผิดปกติ ในหลอดเลือดและน้ำเหลือง นอกจากนั้นจากการที่วัคซีนมีการปนเปื้อน ด้วยดีเอ็นเอและยีนส์ ทำให้สามารถเสียบเข้าไปในดีเอ็นเอของมนุษย์ และที่พิสูจน์แล้วคือเข้าไปในโครโมโซมที่ 9 และ 12 นอกจากนั้นยังสามารถออกมาได้ในน้ำนม และสามารถถ่ายทอดจากแม่ผ่านรก เข้าไปในเด็กทารกได้ ผลกระทบแยกตามกลุ่มอาการได้เป็น Neuropsychiatric คือสมองอารมณ์และจิตใจ สมองอักเสบฟั่นเฟือน โรคจิต หดหู่ ซึมเศร้าสมองเสื่อมก่อนวัย นอนไม่หลับ รวมทั้งทางเพศและประจำเดือนผิดปกติ Neuromuscular คือความแปรปรวนของเส้นประสาทมีเจ็บ ชาอ่อนแรง ได้ตั้งแต่หน้าอัมพาตครึ่งซีก หูดับ หูมีเสียงดัง แขนขาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง หรืออ่อนแรงทั้งหมด ปัสสาวะไม่ได้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ตะคริว Proinflammatory คือการอักเสบที่เกิดขึ้นที่เห็นได้ตั้งแต่ผมร่วงเป็นย่อมหรือร่วงทั้งหัว ผิวหนังมีจุดมีเม็ดพุพอง อักเสบเส้นเอ็น ข้อ และความผิดปกติของ ระบบอื่นๆซึ่งรวมทั้งกระเพาะอาหารและลำไส้ แปรปรวน ที่สำคัญอีกประการ คือระบบภูมิคุ้มกัน อ่อนแอ ที่คอยสู้กดหัวไวรัสไว้ ดังนั้น มีเริม งูสวัด เกิดซ้ำแล้ว ซ้ำอีก คนที่ได้รับผลกระทบมีอาการมากหลายลักษณะเช่นนี้ จะถูกระบุว่าเป็นโรคประสาทโรคจิตได้รับยาหดหู่ ซึมเศร้า ยาโรคจิต ทำงานไม่ได้ออกจากงาน และหลายคนถึงกับพยายามปลิดชีวิตตนเอง ปัจจุบัน ยังมีการให้บุคลากรสาธารณสุขฉีดวัคซีน รวมทั้งในคนที่เปราะบาง 608 ซึ่งถ้าฉีดวัคซีนไปแล้ว เกิดตายก็จะระบุว่าเพราะมีโรคประจำตัวเลยต้องเสียชีวิต เป็นเรื่องที่ได้ยินมาตลอด ทางการมีความจำเป็นต้องรับข้อมูลจากคนป่วยโดยตรง ควบรวมกับข้อมูลวิทยาศาสตร์ ที่อธิบายกลไกเหล่านี้ เปิดใจ ฟังคนป่วย บ้างครับ เราเป็นหมอ ไม่ใช่ดูตำรา ฟังบริษัทอย่างเดียว ออกกำลัง แดด เข้าใกล้มังสวิรัติ ผักผลไม้ (2:1) วันละครึ่งกิโล (ผัก-ผลไม้ มีสารปนเปื้อนมาก ล้างทำความสะอาด ให้ดีก่อนนำมากิน) งดสัตว์บก ทานปลาได้ ping! หัวข้อ: Re: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์ เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ มิถุนายน 06, 2024, 10:00:16 am วัคซีนโควิดกับการเกิดมะเร็ง (ตอนที่ 1).
ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา 2 มิถุนายน 2567 รายงานจนกระทั่งถึงปลายเดือนเมษายน 2024 ตอกย้ำความเชื่อมโยงของวัคซีน mRNA กับอัตรา ตายสูงขึ้นอย่างผิดปกติ (statistically significant increases) ของมะเร็งทุกชนิดโดยเฉพาะในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen- related cancers) ตามหลังการระดมฉีดเข็มสาม รายงานจากประเทศญี่ปุ่นในวันที่แปดเมษายน 2024 ในวารสาร Cureus ในเครือเนเจอร์ โดยที่เป็นการรายงาน ประเมินผลกระทบ ของการระบาดโควิดในประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ อัตราการตายของมะเร็ง 20 ชนิดในประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ข้อมูลของทางการที่เกี่ยวข้องกับการตาย การติดเชื้อโควิดและการฉีดวัคซีนโควิด โดยเป็น การปรับตัวแปรในช่วงอายุต่างๆ (age adjusted mortality) ผลที่ได้ถือเป็นการค้นพบ ที่น่าตกใจ ในช่วงหนึ่งปีแรกของการระบาดโควิด ไม่พบการตายที่เกิดจากมะเร็งที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ (excess cancer deaths) แต่การตาย กลับเพิ่มขึ้นโดยแปรตามการฉีดวัคซีนโควิด ประเทศญี่ปุ่นมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงที่สุด และในปี 2024 กำลังระดมการฉีดวัคซีนโควิด เข็มที่เจ็ด โค๊ด: https://www.cureus.com/.../196275-increased-age-adjusted... การระดมฉีดทั้งประเทศญี่ปุ่นเริ่มในปี 2021 และเริ่มเห็นตัวเลขของการตายจากมะเร็งเพิ่มขึ้น คู่ขนานไปกับการฉีดฉีดวัคซีนเข็มที่หนึ่งและเข็มที่สอง หลังจากที่มีการฉีดเข็มที่สามในปี 2022 พบว่ามีการตายจากมะเร็งที่เกิดขึ้นอย่างผิดปกติ ในมะเร็งทุกชนิดและโดยเฉพาะกับ มะเร็งที่ไวหรือตอบสนองต่อ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่เรียกว่า estrogen and estrogen receptor alpha( ERalpha)-sensitive cancers โดยรวมทั้งมะเร็งรังไข่ มะเร็งเม็ดเลือดขาว ต่อมลูกหมาก มะเร็งริมฝีปาก ช่องปาก ช่องลำคอ มะเร็งตับอ่อนและมะเร็งเต้านม สำหรับมะเร็งเต้านมนั้นในช่วงระยะเวลาปี 2020 พบการตายจากมะเร็งเต้านมลดลง แต่แล้วเปลี่ยนมาเป็นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ในปี 2022 พร้อมกับการระดมฉีดทั่วประเทศของวัคซีนเข็มที่สาม มะเร็งตับอ่อนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นคงที่ก่อนหน้าระบาดโควิด และมะเร็งอีกห้าชนิดมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตามมะเร็งหกชนิดยังมีการตาย เพิ่มกว่าที่คาดการณ์ไว้ในในปี 2021 ในปี 2022 หรือในช่วงระยะเวลาทั้งสองปี ยิ่งไปกว่านั้น มะเร็งสี่ชนิดซึ่งมีการตายสูงอยู่แล้ว ได้แก่มะเร็งปอด ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งตับ ซึ่งมีการตายลดลงก่อนปี 2020 แต่เมื่อเริ่มมีการใช้วัคซีนนั้น อัตราการตายกลับไม่ลดลงมาก ดังก่อนมีการระบาด อัตราตาย ของมะเร็งที่พุ่งขึ้นทั้ง ๆ ที่ ก่อนหน้าการระบาดของโควิด ในช่วงระหว่างปี 2010 ถึง 2019 ในประเทศญี่ปุ่น พบว่าการตายจากมะเร็งมีแนวโน้มลดลงในทุกอายุ ยกเว้นที่อายุ 90 หรือสูงกว่า 90 ปี และแม้แต่ในปี 2020 ช่วงที่ยังไม่มีการระดมฉีดวัคซีน และมีการระบาดของโควิดแล้ว อัตราการตายจากมะเร็งก็ยังลดลง ในช่วงแทบทุกอายุยกเว้นช่วงอายุ 75 ถึง 79 ปี ในปี 2021 เริ่มเห็นแนวโน้มในอัตราการตายของมะเร็งที่สูงขึ้น และสูงขึ้นต่อเนื่องจนกระทั่งถึงในปี 2022 ในช่วงทุกอายุ ในปี 2021 มีอัตราตายเพิ่มขึ้นจากทุกสาเหตุ อย่างมีนัยสำคัญ 2.1% และ 1.1% สำหรับการตายที่เกิดจากมะเร็ง