กรรมใดกำหนดผิวสี
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กรรมใดกำหนดผิวสี  (อ่าน 1612 ครั้ง)
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« เมื่อ: มีนาคม 23, 2009, 08:26:17 am »

มีปัจจัยหลายประการครับ ถ้าพูดแบบผิวเผินที่สุด สีของผิวกายในปัจจุบันชาติ สะท้อนให้เห็นสีของจิตในอดีตชาติ ถ้าสั่งสมกรรมชนิดที่ปรุงแต่งจิตให้เป็นเมตตามากๆ ผิวพรรณก็จะออกแนวโน้มไปทางขาวละเอียด แต่ถ้าสั่งสมกรรมชนิดที่ปรุงแต่งจิตให้เป็นพยาบาทมากๆ ผิวพรรณก็จะออกแนวโน้มไปทางดำกระด้าง

คุณสมบัติหลักๆอันเป็นเครื่องชี้ว่าจิตมีเมตตาสูง ได้แก่ ความเป็นคนโกรธยากหายง่าย และเป็นผู้สละให้คนอื่นง่ายแต่กอบโกยเข้าตัวยาก การมีเมตตาสูงมิใช่สิ่งที่จงใจกำหนดได้เองลอยๆ แต่ต้องเป็นผู้กระทำกรรมทางกาย วาจา ใจในทางเป็นกุศล ดังนี้

๑) ความคิดในเชิงสละมลทินออกจากจิต นับแต่ความคิดสละความตระหนี่ ความคิดสละความผูกใจเจ็บแค้นอาฆาต และความคิดสละความเห็นผิดทำนองคลองธรรม นอกจากนี้ยังมีทางลัดแบบภิกษุในพุทธศาสนา คือเจริญเมตตา ตั้งจิตไว้เป็นสุขอย่างใหญ่ แล้วแผ่ไปไม่มีประมาณ กระทั่งเป็นอัปปมัญญา คือรวมจิตถึงฌานด้วยอำนาจความสุขที่แผ่ไปทั่วทุกทิศอย่างไร้ขอบเขตนั้น หากเจริญเมตตาได้เป็นปกติตลอดชีวิต ก็ยากที่จะเกิดโทสะเปื้อนจิตได้เกินอึดใจ อย่าว่าแต่จะยกระดับขึ้นเป็นความอาฆาตพยาบาทยืดเยื้อยาวนาน
๒) คำพูดในเชิงประนีประนอมประสานประโยชน์ นับแต่คำพูดถึงความจริงอย่างตรงไปตรงมา คำพูดที่ไพเราะเสนาะหู คำพูดที่นุ่มนวลปราศจากการให้ร้าย และคำพูดที่เปี่ยมด้วยสติไม่เพ้อเจ้อเลอะเทอะ วจีกรรมที่ขาวสะอาดจะปรุงแต่งจิตให้ขาวสะอาดตามไปด้วย และเป็นที่ตั้งแห่งพยาบาทได้ยากเช่นกัน
๓) การกระทำในเชิงให้คุณ นับแต่การเก็บมือไม้และกายส่วนต่างๆไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่นในทางใดทางหนึ่ง ไปจนกระทั่งการใช้มือไม้และกายส่วนต่างๆสงเคราะห์ผู้ต้องการความช่วยเหลือ แม้เมื่อให้ทานยังค้อมหลังก้มลงให้ ไม่ใช่โยนให้อย่างเศษเดน ความนุ่มนวลทางกิริยาจะปรุงแต่งจิตให้โน้มน้อมไปในทางถ่อมตน ปราศจากความกระด้าง เป็นปฏิปักษ์กันกับนิสัยก้าวร้าว ไม่เป็นที่ตั้งของโทสะและพยาบาท
กรรมขาวที่กล่าวมาข้างต้นจะทำให้ ‘ใจดี’ มีประกายเมตตา มีความขาว ซึ่งยิ่งประกอบกันมากเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้นิมิตของ ‘กายใน’ เป็นไปในทางขาวมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อเกิดใหม่จริง พลังกรรมก็จะรวมตัวไปคุมรูปร่างและผิวพรรณวรรณะให้เหมือนกายในดังกล่าวนั่นเอง
ส่วนคุณสมบัติหลักๆอันเป็นเครื่องชี้ว่าจิตมีความพยาบาทสูง ได้แก่ ความเป็นคนโกรธง่ายหายช้า และเป็นผู้สละให้คนอื่นยากแต่กอบโกยเข้าตัวง่าย


