ปวดทุกเช้าเลยครับพี่ ประมาณ 08.00 นี่เริ่มปวดเลยครับ
ทรมานมากเลย เมียผมเป็นบ่อยครับ ผมเอากระเทียมให้กินเดี่ยวนี้ ลดลงครับแทบไม่มีอาการเลย
ข้อมูลบางอย่างเผื่อจะเป็นประโยชน์กับท่านต้นบ้าง
***********************************************************************
ข้อมูลของอาการไมเกรน
เอา "หัวกระเทียม" ที่ใช้เป็นยาแก้ "อาการปวดศีรษะข้างเดียว" หรือ "ไมเกรน" ได้อย่างชะงัดนัก
"หัวกระเทียม" ที่ใช้ในการปรุงอาหารต่าง ๆ อยู่ทุกเมื่อ เชื่อวันนี้แหละ เอามาแก้ "ไมเกรน" ได้เลย
วิธีการก็ได้แก่ เอา "หัวกระเทียม" มาแกะออกเป็นกลีบ ๆ เอามารับประทานกับน้ำพริกก็ได้ เอามาผัดกับผักก็ได้ รับประทานสด ๆ ก็ดี โดยรับประทานครั้งละ 10 กลีบ ทุก ๆ วัน
หรือจะเอา "กระเทียมแคปซูล" ก็ได้ เป็นกระเทียมที่บดละเอียดแล้ว เอามาบรรจุในแคปซูลกลืนกับน้ำสะอาด
สะดวกสบาย อาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือ "ไมเกรน" ก็จะหายไปได้ในที่สุด แต่จะต้องรับประทานทุกวันตอ่
เนื่องกันไป
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ต้นปิ้ง เป็นต้นไม้ใบใหญ่มาก
ประมาณกางฝ่ามือสองมือแล้วเอามาต่อกัน
พระสมคิดบอกว่า เด็ดใบที่สาม-สี่-ห้า (ไม่แก่ไม่อ่อน)
เอามาวางสลับตามตั้งตามขวางสักสามสี่ใบ
ตักขี้เถ้าร้อนๆใส่ลงไปที่กลางใบแล้วรวบเป็นห่อ
นำมาอังที่ขมับหรือบริเวณที่เป็นไมเกรน
(คงคล้ายกับการประคบร้อนจากขี้เถ้า ถ้าให้เดา ก็คือความร้อนจะทำให้เส้นเลือดที่หดเกร็งจนปวดหัวได้รับความร้อนและขยายตัวผ่อนคลายลง อาการปวดหัวคลี่คลาย ประกอบกับใบปิ้งอาจจะมีตัวยาสมุนไพรบางอย่างทำให้ผลการประคบออกมาดี)
กำลังหาภาพต้นปิ้งขนาดใกล้
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เป็นเนื้อหากล่าวถึง สาเหตุของการเกิดไมเกรนทั้งปัจจัยภายในร่างกาย และจากสิ่งแวดล้อมภายนอก อาการแสดงของโรค สิ่งที่มีผลกระตุ้นทำให้เกิดอาการไมเกรน ทั้งจากอาหาร (ซึ่งท่านจะได้ทราบว่าอาหารประเภทใดบ้างที่ทำให้อาการไมเกรนกำเริบขึ้นได้) ความเครียด ความอ่อนเพลีย ระดับฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปจากปกติ เป็นต้น ทำให้ท่านเข้าใจโรคไมเกรนดีขึ้น และมีสมุนไพรที่รู้จักกันดีและเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ คือ Feverfew หรือมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tanacetum parthenium ซึ่งมีใช้ในยุโรปกันมาก และได้มีการรับรองแล้วว่าใช้ได้ผลดี จากการศึกษาวิจัย ทดลองใช้กับผู้ป่วยในคลินิคมาแล้ว พร้อมขนาดยาที่ใช้รักษา
อยากทราบว่า Feverfew คือสมุนไพรอะไร มีประโยชน์และโทษอย่างไร
คำตอบ : Feverfew มีซื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tanacetum parthenium เป็นสมุนไพรดั้งเดิมของทางยุโรป ปัจจุบันพบทั่วไปในยุโรป ออสเตรเลีย และอเมริกาเหนือ ตามสรรพคุณพื้นบ้าน ใช้เป็นยาช่วยย่อย แก้ปวดหัว ล้างแผล แก้อักเสบ จากรายงานการวิจัย พบว่าใบบรรเทาอาการปวดไมเกรน แก้ไขข้ออักเสบ เป็นต้น ส่วนผลข้างเคียง ได้แก่ มีรายงานในผู้ป่วยไมเกรนประมาณ 10 % มีอาการ post-Feverfew syndrome หลังจากหยุดกิน Feverfew มีรายงานว่าระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ปวดท้อง เป็นต้น
เป้าหมายของการรักษาไมเกรน คือ การระงับอาการที่เกิดจากโรคกำเริบเฉียบพลัน และป้องกันการเกิดครั้งต่อไปโดยวิธีการต่างๆ
การรักษาแบ่งออกได้เป็นแบบไม่ใช้ยา และแบบใช้ยา
การรักษาแบบไม่ใช้ยา
ฟังดูไม่น่าเชื่อว่า มาตรการต่างๆ บางอย่างทำให้อาการปวดศีรษะจากไมเกรนของคนบางคน หายไปได้ราวกับปลิดทิ้ง เช่น การปรับเปลี่ยนอาหาร อย่างไรก็ตาม ในคนไข้จำนวนมากยังคงมีอาการอยู่ แต่น้อยลงหลังการเปลี่ยนอาหารแล้ว
อาหารที่อาจกระตุ้นอาการมีอาทิเช่น
โยเกิร์ต
กล้วย
ผลไม้แห้ง
ถั่วต่างๆ
เนยแข็งที่เก็บไว้นาน
ผักดอง
ผงชูรส และน้ำตาลเทียมแอสพาร์เทม
เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์บางอย่าง เช่น ไวน์แดง และเบียร์
นอกจากอาหารแล้ว มาตรการที่เรียกว่า ไบโอฟีดแบ็ค (biofeedback) การนั่งทำสมาธิ และเทคนิคการผ่อนคลายต่างๆ รวมทั้งการออกกำลังกายแอโรบิก ล้วนมีประสิทธิภาพในการป้องกัน การกำเริบของไมเกรนได้ การแทรกแซงทางจิตวิทยาและจิตเวชอาจมีความจำเป็นในบางราย
ในบางประเทศจะมีการจัดตั้งคลินิกพิเศษเพื่อตรวจรักษาคนปวดศีรษะโดยเฉพาะ เนื่องจากคนปวดศีรษะจำนวนมากเทียวไปเทียวมาหาหมออยู่หลายคน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอาการก็ยังไม่ดีขึ้น การรักษาจึงยิ่งซับซ้อน หากได้คลินิกที่ให้ความสำคัญให้เวลา ให้ความรู้ความชำนาญในการจัดการกับอาการนี้ ก็จะช่วยลดความวิตกกังวล ความสิ้นเปลือง บ่อยครั้งทีเดียวที่การรักษาอาการปวดศีรษะในแต่ละคน จะเป็นเรื่องเฉพาะเจาะจง คนหนึ่งก็รักษาอย่างหนึ่งไม่ซ้ำกัน
แมกนีเซียม (magnesium)
แมกนีเซียมเป็นธาตุสำคัญของร่างกายและเป็นธาตุที่มีบทบาทในการเกิดโรคไมเกรน ดังจะเห็นจากหลายงานวิจัยที่พบว่าคนที่เป็นไมเกรนมีระดับธาตุแมกนีเซียมในร่างกายต่ำกว่าปกติ ครั้นเมื่อลองฉีดแมกนีเซียมซัลเฟต 1 กรัมเข้าเส้นเลือดให้แก่คนไข้ที่เป็นไมเกรนชนิดเฉียบพลัน 40 ราย ก็พบว่า 21 ราย หายปวดศีรษะโดยส่วนใหญ่ (80%) ของคนที่หายปวดมีระดับแมกนีเซียมในเลือดต่ำ
ไรโบฟลาวิน (riboflavin) หรือวิตามินบี 12
มีบางงานวิจัยที่บอกว่า วิตามินบี 12 ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะไมเกรนได้แต่เป็นงานวิจัยขนาดเล็ก ที่ทดลองกับคนไข้ไมเกรนเพียง 55 ราย
สมุนไพร
มีสมุนไพรบางชนิด เช่น feverfew ที่นำมาทดลองแบบวิทยาศาสตร์แล้วได้ผลในเชิงป้องกันไมเกรน จึงมีคนสมองใสนำไปผสมกับแมกนีเซียมและไรโบฟลาวินเป็นสูตรผสมใช้รักษาไมเกรน
การรักษาแบบใช้ยา
แบ่งตามวัตถุประสงค์การใช้ออกได้ เป็น 2 แนวคือ
แนวทางที่ 1 ยาที่ระงับหรือบรรเทาอาการปวดศีรษะจากไมเกรนเฉียบพลัน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่สุดเพราะคนซึ่งกำลังปวดแทบระเบิดอยู่นั้น สิ่งที่เขาต้องการคือ ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้อาการปวดศีรษะหายไป
ยาที่เลือกใช้ได้แก่
แอสไพริน ซึ่งถ้าจะให้ออกฤทธิ์เร็วๆ ต้องใช้แอสไพรินชนิดใส่น้ำแล้วเป็นฟองฟู่ (effervescent tablet) เช่น อัลกาเซลเซอร์
พาราเซทตามอล หรือ อะเซทตามิโนเฟน
dextropropoxyphene
โคเดอีน (codgine)
เออร์กอท (ergot) เฉยๆ หรือ ergotc ผสมคาเฟอีน แต่ยานี้อาจทำให้คลื่นไส้ได้จึงอาจหลีกเลี่ยง โดยเปลี่ยนไปใช้ยาแบบเหน็บทวารหนัก ยานี้มีข้อห้ามใช้ในกรณีหญิงตั้งครรภ์ คนที่เป็นโรคเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจหรือแขนขาตีบตัน
dihydroergotamine (DHE-45) เป็นสารที่มีต้นแบบจากเออร์กอท แต่ใช้ฉีดหรือพ่นจมูก ในกรณีที่มีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วยจากไมเกรนเองหรือจากยาก็ให้ใช้ยาแก้คลื่นไส้ เช่น ยากลุ่ม prochlorperazine ได้แก่ compazine หรือ metoclopraminde ยากลุ่ม perphenazine หรือยากลุ่ม chlorpromazine ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้วิธีฉีดเข้ากล้าม
ยาแก้ปวด ที่แรงขึ้นหน่อยคือ meperidine ซึ่งมักใช้ในการรักษาแบบฉุกเฉิน เวลาเกิดไมเกรนรุนแรงเฉียบพลันแต่ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ
ยากลุ่มลดอักเสบ ที่ไม่มีสารสเตียรอยด์ (nonsteroidal anti-inflammatory drugs หรือ NSAID) นอกจากแอสไพรินแล้ว ยังมียากลุ่มที่เรียกย่อๆ โดยรวมว่ายาเอ็นเสด (NSAID) ซึ่งใช้แพร่หลายในกรณีโรคข้ออักเสบแต่นำมาบำบัดไมเกรนรุนแรงระดับปานกลาง ถึงรุนแรงมากได้ เช่น
1.ยาแนปโปรเซน โซเดียม (naproxen sodium)
2.แอสไพรินชนิดรับประทานขนาดเม็ดละ 500 มิลลิกรัม หรือชนิดฉีดเข้าเส้น
ยาแก้ปวดเหล่านี้ควรรับประทานหรือฉีดทันทีที่มีอาการเตือน (aura) หรือทันทีที่เริ่มปวดศีรษะ จึงจะทำให้ได้ผลดี
ยาใหม่ๆ สำหรับไมเกรน
จากการที่นักวิจัยทำการศึกษาไมเกรนมาอย่างต่อเนื่องทำให้ทราบว่าขณะเกิดอาการเฉียบพลันขึ้น นั้นมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีชนิดในสมองโดยเฉพาะจุดซึ่งเรียกว่า 5HT1B/1D serotonin receptor ดังนั้นถ้าใช้ยาที่ไปเกาะกับจุดนี้แล้วอาการปวดจะหายไปหรือบรรเทาลง ยานี้คือ
1. sumatriptan (imitrex) ซึ่งมีทั้งแบบฉีด แบบรับประทานและแบบพ่นจมูก แบบฉีดก็สะดวก คนไข้ฉีดให้ตัวเองได้
ยานี้ห้ามใช้ในคนที่มีความดันโลหิตสูงแล้วควบคุมไม่ได้ โรคหัวใจขาดเลือด และไมเกรนชนิดมีโรคแทรกต่อระบบประสาท
2. zolmitriptan (zomig) และ rizatriptan (maxalt) ซึ่งเป็นยากลุ่ม triptan รุ่นใหม่ออกฤทธิ์เร็วกว่า sumatriptan
แนวทางที่ 2 ยาป้องกันการกำเริบของไมเกรน
สำหรับคนที่มีอาการไมเกรนกำเริบเดือนละ 2 ครั้งขึ้นไปหรือไม่บ่อยเท่านั้นแต่ว่าทุกครั้งที่กำเริบ จะมีอาการรุนแรงและกินเวลานานจนมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมาก ยาที่ใช้ป้องกันมีอาทิเช่น
ยาปิดกั้นเบต้า เช่น propanolol, timolol ขนาด 40-240 มก./วัน
ยาปิดกั้นช่องแคลเซียม
ยาเอ็นเสด
ยากล่อมประสาทกลุ่ม tricyclig antidepressants (TCA)
monoamine oxidase inhibitors (MAOIS)
ยากลุ่มเออร์กอท
alpha agonist
antiserotonin agents (SSRI) เช่น fluoxetine (prozac), sertraline (zoloft), paroxetine (paxil)
divalproex sodium (depakote)
ที่ไม่อธิบายยากลุ่มต่างๆ โดยละเอียดเพราะจะเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับท่านผู้อ่าน จึงขอให้เป็นหน้าที่ของหมอในการพิจารณาเลือกใช้
หลักการเลือกใช้ยา
ในกรณีของไมเกรนที่มีอาการปวดศีรษะขนาดเบาจนถึงขนาดปานกลางนั้น ยาแก้ปวดขนานธรรมดา หรือยากลุ่มเอ็นเสดก็เพียงพอแล้ว ส่วนกรณีอาการที่รุนแรงกว่านี้จึงจะพิจารณาใช้ยากลุ่ม triptan หรือเออร์กอท