ในปี 2022 การตายจากทุกสาเหตุกระโดดขึ้นเป็น 9.6% และสำหรับมะเร็งสูงขึ้นเป็น 2.1% การศึกษานี้ได้แยกแยะตามอายุและพบว่า จำนวนการตายจากมะเร็งทุกชนิดจะสูงสุดในช่วงอายุ 80 ถึง 84 ปี ซึ่งประชากรในกลุ่มนี้มากกว่า 90% ได้รับวัคซีนสามเข็ม และวัคซีนที่ได้รับนั้นเกือบ 100% เป็น mRNA และ เป็นไฟเซอร์ 78% โมเดนา 22% คณะผู้รายงานยังได้เพ่งเล็งประเด็นของการตาย จากมะเร็งดังกล่าวที่ อาจจะมาจากสาเหตุที่มีการ คัดกรองมะเร็งน้อยลง และ การเข้าถึงการรักษาได้จำกัด ในช่วงที่มีการล็อคดาวน์ แต่อย่างไรก็ตาม คณะผู้รายงานระบุว่า ไม่สามารถอธิบาย การกระโดดขึ้นของการตายโดยเฉพาะ ในมะเร็งหกชนิดในปี 2022 ซึ่งไม่มีข้อจำกัด ในการคัดกรองมะเร็งและการรักษาแล้ว และมะเร็งที่มีอัตราตายสูงขึ้น จะตกอยู่ในกลุ่มที่เป็น ERalpha-sensitive ทั้งนี้ สามารถอธิบายได้จากกลไกหลายอย่างของวัคซีน mRNA ซึ่ง อยู่ในอนุภาคนาโนไขมัน มากกว่าที่จะอธิบาย จากการติดเชื้อโควิดหรือการที่มีการรักษาลดลงในช่วงล็อกดาวน์ นักวิทยาศาสตร์วิจัยอาวุโส ของ MIT Stephanie Seneff ได้ให้ความเห็นว่ารายงานดังกล่าวชี้ชัดเจนในข้อมูล ทางระบาดวิทยาซึ่งสามารถเชื่อมโยงอัตราตายที่สูงขึ้น ของมะเร็งหลายชนิดและการที่ได้รับวัคซีนหลายเข็ม ทั้งนี้โดยที่ได้เคยให้ความเห็น ก่อนหน้านี้แล้วโดยยึดถือพื้นฐานกลไกทางวิทยาศาสตร์ ทางด้านระบบภูมิคุ้มกันว่าวัคซีนควรจะมีความ เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง โดยที่วัคซีนนั้นทำให้ระบบการตรวจตราเฝ้าระวัง และป้องกันการเกิดมะเร็งนั้นถดถอยลง โดยเฉพาะในระบบ ที่เรียกว่า innate immunity และความบกพร่องห่วงโซ่ ในระบบภูมิคุ้มกัน ที่นำไปถึงการติดเชื้อโรคได้ง่ายขึ้น และมีโรคภูมิคุ้มกันแปรปรวนทำร้ายตัวเองมากขึ้น และทำให้มะเร็งมีการเติบโตแพร่กระจายได้เร็ว ก่อมะเร็ง แล้วมาทำเงินจากยารักษามะเร็ง โค๊ด: https://youtu.be/6YrzOa32mgI Cr: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha หัวข้อ: Re: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์ เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ กรกฎาคม 16, 2024, 09:34:44 am กระจกเงา
พ่อเป็นปลัดกระทรวงสาธารณสุข เส้นเลือดแตกในสมอง ขณะตรวจราชการที่หาดใหญ่ ชัดเจน วันแรก อาทิตย์แรก เดือนแรก เดือนที่สอง จากคนมาเยี่ยมล้นหลามหน้าไอซียู จนเหลือแต่ครอบครัวและคนใกล้ชิด หมอวิ่งเล่นที่ วังเทวะเวสม์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกระทรวงสาธารณสุขเดิมตั้งแต่เด็ก เห็นวิธีปฏิบัติตัวของข้าราชการในกระทรวง ต่อคนที่มีตำแหน่งสูง ดูแปลกๆๆ ตามสายตาเด็ก ทำไมต้อง พินอบพิเทาขนาดนั้น จบงาน กลางวัน พ่อก็มาทำคลินิกส่วนตัว เล็กๆ ซึ่งเป็นคูหาเดี่ยว ยศเส เพื่อเป็นรายได้ให้ครอบครัว เพราะเงินราชการไม่พอ แต่ พ่อและแม่ ก็ดูมีความสุขดี ตอนพ่อโคม่า หมอเป็น นิสิตแพทย์ปีสองยังไม่ได้ดูคนไข้ ยังพูดกับแม่ว่า ตอนที่ นักธุรกิจ เอาเงินใส่ลังมาให้ที่บ้านและพ่อไล่ออกไป แล้วบอกว่าจะฟ้องตำรวจ หมอพูดว่า ถ้ามีซักลังนึง น่าจะไม่ลำบากถึงขนาดนี้ นะ ทุกคนในครอบครัวซึ่งเหลือสามคน คือ แม่ หมอและพี่สาวหมอ มองหน้ากันแล้วหัวเราะ คงคิดกันในใจว่า แล้วเวลาเรา ดูกระจกเราเห็นใครในกระจก นี่น่าจะเป็นเหตุผล ที่หมอทำงานหมอ งาน วิทยาศาสตร์ วิจัย ไม่ยุ่งกับตำแหน่งบริหาร หัวโขน ที่มีคนยกยอปอปั้น มีผลประโยชน์เข้าล่อ อย่างที่เห็นกันในปัจจุบันมากมาย ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ถ้าเราคนไทย และข้าราชการ นักการเมือง ดูกระจก และมองหน้าตัวเองได้อย่างภาคภูมิใจ รับรองเราเกิดมาไม่เสียชาติเกิด ศาสตราจารย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha +ของแทร่ หัวข้อ: Re: ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์ เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ กรกฎาคม 26, 2024, 09:08:29 am แช่น้ำร้อน 40 องศา ซ้ำๆ ช่วยเบาหวาน
บทความนี้คล้องจองกับที่หมอเคยนำเรียนมาก่อนหน้านี้ ในคอลัมน์สุขภาพหรรษาไทยรัฐ ที่ว่าอบร้อนซาวน่า สมองใส ทั้งนี้โดยที่ความร้อนขนาด 50 องศาขึ้นไป โดยที่มีความชื้นอยู่ด้วยที่เรียกว่าเป็น wet heat มีความสามารถที่ทำให้โรงพลังงานของเซลล์คือไมโตคอนเดรีย สามารถที่จะคลายกระจุกของโปรตีนบิดเกรียวที่เป็นพิษต่อเซลล์ และถ้าแก้ไขไม่ได้จะมีผลที่ทำให้โรงพลังงานต้องทำงานหนักขึ้น และเซลล์อายุสั้น รายงานนี้เป็นการศึกษาในคนที่เป็นเบาหวานชนิดที่สอง โดยจากคณะทำงานนำโดยคุณหมอ Anthony Shepherd จาก faculty of Science and Health, University of Portsmouth ประเทศ อังกฤษ ในวารสาร American Journal of physiology (Endocrinology and metabolism) 8 พฤศจิกายน 2023 ที่มาของการศึกษานี้ ก็เนื่องจากว่ามีข้อมูลอยู่พอสมควรว่า การแช่น้ำร้อนนั้นจะทำให้การควบคุมการใช้พลังงาน น้ำตาลในคนปกติ ดีขึ้นแต่อย่างไรก็ตามข้อมูล ยังค่อนข้างจำกัดในคนที่เป็นเบาหวานแล้ว โดยภาวะเบาหวานจะมีลักษณะ เฉพาะตัว ก็คือมีการอักเสบในร่างกายทั้งระบบและมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้เกิดสภาพของอินซูลินเกินในเลือดอย่างเรื้อรัง และมีระดับน้ำตาลสูงลอย ผลของการที่มีน้ำตาลสูงในเลือดอยู่ตลอด ทำให้เกิดเป็นโรคของเส้นเลือดฝอยและเส้นเลือดขนาดกลางและใหญ่ และส่งผลให้ระบบอวัยวะทุกส่วนเสียหาย การรักษาในปัจจุบันมีเป้าประสงค์ก็คือเพื่อเพิ่มภาวะไวต่ออินซูลินให้ดีขึ้น เพื่อทำให้การควบคุมน้ำตาลดีขึ้นซึ่งต้องมีกระบวนการของการออกกำลัง การควบคุมการกินอาหาร และการใช้ยาชนิดต่างๆ แต่ที่ไม่ประสบผลสำเร็จก็คือคนป่วยไม่สามารถควบคุมการบริโภคอาหาร และไม่สามารถที่จะออกกำลังได้อย่างสม่ำเสมอ และการใช้ยาก็จะมีปริมาณ ชนิดและขนาดมากขึ้น เป็นเงาตามตัวซึ่งจะมีผลข้างเคียงตามมา ผลของการแช่น้ำร้อนเป็นระยะเวลานาน ยกตัวอย่างเช่น ปฏิบัติเป็นเวลา 12 อาทิตย์ในหนูทดลองปรากฏว่า ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและระดับของอินซูลินในเลือดลดลง ทั้งเมื่อวัดหลังอดอาหารและหลังให้อาหาร และทำให้ภาวะไวต่ออินซูลินดีขึ้น การแช่น้ำร้อนดังกล่าวยังได้ผลเช่นกันในผู้ใหญ่ที่อ้วน แต่ไม่ได้เป็นเบาหวานโดยการแช่น้ำร้อน 10 ครั้ง ในช่วงระยะเวลาสองอาทิตย์หรือสามครั้งต่ออาทิตย์เป็นเวลาหกอาทิตย์ การศึกษาที่ผ่านมาในคนที่เป็นเบาหวานแล้วนั้น เท่าที่มีรายงานโดย Hooper และคณะ จะแช่น้ำร้อนเป็นเวลา 30 นาที ถึงระดับลึกถึงหัวไหล่ทั้งหมด 18 ครั้งในช่วงระยะเวลาสามอาทิตย์ และพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดทั้งอดอาหารและค่าน้ำตาลสะสมลดลง ดังนั้นในการศึกษานี้ จะเป็นการพิสูจน์ว่าดีจริงหรือไม่ โดยการแช่น้ำร้อนซ้ำๆและวิเคราะห์ ที่ละเอียดมากขึ้น ทั้ง อดอาหาร และหลังอาหาร ถึงภาวะความไวต่ออินซูลิน ภาวะการอักเสบและจะมีผลต่อ eHSP70 (extra cellular heat shock protein 70) และอัตรา การเผาผลาญขณะพัก ( resting metabolic rate หรือ RMR) หรือไม่ สำหรับกลไกของการแช่น้ำร้อนซ้ำๆนั้น อาจอยู่ที่ความร้อนอาจจะสามารถลดภาวะการอักเสบเรื้อรัง โดยเพิ่ม heat shock protein 72 ในเนื้อเยื่อไขมันซึ่งมีผลในการลด inflammatory transcription factors และกระตุ้น ให้มีการใช้กลูโคสมากขึ้นจากอินซูลิน ทั้งนี้โดยที่พิสูจน์แล้วว่าในภาวะเบาหวานนั้น จะมีระดับของ heat shock protein ในเซลล์ต่ำ และเกิดเป็นกระบวนการอักเสบจนถึงดื้ออินซูลินตามลำดับ การได้รับความร้อนในลักษณะนี้ยังเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในกล้ามเนื้อ และทำให้มีการเพิ่มของ endothelial nitric oxide synthase ในเส้นเลือดและทั้งในเส้นเลือดฝอยซึ่งมีผลดีต่อการลดการอักเสบ ตลอดจนเพิ่มความไวต่ออินซูลิน และการได้รับความร้อนซ้ำๆอยู่เป็นระยะเวลานาน จะกระตุ้นให้มีปริมาณน้ำในกระแสเลือด เพิ่มขึ้น เหมือนกับการฝึกฝน การออกกำลังให้ทนขึ้น มีภาวะอัตราการเผาผลาญขณะพักลดลง และช่วยในการควบคุมน้ำหนักและประสิทธิภาพ ของการทำงานของหัวใจและปอด ในการการศึกษานี้การแช่น้ำร้อน คือการใช้อุณหภูมิของน้ำที่ 40 องศา แช่เป็นระยะเวลา 1 ชั่วโมง ทั้งนี้โดยวัดอุณหภูมิของร่างกาย ทางทวารจะอยู่ที่ 38.5 ถึง 39 องศา และทำซ้ำแปดถึง 10 ครั้ง ภายในระยะเวลาช่วง 14 วัน การศึกษามีผู้ที่เป็นเบาหวานทั้งหมด 14 ราย โดยที่ไม่มีโรคของเส้นประสาทส่วนปลายอย่างรุนแรง ไม่มีความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้คือเกินกว่า 180 ตัวบนและ 100 ตัวล่าง และไม่มีโรคของเส้นเลือดหัวใจตีบตันหรือเส้นเลือดสมองตีบตัน และไม่มีภาวะทางหัวใจอย่างอื่นที่จะกระทบกับการศึกษานี้ การศึกษานี้ยังได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการจริยธรรม London Queensquare NHS research ethics committee และ Health research authority และ ลงทะเบียนใน ClinicalTrials website ผู้เข้าร่วมการศึกษาอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 65 ปีและเป็นผู้หญิงและผู้ชายใกล้เคียงกัน มีส่วนสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 1.68 เมตรและน้ำหนักตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 85 กิโลกรัม โดยดัชนีมวลกายเฉลี่ยอยู่ที่ 30.0 และก่อนที่จะเข้าการศึกษานั้นมีค่าน้ำตาลสะสมเฉลี่ยอยู่ที่ 8.2 และเป็นเบาหวานมานานประมาณ 10 ปีทั้งนี้โดยที่ได้รับยาเบาหวานชนิดต่างๆ รวมกระทั่งถึงยาลดไขมันและยาลดความดัน ด้วยแต่ความดันทั้งตัวล่างและตัวบนอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ และการวิเคราะห์มีทั้งก่อนและหลังปฏิบัติการ ค่าที่วิเคราะห์จะทำทั้งภาวะที่อดอาหารมากกว่าหรือเท่ากับ 12 ชั่วโมง และ 2 ชั่วโมงหลังจากที่ให้กินกลูโคสในปริมาณ 75 กรัม กระบวนการศึกษาวิจัยการแช่น้ำร้อนการควบคุมอุณหภูมิ จนให้อุณหภูมิในแกนในของร่างกายจากการวัดทางทวาร อยู่ในมาตรฐานและการมอนิเตอร์ต่างๆนั้น สามารถหาอ่านรายละเอียดได้ในวารสารฉบับดังกล่าว ผลที่ได้รับจากการแช่น้ำร้อนดังกล่าวซ้ำๆ ในช่วง 14 วัน ปรากฏว่า ขณะที่อดอาหารภาวะไวต่ออินซูลินดีขึ้น และระดับของอินซูลินในพลาสม่าลดลง แต่ระดับน้ำตาลหลังอดอาหาร ระดับ eHSP70 และ ค่า IL-6 และ -10 กับ ภาวะไวต่ออินซูลิน หลังอาหารระดับน้ำตาลในเลือดและระดับอินซูลินในเลือดไม่ต่างกัน แต่อัตราการเผาผลาญ ขณะพักจะลดลง 6.63% แม้ว่าอัตราของ oxidation ของแป้งและไขมันจะอยู่ในระดับเดิม ผลของการศึกษาที่แสดงในขณะที่อดอาหาร มีความไวต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น โดยระดับอินซูลินในเลือดลดลงนั้น รวมทั้งทำให้ประสิทธิภาพของการเผาผลาญดีขึ้น หรือมีการลดอัตราการเผาผลาญในขณะพัก แสดงให้เห็นถึงความมีประโยชน์ของการแช่น้ำร้อนดังกล่าว และในอนาคตอาจจะนำไปประยุกต์ใช้ในการ เพิ่มสุขภาวะโดยเฉพาะในคนที่เป็นเบาหวาน แต่ที่ต้องท่องการให้ขึ้นใจก็คือการแช่น้ำร้อน จนกระทั่งถึงการอบซาวน่าอย่างที่ได้เคยกล่าวไปแล้วนั้น แท้จริงเป็นตัวช่วยซึ่งที่ต้องปฏิบัติจริงก็คือ เรื่องของอาหารการกิน ซึ่งถ้าอยากที่จะมีชีวิตยืนยาว ไม่เป็นภาระต่อคนอื่นโดยพึ่งตนเองได้ ต้องพยายามเข้าใกล้มังสวิรัติ ลดแป้ง น้ำตาลของหวานขนม กินผัก ผลไม้กากใย ออกกำลัง กรุณาอย่านั่งแฉะแบะ เห็นแดดก็ออกไปตากบ้างเพราะแดดมีคุณค่า ต่อชีวิตซึ่งไปปรับยีนส์ ที่เป็นเทวดาอารักษ์ ของเซลล์ต่างๆ ให้ยืนยาว ศ นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ------------------------------------------------------------------ อบร้อนซาวน่า.. สมองใส ออกตัวไว้ก่อนนะครับ ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องชาวน่า อบร้อน ออนเซ็น แต่ทั้งนี้ เป็นรายงานจากคณะผู้วิจัยของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (รายงานใน วารสาร เนเจอร์ ปี 2022) ที่ได้ทำการศึกษา ผลของความร้อนที่สูงกว่าปกติที่มนุษย์มีกัน คือ สูงกว่า 37 องศาเซลเซียส กลับมีประโยชน์ช่วยคลี่ โปรตีนที่ทำท่าจะบิดเกลียวและ รวมถึง ที่บิดผิดปกติไปแล้ว จนกลายเป็นขยุ้มและจะเกิดผลร้ายต่อเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสมองเสื่อม ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยยังได้กล่าวโยงไปถึงการศึกษาหลายชิ้นที่มีมาก่อน ของผู้คนในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย โดยมีการสังเกตว่า คนที่ใช้ซาวน่า เป็นประจำ ซาวน่าช่วย ทำให้ความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมลดลง ปกติแล้ว ในเซลล์ของมนุษย์ที่จะคงอยู่ได้ ไม่ตายหรือ ตายช้า และยังทำงานได้อย่างสดใสสมบูรณ์ เนื่องจาก มีกลไกในการปรับสภาพ เมื่อเผชิญกับความเครียดหรืออันตราย และแม้แต่การที่มีการบุกรุกล้ำ โดยเชื้อโรค ทั้งนี้ในเซลล์จะมี ห้องฉุกเฉิน (กล่าวอุปมา) หรือ ER ซึ่งห้องฉุกเฉินนี้คือส่วนที่เป็น Endoplasmic reticulum และเมื่อรับสัญญาณอันตราย ก็จะส่งต่อไปยังโรงพลังงาน ไมโตคอนเดรีย (Mitochondria) ซึ่งอยู่ในเซลล์เช่นกัน โดยต่อมา ทำให้มีการปรับสภาพให้พอเหมาะ รวมทั้ง ในการทำให้มีขนาดที่เหมาะสม (fission และ fusion) ในการปฏิบัติหน้าที่ รวมไปจนกระทั่งถึง การปรับตัวให้อยู่ในสภาวะจำศีลเมื่อคับขัน ใช้พลังงานประหยัดมัธยัสถ์ และรีไซเคิลขยะ ตลอดจน ส่งสัญญาณในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อที่รุกล้ำ (autophagy และ immune signaling) และส่งสัญญาณ ในการปรับสภาพอินซูลินในสมอง ที่ป้องกันความเสื่อมของสมอง และที่ขาดไม่ได้คือระบบ UPR signaling หรือ กลไก unfolded protein response ที่ตอบสนองต่อโปรตีนที่สร้างขึ้นมาและผิดปกติ ในสภาวะปกติ และ เมื่อเผชิญอันตรายและความเครียดทั้งหลาย โปรตีนที่สร้างในเซลล์นั้นจะมีการพับ ซึ่งก็เป็นกลไกตามธรรมชาติ โดยต้องมีการดูแล ไม่ให้มีโปรตีนที่บิดเกลียวผิดปกติ (misfolded protein) และขัดขวางการทำงานของเซลล์ โดยมีการจับกลุ่มก้อน (aggregates) ซึ่งเป็นพิษต่อเซลล์ ดังนั้นจะต้องถูกขจัดทำลาย ไปให้หมด จนถึงศูนย์ได้ยิ่งดีใหญ่ (Zero aggregation) หรือ พยายามที่จะแก้เกลียว ให้กลับคืนเป็นโปรตีนที่ดี โดยขณะนั้น มีการปรับลดการสร้างโปรตีนไปชั่วคราว พร้อมกับ มีการกระตุ้นตัวช่วย เช่น โปรตีนพี่เลี้ยง (chaperones) และโดยที่ ในที่สุดต้องมีการควบคุมคุณภาพของโปรตีนที่สร้างขึ้น การค้นพบ พี่เลี้ยงที่สำคัญตัวหนึ่ง คือ cytosolic Hsp 70 หรือ heat shock protein 70 โดยมีหน้าที่ช่วยแก้ไข เสริมเติม กลไกควบคุมคุณภาพของโปรตีน แต่ทั้งนี้ ในเวลาที่ผ่านมานั้น ยังไม่ชัดเจนว่าตัวพี่เลี้ยงนี้ หรือมีตัวอื่นใด เข้าไปทำงานประกบกัน ที่ ER ด้วย หรือไม่ และผลของการศึกษาต่อมา พบว่ามี Hsp ที่เรียกว่า BiP ใน ER ที่ทำหน้าที่นี้ด้วย ความสำคัญของรายงานนี้ อยู่ที่การเกิดปรากฏการณ์ที่ไม่คาดคิดว่า เมื่อเผชิญกับความเครียด ซึ่งในที่นี้ ก็คือการให้เซลล์ถูกความร้อน แต่ผลที่ได้นั้น แทนที่จะเกิดโปรตีนบิดเกลียว จนกลับเป็นกลุ่มก้อน โดยกลไกต่อสู้ตามธรรมชาติสู้ไม่ไหว เอาไม่อยู่ กลับพบว่า สู้ได้สบายมาก ทั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการทำลายโปรตีนผิดรูป ดังกล่าว อย่างตรงไปตรงมา หรือขจัดทิ้งออกไปจากเซลล์ แต่กลับคลี่ เกลียว ของขยุ้มโปรตีน (disaggregation) และ กลับทำให้เกิดมีการม้วนแบบปกติขึ้น และทำให้กระบวนการสมดุลย์ ของระบบโปรตีน (proteostasis) มีความเสถียรขึ้นไปอีก โดย โปรตีน BiP การศึกษานี้ออกแบบ โดย สามารถมองเห็นภาพปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ในเซลล์ที่มีชีวิตได้จริงๆ ในแต่ละเสี้ยวเวลาในเสกลเป็นนาโนของวินาที ดังนั้น พอจะเห็นหรือนึกภาพออกได้แล้วว่า การอบร้อนซาวน่า ที่ทำให้รู้สึก สบายตัว สมองโล่งแท้จริงแล้ว เริ่มสามารถพิสูจน์ได้โดยวิทยาศาสตร์ทางสมอง ทั้งนี้ ซาวน่า คือ การอบตัวด้วยอุณหภูมิประมาณ 65 ถึง 90 หรือสูงถึง 100 องศาเซลเซียส โดยแหล่งกำเนิดความร้อนมีได้หลายรูปแบบ ทั้งการเผาท่อนไม้ ใช้เครื่องทำความร้อนด้วยวิธีต่างๆ แต่ที่คนที่ไปทำซาวน่า ไม่ได้ตัวสุก ผิวหนังลวกเป็นตุ่มพุพอง นั้น เกิดจากการที่ ในห้องซาวน่าจะมีความชื้นเต็มเปี่ยม จนกระทั่งถึง 100% ดังนั้นอุณหภูมิที่สัมผัสจะกลายเป็นระดับอยู่ที่ มนุษย์เรารับได้ประมาณ 50 องศา การอบซาวน่าเข้าใจว่ามีที่มา แถบสแกนดิเนเวีย เช่น ประเทศฟินแลนด์ สวีเดน แต่เป็นที่แพร่หลายทั่วโลกไม่ใช่ แต่ในยุโรป แต่ทั้งในเอเชีย ในประเทศจีน ญี่ปุ่น นัยว่า ประเทศไทยเองนั้น ในสมัยก่อน สำหรับสตรีที่คลอดลูกใหม่ๆ มีการเข้ากระโจมร้อน อบสมุนไพร ถือ เป็นประเพณีที่ต้องทำติดต่อกันมา แต่ดูว่า ไม่ค่อยมีใครทำแล้วในปัจจุบัน ทั้งนี้ จากหลักฐานที่พบ คงเป็นเครื่องแสดงว่า ที่คนสมัย ปู่ ย่า ตา ทวด ทำมานั้น น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะขณะที่สตรีคลอดไปแล้ว จะเผชิญกับความเครียดมหาศาล และร่างกายต้องการซ่อมแซม ดังนั้นอาจจะเป็นวิธีอีกทางหนึ่ง ที่ทำให้ฟื้นกลับตัวเร็วขึ้น ถึงตรงนี้แล้ว คงต้องศึกษา การอบซาวน่าให้ดีก่อนปฏิบัติด้วย เพราะจะเป็นการเสียเหงื่อ น้ำ และเกลือแร่ ในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นควรต้องมีการประเมิน สภาวะทางหัวใจและหลอดเลือด ยาที่รับประทานเป็นประจำ เพื่อหาซาวน่าที่เหมาะสม ทั้งใน ด้านอุณหภูมิระยะเวลาที่เข้า และจะทำถี่ บ่อยเพียงใด เพื่อให้มีความปลอดภัยสูงสุด แต่ในขณะเดียวกันได้ความสดชื่นและสมองสดใสด้วยครับ ศ. นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ping! |