ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
คะแนน 1346
ออฟไลน์
กระทู้: 18843
คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข
|
|
« เมื่อ: กันยายน 07, 2009, 01:33:07 pm » |
|
..เนื่องจากมีนศ.มือใหม่จริงๆในงานช่างไฟฟ้า บางท่านสอบถามเข้ามา ถึงจะเป็นคำถามนอกบทเรียนไปหน่อยและเป็นความรู้เบื้องต้นที่ง่ายมาก .. ก็ยินดีลงให้เพื่อความรอบรู้ในงานไฟฟ้าครับ .. การต่อวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์, บัลลาสต์, สตาร์ทเตอร์ ง่ายนิดเดียวครับ หวังว่านศ.ทุกท่านคงเชี่ยวชาญอยู่แล้ว จะไม่อธิบายรายละเอียดมากมายนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
คะแนน 1346
ออฟไลน์
กระทู้: 18843
คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 07, 2009, 01:38:28 pm » |
|
รูปด้านบนเรียกว่า schematic diagram รูปด้านล่างเรียกว่า wiring diagram แสดงการต่อสายจริง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
คะแนน 1346
ออฟไลน์
กระทู้: 18843
คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 07, 2009, 01:40:15 pm » |
|
ชื่อของอุปกรณ์ต่างๆมีไม่กี่ชิ้น .. แต่หลับตาต่อไม่ได้นะ ประเดี๋ยวไฟจะดูดเอา ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
คะแนน 1346
ออฟไลน์
กระทู้: 18843
คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 07, 2009, 02:03:31 pm » |
|
เราทราบดีอยุ่แล้วว่า บัลลาสต์ประกอบด้วยลวดทองแดงพันรอบแกนเหล็ก -หากวัดแล้วเข็มไม่กระดิกเลย(กรณีใช้มิเตอร์แบบเข็ม) แสดงว่าบัลลาสต์ตัวที่กำลังวัดนั้นขดลวดขาด -หากวัดแล้วเข็มกระดิกชี้ที่ศูนย์โอห์ม(กรณีใช้มิเตอร์แบบเข็ม) แสดงว่าบัลลาสต์ตัวที่กำลังวัดนั้นขดลวดชอร์ทแล้ว
ดังนั้นหากบัลลาสต์ตัวที่กำลังวัดดี ควรมีความต้านทานใกล้เคียงดังภาพ เช่นตัวนี้วัดได้ 53.2โอห์ม(สาธิตการวัดพอเป็นแนวทาง...ความต้านทานของขดลวดจะขึ้นอยู่กับขนาดวัตต์ของตัวบัลลาสต์ด้วยนะครับ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
คะแนน 1346
ออฟไลน์
กระทู้: 18843
คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 07, 2009, 02:09:48 pm » |
|
การวัดหลอด -วัดไส้หลอดเป็นเบื้องต้น จะวัดโอห์มได้ใกล้เคียงภาพครับ ความต้านทานของไส้หลอดทั้ง2ด้าน ไม่จำเป็นต้องเท่ากัน แต่จะมีค่าใกล้เคียงกัน - หากวัดได้ดังภาพแสดงว่าไส้หลอดยังไม่ขาด -แต่บางหลอดไส้หลอดยังไม่ขาดก็เสียได้ครับ ... โดยมักจะมีเขม่าสีดำเกาะอยู่ใกล้ขั้วหลอด แสดงว่าหลอดนั้นเสื่อมแล้ว อาการของหลอดเสื่อมเช่นเปิดแล้วติดสว่างช้า ต้องสตาร์ท นานเป็นต้น หรือเสื่อมมากๆก็ถึงกับเปิดไม่ติดเลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
คะแนน 1346
ออฟไลน์
กระทู้: 18843
คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 07, 2009, 02:34:25 pm » |
|
ส่วนการวัดสตาร์ทเตอร์นั้น จะวัดความต้านทานไม่ได้ครับ เพราะสตาร์ทเตอร์จะต่อวงจรเมื่อกระแสไฟไหลผ่านเท่านั้น โดยแก๊สจะแตกตัว ทำให้ขั้วไบเมทอลร้อนมาสัมผัสกัน ทำให้นำกระแสได้(ดูรูปล่างประกอบความเข้าใจครับ) หมายเหตุ:: ไบ= สอง เมทอล=โลหะ ดังนั้นไบเมทอลคือโลหะ2แผ่น นำมาวางประกบกันอาจอยู่ติดหรืออยู่ห่างกันก็ได้ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และโลหะทั้ง2แผ่นนั้นจะใช้วัสดุต่างชนิดกันหรือเป็นชนิดเดียวกันก็ได้ขึ้นอยู่กับการออกแบบ ยกตัวอย่างการใช้โลหะ2ชนิด เช่นแผ่นแรกใช้เหล็ก แผ่นที่2ใช้ทองแดง ..เมื่อได้รับความร้อนพร้อมกัน ทองแดงจะขยายตัวได้เร็วกว่าเหล็ก จึงโก่งงอไปชนกับเหล็ก ..หลักการนี้ใช้ในเครื่องไฟฟ้าหลายประเภทเช่น ปุ่มปรับความร้อนในเตารีด หม้อหุงข้าว สตาร์ทเตอร์ ไฟกระพริบ ฯลฯ ดังนั้นเมื่อเราวัดสตาร์ทเตอร์จะเห็นว่าเข็มมิเตอร์จะไม่กระดิกเลย เพราะเหตุผลดังข้างต้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
คะแนน 1346
ออฟไลน์
กระทู้: 18843
คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: กันยายน 07, 2009, 02:37:40 pm » |
|
การวัดสตาร์ทเตอร์ทำได้โดยต่อวงจรดังภาพหลอดไฟ40-100วัตต์ -หากหลอดไฟไม่ติดเลย แสดงว่าสตาร์ทเตอร์เสื่อม ขั้วไบเมทอลเสียแล้ว -หากหลอดไฟติดสว่างค้าง แสดงว่าสตาร์ทเตอร์ชอร์ท -ถ้าสตาร์ทเตอร์ดี หลอดไฟจะกระพริบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
คะแนน 1346
ออฟไลน์
กระทู้: 18843
คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: กันยายน 07, 2009, 05:04:20 pm » |
|
ภาพจริงเมื่อจ่ายไฟเข้าวงจร จะเห็นว่าหากสตาร์ทเตอร์ดี หลอดไฟจะกระพริบถี่ๆ และให้สังเกตด้วยว่าก๊าซภายในตัวสตาร์ทเตอร์จะแตกตัวทำงานเป็นสีม่วงกระพริบตลอดเวลา ... ในวงจรต่อใช้งานจริงกับหลอดฟลูออเรสเซนต์ ตัวสตาร์ทเตอร์จะทำงานเพียงช่วงสตาร์ทเท่านั้น เมื่อมีกระแสไฟไหลผ่านตัวหลอดโดยไหลผ่านไอปรอทแล้ว ทางเดินไฟจะไม่วิ่งผ่านสตาร์ทเตอร์อีกต่อไป แต่จะวิ่งผ่านหลอดฟลูออเรสเซนต์แทนครับ https://www.ubmthai.com/forum%20picture/flash/ST.swf
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
visut+
สนับสนุนLSV+
member
คะแนน 107
ออฟไลน์
กระทู้: 224
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: กันยายน 07, 2009, 10:38:10 pm » |
|
ชอบบทความแบบนี้มากเลยครับ อ่านเข้าใจง่ายๆ ได้ความรู้มาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
หากข้าพเจ้าจงใจหรือประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินบิดา มารดา ครูบาร์อาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะด้วยกาย วาจา ใจ ก็ดี ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย
|
|
|
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
คะแนน 1346
ออฟไลน์
กระทู้: 18843
คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: กันยายน 08, 2009, 11:33:26 am » |
|
แถมให้อีกนิดครับ หากเจอปัญหาเปิดสวิทซ์แล้ว มีเสียงรบกวนเข้าเครื่องเสียง ให้เพิ่มค่าคาปาซิเตอร์ในตัวสตาร์ทเตอร์จะลดการรบกวนในช่วงที่หลอดกำลังสตาร์ทได้มากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
taoybb
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: กันยายน 09, 2009, 07:37:48 pm » |
|
แถมให้อีกนิดครับ หากเจอปัญหาเปิดสวิทซ์แล้ว มีเสียงรบกวนเข้าเครื่องเสียง ให้เพิ่มค่าคาปาซิเตอร์ในตัวสตาร์ทเตอร์จะลดการรบกวนในช่วงที่หลอดกำลังสตาร์ทได้มากครับ บางยี่ห้อใส่ให้แล้วนะครับ ดูๆหน่อยเวลาซื้อ เลือกที่ใส่ให้แล้วดีกว่าครับเป็นผลดีต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pimdown
ชุมชนคนรักอาชีพช่าง
member
คะแนน 2
ออฟไลน์
กระทู้: 161
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: กันยายน 21, 2009, 10:29:15 am » |
|
ได้ความรู้เพิ่มอีกเพียบเลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
tongbai+
สนับสนุนLSV+
member
คะแนน 107
ออฟไลน์
กระทู้: 166
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: กันยายน 25, 2009, 01:01:54 pm » |
|
ได้รับความรู้เพิ่มอีกแล้วว่าการทำงานจริงๆมันเป็นอย่างไร รวมทั้งการตรวจเช็ค ขอบพระคุณครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
1100
member
คะแนน 7
ออฟไลน์
กระทู้: 248
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2009, 12:49:55 pm » |
|
ขอบคุณมากๆๆครับท่านอาจาร์ย ได้ความรู้เพิ่มอีกหนึ่ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
tduangman
member
คะแนน 1
ออฟไลน์
กระทู้: 13
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2009, 02:07:59 pm » |
|
ขอบคุณครับ ท่านอาจารย์ได้ความรู้เพิ่มอีกมากเลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kuni
member
คะแนน 2
ออฟไลน์
กระทู้: 9
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2009, 11:34:58 pm » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
mato
member
คะแนน 0
ออฟไลน์
กระทู้: 10
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: ตุลาคม 31, 2009, 03:16:35 pm » |
|
ขอบคุณมากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
p-khan
member
คะแนน 0
ออฟไลน์
กระทู้: 18
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2009, 01:36:08 pm » |
|
ถ้าผมจะใช้บัลลาสท็ 32 วัต 1 ตัว กับหลอคนีออน ขนาด 10 วัต 3 หลอดจะได้มั้ยครับ ถ้าได้ กรุณาเขียนวงจรด้วยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
syncmaster
member
คะแนน 0
ออฟไลน์
กระทู้: 3
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: ธันวาคม 05, 2009, 11:09:38 pm » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sutichai
member
คะแนน 0
ออฟไลน์
กระทู้: 48
|
|
« ตอบ #19 เมื่อ: ธันวาคม 09, 2009, 12:13:59 pm » |
|
ขอบคุณครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nunano
member
คะแนน 2
ออฟไลน์
กระทู้: 61
ถ้าวันนั้นไม่เจอปัญหา อัจฉะริยะวันนี้คงไม่เกิด
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: มกราคม 16, 2010, 08:55:39 am » |
|
ขอบคุณมากครับ แต่อยากทราบว่า บัลลาสต์เป็นเพียงแค่ขดลวดขดเดียวที่พันรอบแกนเหล็กตัวนี้มันมีหน้ามี่อะไรครับ ที่แน่ๆมันคงมีเส้นแรงแม่เหล็กเกิดขึ้นนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
I am ok and you are ok. by sound tawaravadee resort hotel@prachinburi
|
|
|
bosszi
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: มกราคม 31, 2010, 08:51:48 am » |
|
ขอบคุณครับ ได้ความรู้เพิ่ม เข้าใจง่ายมากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
changtong
member
คะแนน 0
ออฟไลน์
กระทู้: 17
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: มีนาคม 09, 2010, 09:27:28 pm » |
|
ทำไมวงจรต้องใช้ สตาร์ทเตอร์ด้วครับ
ไม่มีไฟจะไม่ติดหรอครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 808
ออฟไลน์
กระทู้: 3581
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: มีนาคม 10, 2010, 07:41:21 am » |
|
ทำไมวงจรต้องใช้ สตาร์ทเตอร์ด้วครับ
ไม่มีไฟจะไม่ติดหรอครับ
ทำไมวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์ ต้องใช้สตาร์ทเตอร์ด้วย.... สตาร์ทเตอร์ทำงานเป็นสวิทช์ความร้อนครับ เมื่อเปิดไฟ กระแสไฟจะวิ่งผ่านบัลลาส(เป็นขดลวดพันบนแกนเหล็ก) ผ่านใส้หลอด และผ่านสตาร์ทเตอร์ลงกราวน์ครบวงจร ทำให้เกิดความร้อนขึ้นที่ใส้หลอดและแผ่นไบเมทอลของสตาร์ทเตอร์จนถึงจุดหนึ่งแผ่นไบเมทอลที่ร้อนจนงอตัวออกทำให้สตาร์ทเตอร์ตัดวงจร เมื่อไฟไม่ครบวงจรสนามแม่เหล็กรอบๆแกนบัลลาสจะหดตัวลงตัดกับขดลวดที่พันอยู่รอบๆทำให้เกิดไฟแรงสูงขึ้นในขดลวด(Back EMF) ไฟแรงสูงนี้จะทำให้อิเลคตรอนสามารถโดดข้ามจากใส้หลอดข้างหนึ่งผ่านไอก๊าซไปยังใส้หลอดอีกข้างหนึ่งได้ ทำให้หลอดฟลูออเรสเซนต์เรืองแสงได้(เมื่ออิเลคตรอนวิ่งผ่านได้แล้วก๊าซภายในหลอดจะมีความต้านทานลดลงคือนำไฟฟ้าได้ต่อเนื่อง สตาร์ทเตอร์จึงหมดความจำเป็นแค่นี้) คาปาซิเตอร์ที่อยู่ในสตาร์ทเตอร์ใช้ป้องกันการอาร์คที่หน้าสัมผัสและลดสัญญาณรบกวน ดังที่ท่าน อาจารย์เล็กได้กล่าวไว้ข้างต้น.... ไม่มีสตาร์เตอร์ หลอดไฟก็จะไม่ติดครับ... นอกเสียจากว่าเราหาสตาร์ทเตอร์ไม่ได้จริงๆ ให้เอาสายไฟ ไปเขี่ยตรงขั้วของสตาร์เตอร์ แล้วหลอดไฟจะติด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
changtong
member
คะแนน 0
ออฟไลน์
กระทู้: 17
|
|
« ตอบ #24 เมื่อ: มีนาคม 10, 2010, 07:01:24 pm » |
|
อ๋อ จิงด้วยครับ เยี่ยมจิงๆๆ ใครคิดคนแรกนิ ขอบคุณมากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
herher
member
คะแนน 0
ออฟไลน์
กระทู้: 3
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: เมษายน 30, 2010, 04:31:37 pm » |
|
ขอบคุณมากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
bundhit
member
คะแนน 0
ออฟไลน์
กระทู้: 13
|
|
« ตอบ #26 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2010, 10:35:26 am » |
|
แหล่มเลยครับอาจารย์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Manu00 (♥)
ซุปเปอร์ วีไอพี
member
คะแนน 78
ออฟไลน์
กระทู้: 334
คิดว่าจะทำ ก็รีบทำจะได้รู้ผล
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2010, 08:56:18 am » |
|
สุยอดเลยครับ ท่านอาจารย์ ส่วนมากเวลาไฟมีปัญหา ก็คิดว่าตัวนั้นเสีย ตัวนี้เสีย หาซื้อมาเปลี่ยน เนื่องจากไม่รู้หลักการและวิธีทดสอบอุปกรณ์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
มนู โอวาท 142หมู่ 7 ต.เหล่ากวาง อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ Tel 085-3136405 # ;วันนี้ช่วยเพื่อนสมาชิกหรือยัง
|
|
|
psound1
member
คะแนน 0
ออฟไลน์
กระทู้: 8
|
|
« ตอบ #28 เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 01:43:43 pm » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|