หัวข้อ: ครั้งหนึ่งในชีวิตของ พนม ช่อจันทร์ เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ มกราคม 07, 2024, 08:43:19 am (https://img5.pic.in.th/file/secure-sv1/S__116867204.jpeg)
"... วิธีที่เราสามารถทำเพื่อในหลวงได้ดีที่สุด ก็คือทำความดี เป็นความดีอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ หรืออยู่ใกล้ชิดท่าน ผมว่านี่เป็นวิธีที่ง่ายแล้วก็ดีที่สุดแล้ว ..." . พนม ช่อจันทร์ เป็นเพียงแค่ชายแก่ธรรมดาๆ ฐานะยากจนแห่ง บ้านเขาเต่า อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ซุกหัวนอนของเขาเป็นเพียงบ้านไม้เก่าคร่ำ สภาพไม่ต่างอะไรจากบ้านเศษไม้ผุพังในชุมชนแออัด ใครเลยจะนึกว่าชายแก่ผู้มีอาชีพเป็นชาวประมงพื้นบ้าน และรับจ้างเก็บเศษเหล็กไปวันๆอย่างเขา จะมีโอกาสได้รับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว . เขาหลับตานึกย้อนเวลากลับไปเมื่อร่วม ๕๐ ปี ก่อน เมื่อครั้งที่พนมยังเป็นนักเรียน ชั้น ป.๔ บ้านเขาเต่า เป็นชุมชนเล็กๆของชาวประมง และชาวบ้านยากจน แต่กลับโชคดีกว่าชุมชนใด เนื่องเพราะในหลวงมักจะเสด็จฯ มาเป็นการส่วนพระองค์อยู่เนืองๆ และทุกครั้งจะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งมาเพียงลำพังพระองค์เอง และไม่มีหมายกำหนดการใดๆ . สภาพเส้นทางที่ทุรกันดารเป็นหลุมเป็นบ่อ บ่อยครั้งทีเดียวที่รถยนต์พระที่นั่งจะตกหลุม ติดหล่ม บนเส้นทางที่เรียกว่า ทุ่งตะกาด . "ในสมัยก่อนตอนที่ยังไม่สร้างอ่างเก็บน้ำทุ่งตะกาด มันจะเป็นที่ดินกว้างๆ และที่ดินบางส่วนเป็นขี้เลน ผมรู้จักทางดี เพราะว่าต้องมาช่วยพ่อแม่เลี้ยงวัวที่นี่บ่อย" . พนมเป็นนักเรียนโข่ง ตกซ้ำชั้นอยู่หลายปี เมื่อตอนที่อยู่ ป.๔ เขามีอายุ ๑๖ ปีแล้ว เพื่อนร่วมห้องจบไปแล้วหลายต่อหลายรุ่น แต่พนมยังอยู่ที่เดิม และมัก จะขาดเรียนอยู่เป็นประจำ . "เราเป็นเด็กโข่ง เรียนไม่เก่งซ้ำชั้นเพื่อนอยู่หลายปี จำได้ว่าตอนอยู่ ป.๔ เพื่อนคนอื่น เขายังเด็กๆ กันอยู่เลย แต่เรานี่โตเป็นหนุ่ม อายุสิบห้าสิบหกแล้ว" . ด้วยความที่พรสวรรค์ทางสติปัญญาไม่เอื้ออำนวย ที่สิงสถิตของเด็กชายพนมจึงมักอยู่ตามหัวนา มีฝูงวัวเป็นเพื่อนแก้เหงาในแต่ละวัน . วันนั้นก็เช่นเดียวกันเด็กชายไม่ยอมไปโรงเรียน แต่กำลังออกไปเลี้ยงวัวในทุ่ง เหตุการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตก็เกิดขึ้นกับเด็กไม่รักดีอย่างเขา และเรื่องราวนั้นก็ประทับอยู่ในความทรงจำของเขาจวบจนทุกวันนี้ . "จำได้ว่าวันนั้นเกเรียน ไม่ยอมไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า จะว่าไปมันก็เป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ ผมเอาวัวออกมากินหญ้าแถวทุ่งตะกาดเหมือนทุกวัน กับเพื่อนอีกสองคนคือ นายรินทร์ วิไลรัตน์ กับ ท่านเจ้าอาวาสวัดเขาเต่า หลวงพ่อฮ้อ แสงพลอย ตอนนี้สองคนนี้เสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ . "ระหว่างที่กำลังเลี้ยงวัว และเล่นสนุกกันตามประสา ก็เหลือบไปเห็นรถจี๊ปสีเขียวคันหนึ่ง กำลังติดหล่มอยู่ในขี้เลน ผมกับเพื่อนๆ ก็เลยวิ่งเข้าไปช่วย" ตามประสาคนบ้านนอก เด็กชายทั้งสามวิ่งตื๋อลุยโคลนลงไปช่วยเข็นรถ . "เราไม่รู้หรอกว่าคนที่อยู่ในรถนั้นเป็นใคร รู้แต่ว่าเห็นคนเดือดร้อน เราก็ช่วยกันทั้งสามคนนั้นแหละ" . เด็กเลี้ยงวัวสามคนทั้งเข็นทั้งดันออกแรงกันเจียนตาย เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง แต่อนิจจา ล้อรถก็ไม่มีทีท่าว่าจะพ้นจากหล่ม หนำซ้ำยิ่งเร่ง ล้อก็ยิ่งจมหล่มลึกไปทุกที . "เรารุนกันอยู่ร่วมชั่วโมงกลางแดดเปรี้ยงๆ แต่ยิ่งรุนยิ่งเร่งเครื่องไปเท่าไหร่ ล้อรถก็ยิ่งจมลึกเข้าไปอีก สุดท้ายเราสามคนก็หมดแรง จึงตัดสินใจหยุดพักเอาดื้อๆ" . ท่ามกลางบรรยากาศกลางทุ่งอันร้อนระอุ เด็กเลี้ยงวัวเหงื่อโซมสามคนยืนพักเอาแรง ไม่สนใจแม้กระทั่งว่าตรงที่นั่งคนขับนั้นเป็นผู้ใด ทว่าไม่นานก็มีเสียงเสียงหนึ่ง ที่ทำให้ทั้งสามต้องหันมามองแทบจะพร้อมกัน . "อยู่ดีๆ ท่านก็ทรงยื่นแบงก์ใบละหนึ่งบาทมาให้ แล้วตรัสถามว่า 'หนูเคยเห็นคนนี้ที่ไหน' ผมก็ตอบว่า 'เคยเห็นแต่ในแบงก์ แต่ไม่เคยเห็นตัวจริง' ท่านเลยทรงถามกลับมาอีกว่า 'เหมือนเราไหม' ผมก็บอกไปว่า 'เหมือนครับ' . "คือผมยังไม่รู้หรอกว่าเป็นในหลวง ก็ตอบไปตามความเห็นของเราในตอนนั้น แต่พอสักพักพระองค์ท่านก็ทรงถอดพระมาลา พวกเราสามคนนี่อึ้งเลย เข่าอ่อนทรุดนั่งกลางเลน กราบพระองค์ท่านทั้งสามคน พระองค์ท่านก็ตรัสว่า 'ลุกขึ้นลุกขึ้นเถิด อย่านั่งเลยมันเลอะ' เราก็เลยลุกขึ้นทันทีตามพระบัญชา" . สิ่งที่ไม่คาดฝันของเด็กเลี้ยงวัวสามคน คือ การได้รับโอกาสรับใช้ในหลวง แต่แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ตราตรึงอยู่ในใจของทั้งสาม . จากนั้นพระองค์ท่านก็ทรงเห็นว่าเกินกำลัง จึงทรงพระอักษรสั่งความใส่แผ่นกระดาษ แล้วทรงมอบให้พนมนำไปส่งให้กับครูแล ที่โรงเรียนเทศบาลบ้านเขาเต่า เด็กชายรับเก็บใส่กระเป๋ากางเกงขาดๆ แล้วออกวิ่งตื๋อไปในทันที . ทว่าก่อนที่พระราชสาส์นสำคัญ จากองค์ในหลวงจะตกถึงมือครูแล เด็กชายก็ต้องชดใช้ความผิดที่หนีเรียนเสียก่อน . "พอเราไปถึงโรงเรียน ยังไม่ทันได้พูดอะไร ไม่ทันได้ยื่นจดหมาย ครูแลแกก็สั่งให้ไปหักกิ่งสะแกมาให้หนึ่งกิ่ง แล้วผมก็ต้องยืนกอดอก รับไม้เรียวที่ห้องพักครูโทษฐานที่หนีเรียน" โดนหวดอย่างจังไป ๓ ที . "จำได้เลยว่ามันเจ็บมาก ครูแลแกเป็นคนมือหนัก เป็นที่รู้กันทั่ว โดนตีแล้วเราก็คราง แล้วก็รอจนหายเจ็บพักหนึ่งก่อน จะยื่นจดหมายสำคัญให้ครู พอครูแกได้เห็นจดหมายก็สั่งการเกณฑ์เด็กโตๆไปสิบกว่าคนให้ไปช่วยกัน" ในที่สุดรถยนต์พระที่นั่งก็ขึ้นจากหล่มจนได้ . "พระองค์ทรงตรัส 'ขอบใจมากๆ'" เสียงนั้นยังก้องกังวานในใจของเด็กชายมาจนแก่ชรา แม้จะต้องแลกมาด้วยแนวเลือดซิบจากกิ่งสะแก แต่พนมบอกว่ายิ่งกว่านี้ก็ยอม . ชายชรายากจนไม่มีภาพถ่าย ไม่มีหลักฐานใดๆ มายืนยันถึงเหตุการณ์ อันแสนพิเศษในความทรงจำของเขา ไม่มีวัตถุอันใดที่หลงเหลือจากอดีตวันนั้น เขามีแค่เพียงรอยยิ้มอย่างปลาบปลื้ม และคราบน้ำตาบนดวงหน้าชรา มันเป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง เมื่อได้นึกถึงเหตุการณ์ในวันเก่า อาทิตย์ 7 มกราคม 2567 |