การมีความพยาบาทสูงมิใช่สิ่งที่จงใจกำหนดได้เองลอยๆ แต่ต้องเป็นผู้กระทำกรรมทางกาย วาจา ใจในทางเป็นอกุศล ดังนี้
๑) ความคิดในเชิงสะสมมลทินเข้าจิต นับแต่ความคิดโลภเอาเข้าตัว ความคิดผูกใจเจ็บไม่เลิก และความคิดหลงสำคัญผิดอันเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่านแส่ส่าย ความมืดดำเป็นอกุศล นอกจากนี้ยังมีทางด่วนพิเศษไปสู่ความหายนะทางจิต คือเลือกเชื่อ หรือปลูกฝังความเชื่อตามลัทธิที่ชักชวนให้หลงผิด เช่น ร่ำเรียนไสยดำ นับถือบูชายักษ์มารเป็นสรณะ ปฏิเสธบุญคุณพ่อแม่แต่หันไปเลื่อมใสบุญคุณเทพหรือเจ้าลัทธิแทน ความหลงผิดจะทำให้จิตมืด จิตมืดจะเป็นที่ตั้งของโทสะและพยาบาทได้ง่าย
๒) คำพูดในเชิงก่อโทษและเพิ่มรอยร้าว นับแต่คำพูดบิดเบือนความจริง คำพูดก้าวร้าวหยาบคาย คำพูดให้ร้าย และคำพูดไร้สติที่ทำให้ใจเราใจเขาพล่านไปอย่างปราศจากทิศทาง วจีกรรมที่ดำสกปรกจะปรุงแต่งจิตให้ดำสกปรกตามไปด้วย และเป็นที่ตั้งแห่งพยาบาทได้ง่ายเช่นกัน
๓) การกระทำในเชิงให้โทษ นับแต่การลงไม้ลงมือเบียดเบียนผู้อื่นในทางใดทางหนึ่ง ไปจนกระทั่งการเก็บมือเก็บไม้ไม่ยอมสงเคราะห์ผู้ต้องการความช่วยเหลือ การเคลื่อนไหวแบบผลุนผลันปึงปัง การนิยมวิธีใช้กำลังบังคับผู้อ่อนแอกว่า ก็ล้วนเป็นที่มาของใจกระด้างกระเดื่อง เป็นมิ่งมิตรกันกับนิสัยก้าวร้าว เป็นที่ตั้งอันมั่นคงของโทสะและพยาบาท
กรรมดำที่กล่าวมาจะทำให้ ‘ใจดำ’ มีความมืดชนิดแผ่รังสีอำมหิต ซึ่งยิ่งหนาแน่นเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้นิมิตของ ‘กายใน’ เป็นไปในทางดำมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อเกิดใหม่จริง พลังกรรมก็จะรวมตัวไปคุมรูปร่างและผิวพรรณวรรณะให้เหมือนกายในดังกล่าวนั่นเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้นนะครับ ต้องกล่าวว่า ถ้า ‘กายใน’ เสื่อมลงหรือเจริญขึ้น ขัดแย้งกับ ‘ของเก่า’ อย่างเห็นได้ชัด คุณไม่ต้องรอเกิดครั้งหน้าก็สามารถเห็นเค้านิมิตกายใหม่ได้ผ่านผิวพรรณนี่เอง เท่าที่ผมเห็นกับตามาหลายครั้งนะครับ บางคนนี่แรกๆดูดำๆสกปรก หรือแม้ผิวขาวก็ดูหมองไร้ราศี พอหันมาศรัทธากรรมวิบาก หมั่นให้ทานรักษาศีลเป็นนิตย์ ผิวพรรณก็เปล่งปลั่งสดใสขึ้นชนิดคนรอบข้างอ้าปากหวอกันเป็นแถว ยิ่งถ้าบุญเก่าดีอยู่แล้ว และมาตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยว บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม ไม่ผิดศีลแม้ด้วยความคิด ก็แทบเห็นจะจะชนิด ‘ขาวด้วยบุญใหญ่ข้ามคืน’ กันเลยทีเดียว

กล่าวโดยสรุป ถ้าจิตกระเดียดไปทางอารมณ์ดี จะมีกระแสเมตตาคุมรูปให้ขาวละเอียด สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าความไม่ถือโกรธมีวิบากเป็นผิวพรรณประณีต ถ้าจิตกระเดียดไปทางเจ้าโทสะ จะมีกระแสอาฆาตคุมรูปให้ดำกระด้าง สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าความมักโกรธมีวิบากเป็นผิวพรรณทราม

ถาม – ผิวขาวกับผิวดำมีหลายแบบ ขาวซีดก็มี ขาวอมชมพูก็มี ดำน่าเกลียดก็มี ดำเนียนตาก็มี อย่างนี้ขึ้นอยู่กับความต่างของเมตตาหรือพยาบาทอย่างไรคะ?

ขอจำแนกลักษณะผิวเป็นข้อๆพร้อมกรรมอันเป็นต้นเค้าดังนี้ครับ

๑) ผิวขาวเผือด เกิดจากการมีความโกรธเบาบาง ไม่ค่อยผูกพยาบาท ทว่าขณะเดียวกันก็เมตตาแบบงั้นๆ คือไม่ได้มีความรักเอ็นดูในเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งคนและสัตว์สักเท่าไร

๒) ผิวขาวอมชมพู เกิดจากการมีจิตฝักใฝ่ในเมตตาธรรม และเป็นเมตตาที่ทอรัศมีออกมาจากความเอ็นดูรักใคร่คนและสัตว์อย่างลึกซึ้ง ขอให้สังเกตว่าคนผิวขาวสวย มักมีเนื้อหนังนุ่มแน่นและเนียนละเอียดเหมือนแผ่นหยกด้วย ผู้มีความสมบูรณ์แบบทางผิวพรรณชนิดไร้ที่ติประเภทนี้ จะสะท้อนอดีตกรรมในปางก่อน คือเต็มเปี่ยมด้วยเมตตาอย่างไร้ที่ติตลอดชีวิต จึงมีกำลังส่งจากกรรมเก่าคุมรูปให้ขาวสวยอย่างยืดเยื้อยาวนาน แม้พลาดพลั้งทำบาปอกุศลก็ไม่เห็นผลเปลี่ยนแปลงเป็นความเสื่อมโทรมคล้ำหมองของผิวง่ายนัก

๓) ผิวดำขำ เกิดจากการมีเมตตาที่เจืออยู่ด้วยโทสะอ่อนๆ ขอให้นึกถึงคนปากร้ายใจดี ซึ่งก็แยกย่อยได้อีกหลายแบบ ปากร้ายน้อยใจดีมาก ปากร้ายมากใจดีน้อย ถ้าปกติใจดีแบบเยือกเย็น ก็จะเป็นตัวกำหนดความเนียนของผิวมากเป็นพิเศษ

๔) ผิวดำน่าเกลียด เกิดจากการมีแต่โทสะท่าเดียว หาเมตตาทำยายาก ขอให้นึกถึงคนใจร้าย มักโกรธ โกรธง่ายหายช้า คุณจะไม่นึกไม่ออกเลยว่าจิตใจเขามีความสว่างหรือมีความเย็นกับใครได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใจร้ายแล้วปากยังพ่นเป็นแต่คำหยาบคาย ชาติถัดมาจะมีผิวพรรณทรามถึงขั้นรู้สึกเป็นปมด้อย หรือกระทั่งเป็นโรคผิวหนังบางอย่างที่ส่งกลิ่นเหม็นผิดปกติ ชำระให้สะอาดหรือประพรมให้หอมได้ยาก ขอให้สังเกตว่าบางคนทั้งผิวทั้งกลิ่นปากจะน่ารังเกียจควบคู่กัน นั่นก็เพราะกรรมทางวาจาบางอย่างมีวิบากแรง แสดงผลทั้งทางผิวหนังและกลิ่นปากอย่างชัดเจน นอกจากนี้ แม้หันมาใฝ่ใจทำทานรักษาศีล ก็อาจต้องใช้เวลา หรือต้องใช้กำลังใจมากหน่อย ผิวพรรณจึงจะดูเปล่งปลั่งขึ้นได้ด้วยรัศมีบุญใหม่

๕) ผิวไม่ดำไม่ขาว ไม่งามไม่น่าเกลียด คือเป็นกลางๆ เกิดจากการมีเมตตาและพยาบาทในแบบที่คาดเดาได้ เรียกว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรก็ใจดีใจร้ายตามกระแสโลกไปเรื่อย ไม่มีการควบคุมตัวเอง ไม่มีหลักการใดเป็นพิเศษ เช่น ถ้าโดนด่าแรงๆก็จะโกรธแรงและผูกใจเจ็บแรง พอเขามาง้อหรือขอโทษก็ค่อยอโหสิให้ แตกต่างจากพวกใจดี ที่แม้โดนเล่นงานก่อนก็ทำใจอภัยได้เอง โดยไม่ต้องมีใครมาขอโทษ แล้วก็แตกต่างจากพวกใจร้าย ที่แม้ใครทำดีให้ก็อาจหมั่นไส้ จับผิดเพ่งโทษได้ สำหรับผิวเป็นกลางๆนี้ก็คือคนทั่วไปในระดับเฉลี่ย แปรปรวนตามกรรมใหม่ง่าย คือถ้าทำบาปมากๆผิวอาจแปรเป็นหมองคล้ำอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าทำบุญใหญ่ๆผิวอาจผุดผาดขึ้นทันตา

นอกจากนี้ยังอาจมีกรณียกเว้นที่ไม่เข้าข่ายข้างต้น เช่นบางคนมีผิวดำสนิท ทั้งที่จิตใจดีงามมาก ไม่มีเค้าเลยว่าจะเคยเป็นพวกเจ้าโทสะ นั่นเป็นเพราะอดีตชาติเคยเห็นแล้วชอบใจในผิวสีแบบนั้น เป็นกรรมทางใจที่ส่งให้ไปเสวยภพของคนผิวดำสนิทได้เหมือนกัน พูดง่ายๆคือโลภะพาไป และในทางตรงข้าม หากชอบให้ของ ชอบให้อภัย ชอบช่วยคน มีความโลภน้อยยิ่ง ถึงแม้ขี้หงุดหงิดขึ้งเคียดเก่งก็อาจจะยังมีบุญฝ่ายขาวคุ้มผิวให้ขาวได้อยู่

อีกพวกคือไม่ได้เจ้าโทสะ แต่จมปลักอยู่กับความหม่นหมองเศร้าสร้อยเป็นนิตย์ อันนี้ก็มีสิทธิ์เกิดเป็นคนผิวดำคล้ำหมองไม่น่าดูได้เหมือนกัน พูดง่ายๆคือโมหะพาไป และในทางตรงข้าม หากฝึกที่จะมีสติตื่นตัวสดใส เป็นอยู่ด้วยความกระตือรือร้น เกิดปัญหาแล้วใช้ปัญญามากกว่าอารมณ์ อันนี้แม้อารมณ์บูดอยู่เรื่อยๆก็ไม่ถึงขั้นทำให้ผิวพรรณหยาบกร้านนัก

ขอตั้งข้อสังเกตอีกแง่หนึ่ง คือการบำรุงผิวและการรู้จักเคล็ดลับออกกำลังกายให้เลือดลมเดินดี อาจทำให้ผิวงามขึ้น แต่จะขาดรัศมีหรือกระแสทางใจที่ก่อให้เกิดความรู้สึกด้านดี คล้ายคุณเห็นหุ่นขี้ผึ้งของยอดฝีมือไร้ที่ติ พอสัมผัสใกล้ชิดก็รู้สึกว่าขาดชีวิตจิตใจ แห้งแล้ง ไม่ชุ่มชื่น แตกต่างจากความงามที่เปล่งออกมาจากแรงบุญ ซึ่งชวนให้เกิดความชื่นใจ รู้สึกมีชีวิตชีวาได้ยิ่งกว่ากันมาก

http://www.amulet.in.th 


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: