เมื่อจิตเป็นสมาธิก็ยังต้องคอยระวังจิต
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อจิตเป็นสมาธิก็ยังต้องคอยระวังจิต  (อ่าน 1445 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« เมื่อ: ตุลาคม 16, 2010, 12:35:17 pm »

ผู้ปฏิบัติสมาธิ ได้สมาธิ จนกระทั่งเกิดอาการดังที่กล่าวมาแล้ว ส่วนดี ก็คือ มีความอิ่มเอิบใจ มีความแช่มชื่น มีความสุขใจ จึงต้องระมัดระวังอย่างมาก อย่านึกว่าเราได้ถึงที่สุดแล้ว เราไม่ต้องมีอะไรอีกแล้ว ไม่มีอะไรที่จำเป็นสำหรับเราแล้ว ต้องใคร่ครวญให้ดีว่า เราต้องเดินไปสู่จุดที่สูง แต่เราก็ต้องไม่ทิ้งฐานเดิมที่เป็นความจริงแล้วค่อยๆ ปฏิบัติสืบไป ผลดีก็จะเกิดขึ้น

สรุปแล้วกล่าวได้ว่า ผู้ปฏิบัติจนกระทั่งจิตเป็นสมาธิได้แล้ว ในอีกด้านหนึ่ง ก็ต้องระมัดระวังความคิดว่า จะเป็นผู้วิเศษ
อีกด้านหนึ่ง ก็ต้องระมัดระวังความคิดว่า เราเป็นผู้บรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว เพราะสามารถละทิ้งอย่างนั้นละทิ้งอย่างนี้ได้ โดยที่จิตของตนยังไม่ถึงขั้นสูงสุด
การทิ้งการเสียสละเช่นนั้นเป็นเรื่องดี แต่ก็ต้องดูว่า เราจะทิ้งเราจะเสียสละอย่างไร จึงจะถูกต้องตามหลักพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่า เราทำไม่ตรงตามหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ก็จะเกิดเป็นปัญหาขึ้นในภายหลัง

จิตของคนที่เป็นสมาธิ ถึงขั้นดังที่กล่าวมาแล้วนั้น มักจะนึกเสียสละทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรต่ออะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน เงิน ทอง ข้าวของ ตำแหน่ง หน้าที่การงาน นึกว่าไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น อยากจะเลิก อยากจะละ อยากจะทิ้ง มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่เราต้องการ คือ สมาธิ

ตอนนี้แหละ ที่อาจจะทำให้พลาดได้ จึงต้องนึกให้ดีว่าเรายังไม่เป็นพระอริยบุคคล เราต้องสลัดสิ่งต่างๆ การสลัดกิเลสที่ถูกต้องตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ เรามีสิ่งต่างๆ โดยไม่มีตัณหา โดยไม่มีอุปาทาน ไม่ใช่สลัดขว้างทิ้งไปในลักษณะที่ตัณหากับอุปาทานสยบอยู่ เมื่อมีกำลังขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะแสดงฤทธิ์เดชขึ้นมาทันที
จึงต้องระมัดระวังให้ดี เพราะว่าในช่วงนี้มักจะเสียสละได้ทุกอย่าง ทิ้งได้ทุกอย่าง ทิ้งจนกระทั่งนึกว่า ตนเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ไม่ต้องมีอะไรแล้ว ก็เกิดปัญหาในภายหลัง เมื่อจิตย้อนหวนกลับมา

เครดิต:VANCO


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: