ต้นกำเนิดไวรัส
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่14"
พฤศจิกายน 24, 2024, 07:55:13 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ต้นกำเนิดไวรัส  (อ่าน 2399 ครั้ง)
ekk_nak
ชุมชนคนรักอาชีพช่าง
member
*

คะแนน23
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 358


♣ อย่าลืม ♣ ♥ คำขอบคุณ ♥


เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2008, 11:45:46 am »

ทุกคนคงจะได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับไวรัส คอมพิวเตอร์
ที่เป็นข่าวดังมากทีเดียว นั่นก็คือ ไวรัสที่เรียกว่า “Sircam” ้
สร้างความปั่นป่วนกับวงการคอมพิวเตอร์มากทีเดียว และมูลค่า
ของความเสียหาย หลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ แล้วเพียงเวลา
ไม่นาน ก็มี ไวรัส CodeRed ออกมาสร้างความปั่นป่วน
ให้กับ วงการคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท
ในการใช้คอมพิวเตอร์ จึงมีเกร็ด ของเรื่องราวของไวรัส ที่น่าสนใจ มาให้อ่านกันดังนี้

ไวรัสเกิดขึ้นได้อย่างไร
มักจะมีคำถามที่สงสัยกันเสมอมา ไวรัสเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จริงๆแล้วต้นกำเนิดไวรัสมาจากที่ไหนกันแน่
คำตอบที่หนีไปไม่พ้นเลยก็ คือ ผู้ที่สามารถสร้างและพัฒนาไวรัสได้ ต้องเป็นคนที่เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร ์ได้
อย่างแน่นอน และต้องเข้าใจการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดีอีกด้วย
คนที่สร้างไวรัส ขึ้นมา อาจจะเป็นพวกที่จิตใจไม่ปกติอยู่ก่อนแล้ว ชอบทำลายเข้าของ สาธารณะ และถ้าหากคนที่มีความคิดไม่ปกติ อย่างนี้ มีความสามารถในการเขียนโปรแกรม คอมพิวเตอร ์ ก็มีความเป็น ไปได้สูงมากที่จะพัฒนาไวรัสคอมพิวเตอร์ขึ้นมา และสนุกกับการปล่อยไวรัสให้กับผู้อื่น เดือดร้อน คนอีกประเภทหนึ่ง คงจะหนีไม่พ้นพวกที่มื อซุกซน อยุ่ไม่นิ่ง พวก อยากรู้อยากลอง และพวกชอบการท้าทาย คิดว่าตัวเองแน่กว่าคนอื่น ๆ สุดท้ายคือ พวกชอบอวดเก่งอวดรู้ พวกนี้จะเป็นพวกเก่ง และมีความสามารถจริงๆ จนสามารถเข้าถึงระบบและมองเห็นช่องโหว่ของระบบได้จริงๆ แต่แทนที่จะนำเสนอ ออกมาให้ถูกวิธี โดยการ นำข้อมูลนี้ไปบอกกับผู้เกี่ยวข้อง ก็กลับ ทำให้เผู้เกี่ยวข้องรู้โดยการแสดงให้เห็นเลยว่าตัวเองถึงช่องโหว่ของระบบ นั่นหมายความว่า เขาจะพยายามหาช่องโหว่ของระบบ ในการสร้าง ไวรัสคอมพิวเตอร ์หรือ การเจาะระบบนั่นเอง

สิ่งที่นักพัฒนาไวรัสไม่มีคือ ความเข้าใจถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น เพราะพวกนี้ไม่รู้ว่า ไวรัส ที่ตัวเองสร้างขึ้นมานั้น จะสร้างความเสียหายจริง ได้มากขนาดไหนเพราะเพียงแค่สั่งให้ทำลายข้อมุลในฮาร์ดดิสก์ เมื่อไวรัสทำงานและติดต่อไปยังพนักงานที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยในบริษัทที่เก็บข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์ ไวรัสจะ สามารถทำลายข้อมูล ที่บริษัทนั้นทำมาเป็นปี ๆ ภายในเวลาไม่กี่วินาที นั่นเป็นเหตุผลว่า การสร้างไวรัสคอมพิวเตอร์ จึงเป็นการทำอาชญากรรมอย่างหนึ่ง และต้องมีบทบาทและบทลงโทษ กันอย่างจริงจังอีกด้วย

ไวรัสสายพันธุ์ไทยตัวหนึ่งที่ระบาดเมื่อประมาณสิบปีก่อนจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ผู้พัฒนาแค่นึกสนุกอยากสร้างให้มันเป็นไวรัสของตัวเองและไม่ได้คิดว่าจะสร้างผลร้ายให้กับระบบคอมพิวเตอร์ เลย จนในที่สุดเมื่อควบคุมไม่ได้แล้วจึงต้องนำมาแก้ไข ปัญหากันในภายหลัง ีหลังจากนั้นไม่กี่ปี มีนักศึกษามหาวิทยาลัย อีกคนหนึ่ง พัฒนาไวรัสเพื่อทำลายไฟล์ .c .cpp และ .pas โดยเฉพาะ มันส่งผลกะทบมากมาย และที่แย่ไปกว่านั้น ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสต่างๆ ก็มีรายการนี้เก็บเอาไว้และระบุแหล่งที่มาเอาไว้เรียบร้อย
มารู้จักกับไวรัสพันธุ์ต่าง ๆ

ไวรัส คอมพิวเตอร์ ก็คือโปรแกรม โปรแกรมหนึ่งในคอมพิวเตอร์นั่นเอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักจะเกิด จากการหาข้อผิดพลาด ของระบบ คอมพิวเตอร์ ซอฟแวร์ หรือโปรแกรมต่างๆ ไวรัสมักจะเกิดขึ้นจาก เครื่องมือ ที่เราใช้งานกัน ในลักษณะการพัฒนา โปรแกรม หรือข้อบกพร่องในการทำงานของคอมพิวเตอร์นั่นเอง ต่อมา ก็ได้มีการกระจายข้อมุลกันมากขึ้น ก็มีการใช้เครื่องมือ ซอร์ฟแวร์ต่างๆ แล้วนำไปสร้างไวรัสอีกต่อหนึ่ง ถ้าเปรียบกับเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ที่เรามีใช้กันในชีวิตประจำวัน ซึ่งแม้ว่าจะมีประโยชน์มากมาย แต่ถ้าหาก ่ผู้ใช้นำไปใช้ในทางทไม่ที่ไม่ถูกก็จะให้เกิดโทษมากมายเช่นกัน
ไวรัสคอมพิวเตอร์นั้นมีหลายแบบ แต่ละแบบก็มีลักษณะของการทำงานแตกต่างกันออกไป ซึ่งในปัจจุบันไวรัสบางตัวมีการทำงานที่ใกล้เคียงกันมาก ซึ่งจะจำแนกรายละเอียดได้ พอคร่าวๆ คือ ไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมชดหนึ่ง ที่เขียนโดยผู้ที่ไม่ประสงค์ดี หน้าที่ของไวรัสแต่ละตัว มีจุดมุ่งหมาย แตกต่างกันแล้วแตผู้พัฒนาต้องการให้ มันทำหน้าที่อะไร แต่ที่เหมือนกันก็คือ อย่างน้อยที่สุดจะ เข้าไปก่อกวนระบบ โดยบางชนิดอาจจะไม่สร้างความเสียหายมากนัก ไปจนถึงชนิดที่เข้าไปทำลายระบบ รวมทั้งข้อมูลที่เก็บเอาไว้ ซึ่งเป็นSoftware รวมไปถึงHardwareด้วย การทำลาย Hardware ไม่ได้เป็นการทำลายโดยตรง เพราะ โค้ดพวกนี้ไม่สามารถทำให้อุปกรณ์เสียหายได้ แต่ ไวรัสจะเข้าไปทำลายเฟริ์มแวร์ ที่ควบคุมการทำงาน ของ Hardware ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นเพียงการทำลายข้อมูลที่เป็นSoftware เช่นเดียวกัน แต่จะส่งผล ให้ Hardware นั้นใช้การไม่ได้

หนอนคอมพิวเตอร์

เวิร์ม หรือ หนอนคอมพิวเตอร์เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติก็คือ สมารถ Copy ตัวเอง จากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งได้โดยอัตโนมัติผ่านทางเครือข่ายเน็ตเวิร์คหรือว่า อินเทอร์เน็ต
อินเทอร์ เน็ต ทำให้เวิร์มสามารถขยายพันธุ์และเคลื่อนย้ายตัวเองไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ บนระบบเน็ตเวิร์กได้ไม่ยาก วิธีการขยายตัวของมันเองด้วยวิธีนี้ ทำให้เวิร์มสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้อินเทอร์เน็ตกันมากขึ้น เครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็เป็นเน็ตเวิร์กอย่างหนึ่งที่เวิร์มใช้แพร่กระจาย และสามารถแพร่กระจายไปได้ทั่วโลกในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ผลเสียอีกอย่างหนึ่งที่เวิร์มสร้างเอาไว้ ให้กับระบบ ก็คือ เวิร์มจะมีการส่งข้อมูลตัวมันเอง ออกไปในเน็ตเวิร์ก ซึ่งการส่งข้อมูลนี้จะไปทำให้ระบบการรับส่งข้อมูล ของ เน็ตเวิร์กทำงานช้าลง เพราะแบนด์วิดธ์ส่วนหนึงของเน็ตเวิร์กทำงานช้าลง ที่เป็นเช่นนี้ เพราะแบนด์วิดธ์ส่วนหนึ่ง ของเน็ตเวิร์ก หมดไปกับเวิร์มเสียแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการทำลายใดๆ เกิดขึ้นก็ตาม แต่ ปัญหาที่ตามมาคือ ถ้าเวิร์มตัวนั้น ไปลบข้อมูลในฮาร์ดดิสก์หรือทำลายไฟล์ต่างๆ หรืออาจจะส่งข้อมูลส่วนตัวออกไปให้ผู้อื่นในเน็ตเวิร์ก แน่นอนว่านั่นคือผลเสียที่ได้รับจริงๆ และส่งผลกระทบโดยตรงกับผุ้ใช้อย่างแน่นอน คงจำไวรัส Code Red กันได้ ที่ระบาดในช่วง ปลายเดือนกรกฎาคม ทีผ่านมานั้น ข่าวบอกมาว่าไวรัส ตัวนี้สามารถ copy ตัวเองได้ 2 แสนกว่าครั้งในเวลาเพียง 9 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าสูงมากเลยทีเดียว CodeRed นั้นถูกโปรแกรมให้จู่โจม แบบ Ddos เข้าไปที่ www.whitehouse.gov แล้วถูกโปรแกรมให้มีการจู่โจมในวันเดียวกัน เข้าไปที่เดียวกัน ซึ่งกว่าจะถึงวันโจมตก็มีเครื่องคอมพิวเตอร์นับพันนับหมื่นเครื่องทีติดเข้าไปแล้วโดยที่ไม่รู้ตัว เมื่อถึงวันโจมตี พีซีจากทั่วโลก ที่ติดไวรัส จะถูกส่งกลับมาที่เว็บไซต์ที่ถูกโปรแกรมเอาไว้ นั่นหมายความว่า เว็บต้องรับการ คอนเน็กต์ เพื่อร้องขอข้อมูล ในปริมาณ มากจากทั่วโลก โดยคนที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขาเป็นหนึ่งในผู้โจมตี และผลลัพธ์ก็คือเว็บไซต์นั้น จะทำงาน ช้าลง หรือไม่ก็ถึงขนาดต้องปิดตัวเองลงตามไปด้วย เนื่องจากการตอบสนอง กับการร้องขอ ปริมาณมหาศาลไม่ได้

ไวรัสคอมพิวเตอร์

สำหรับไวรัสที่เป็นไวรัสจริง ๆ จะแตกต่างจากเวิร์ม ไวรัสคอมพิวเตอร์จะเหมือนกับไวรัส ที่ติดต่อระหว่างคน ซึ่งไวรัสคอมพิวเตอร์ก็จำเป็นต้องใช้พาหะในการติดต่อเช่นเดียวกันแล้วแต่ว่า ไวรัสตัวนั้นถูกโปรแกรมมาอย่างไร โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ไวรัสจะต้องมีจุดเริ่มต้นเสียก่อน ซึ่งอาจจะติดมากับไฟล์แอพพลิเคชัน หรือเอกสาร ตัวใด ตัวหนึ่ง หรือติดมาในบูตเชกเตอร์ของแผ่นดิสก์ จากนั้นเมื่อรันแอพพลิเคชั่นนั้น ขึ้นมา ไวรัสจะเริ่มทำงานทันที และสามารถติดต่อไปยังโปรแกรมหรือ เอกสารอื่นๆ ได้โดยใช้สื่อต่างๆ ผ่านทางฟลอปปี้ดิสก์และซีดีรอม การทำงานของไวรัสนั้นก็คือ จะก็อบปี้ตัวเอง ลงในหน่วย ความจำ จากนั้นเมื่อเปิดโปรแกรมใดก็ตาม โปรแกรมหรือ แอพพลิเคชั่นทุกตัว ที่รันหลังจากนั้นจะติดไวรัสด้วย ทั้งหมด เช่น

Stone ไวรัสตัวนี้ จะติดในบูตเชกเตอร์ จะทำให้ดิสก์ที่ติดไวรัสไม่สามารถใช้งานได้ ส่วนการทำลายล้าง นั้นไม่มากมายเท่าใดนัก

Friday 13th ถ้าติดไวรัสตัวนี่เข้าไปแล้ว ไฟล์ข้อมูลออาจจะใช้ไม่ได้ และมื่อถึงเวลาที่ไวรัสตั้งเอา ไว้เป็นเงื่อนไข คือ ศุกร์ 13 ไวรัสจะทำการฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ โดยไม่มีการเตือน ล่วงหน้า แต่สมัยนี้
้คงหมดยุคของศุกร์ 13 แล้ว เพราะ แพลตฟอร์มเครื่องที่ใช้ก็เปลี่ยนไปจากเดิม และถ้าหากจะมีการฟอร์แมต ฮาร์ดดิสก์ขึ้นมาจริงๆ ตัวซอร์ฟแวร์ป้องกันไวรัส หรือวินโดวส์ต่าง ก็สามารถเตือน ให้เราทราบก่อนเสมอ และเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆ ส่วนใหญจะมีระบบป้องกันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

โทรจัน ก็เป็นไวรัสอีกประเภทหนึ่งที่จัดว่า อันตรายเหมือนกันแต่ เป็นโปรแกรมที่มีหน้าที่
่ทำลายล้างโดยตรง โดยอาศัยผู้ใช้เองเป็นผู้เรียกขึ้นมาทำงาน เพราะเมื่อก่อน ระบบการออนไลน์จะเป็นการ ใช้งานลักษณะ บูเลตินบอร์ด ซึ่งมีทั้งโปรแกรมให้ดาวน์โหลดมาใช้งาน แต่หลังจากดาวน์โหลดมาแล้ว เรียกใช้งาน แทนที่โปรแกรมนั้นจะเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกที่เหมือนกับที่โฆษณาเอาไว้ กลับทำลายข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ภายในเครื่องแทน การแพร่ระบาดสำหรับโทรจันนั้น ส่วนมากจะสามารถควบคุมได้อย่างรวดเร็ว เพราะว่า เมื่อผุ้ทีติดไปแล้ว บูเลตินบอร์ดแห่งนั้นคงจะลบไฟล์นั้นออกไปเอง หรืออาจจะมีการส่งข้อความ เตือนผู้ใช้คนอื่น ได้อย่างทันท่วงที แต่นั่นเป็นเมื่อก่อนที่อินเทอร์เน็ตยังไม่มีบทบาทเหมือนกับปัจจุปันนี้ ซึ่งโทรจันจะถูกส่งต่อ กันทาง อีเมล์ โดยอ้างตัวว่าเป็นเครื่องมือต่างๆ นานา ตัวอย่างเช่น Navidad หรือ อ้างว่าเป็น โปรแกรมสำหรับช่วยงาน เพาเวอร์พอยนต์ และเป็นไดรเวอร์ IDE ใหม่ที่จะทำให้เครื่องทำงานเร็วขึ้น หากใครเปิดไฟล์ที่ได้รับขึ้นมา ก็มักจะใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ได้อีกเลย

ข้อสังเกตุก็คือ โทรจัน ที่ส่งมากับอีเมล์นั้นจะเป็นไฟล์ที่รันได้ (.exe.com.vbs) ซึ่งจะบอกประโยชน์ของการใช้งาน เอาไว้ แต่ขนาดของโปรแกรมที่จะสามารถทำงานแบบนั้นได้ เช่น โทรจัน มีขนาดเล็กเพียงไม่กี่กิโลไบต์เท่านั้น ซึ่งถ้าเปรียบเทียบไดรเวอร์หรือโปรแกรมอย่างที่โฆษณาไว้จริงๆ ก็ควรจะมีขนาดหลายร้อยกิโลไบต์หรือหลายเมกะไบต์ นั่นหมายความโปรแกรมที่ส่งมาคงจะเป็นโปรแกรมต่างๆ อย่างที่บอกมานั้นไม่ได้แน่นอน และถ้าใครไปเรียกใช้ขึ้นมา โทรจันก็จะทำงานทันที อย่างเช่น
Navidad นั้นจะทำให้ไม่สามารถเรียกใช้แอพพลิเคชันใดๆ ในเครื่อง ที่ยังมีนิสัยดีหน่อยคือทำได้อย่างที่โฆษณาเอาไว้ แต่สุดท้ายแล้วก็ย้อนกลับมาทำลายระบบเช่นกัน ดังนั้นอย่าไว้ใจไฟล์เอ็กซีคิวใดๆ ที่ส่งมาให้ทาง e-mail โดยเฉพาะอย่างยิ่งไฟล์ที่มีขนาดเล็กๆ และไฟล์ที่มีส่วนขยายมากกว่า 1 ชุด ( เช่น Annakournikoval.jpg .vbs)

มาโครไวรัส

จุดเริ่มต้นของมาโครไวรัสอยู่ที่ชุดไมโครซอฟท์ออฟฟิต เพราะว่า ออฟฟิตมีการพัฒนาให้สามารถใช้ VBA ได้นั่นเอง Melissa ทีโด่งดังมากอยู่ช่วงหนึ่งก็เป็นมาโครไวรัสเช่นกัน มาโครไวรัสค่อนข้างจะมีข้อจำกัดอยู่ที่ว่าจะทำงานได้เฉพาะในแอพพลิเคชันที่สนับสนุนชุดคำสั่งมาโครที่เขียนขึ้นมาเท่านั้น เช่น มาโครไวรัสที่เขียนขึ้นมาจากไมโครซอฟท์ออฟฟิตก็จะทำงานในไมโครซอฟท์ออฟฟิตเท่านั้น ซึ่งไม่ค่อยน่าจะอันตรายนัก แต่ปุจจุบันนี้เราใช้ซอฟต์แวร์ไมโครซอฟท์ออฟฟิตศจนกลายเป็นเรื่องปกติ เช่น เดียวกับที่เราใช้ไมโครซอฟท์เอาต์ลุกส์ในการรับเมลล์ ทำให้ไวรัสแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเอาต์ลุกส์ (และเอ้าท์ลุกส์ เอ็กเพรส) สามารถทำงานตามสคริปต์ต่างๆ ได้นั่นเอง และก็ใช่ว่าจะเป็นกับเฉพาะซอฟต์แวร์ 2 ตัวนี้เท่านั้นแต่กับอีเมลล์ไคลเอนต์ ตัวอื่นก็มีผลกะทบเช่นเดียวกันนอกจากมาโครไวรัสที่เขียนขึ้นจากออฟฟิศแล้ว ยังมีสคริปต์หรือโค้ดในรุปแบบต่างๆ อีกด้วย เช่นอาจจะมาในรูปแบบของแอ็กทีฟโค้ดแบบต่างๆ กัน ดังนั้นไม่จำเป็นว่าเราต้องใช้ออฟฟิศเท่านั้นจึงจะติดไวรัสแต่บรรดาแอ็กทีฟโค้ดเหล่านี้สามารถรันขึนมา ดังนั้นโอกาสที่จะติดไวรัสสำหรับผู้ที่เล่นอินเทอร์เน็ตก็เป็นเรื่องธรรมดาไปเลยทีเดียว การทำงานของมาโพโครไวรัส นั้นจะอ้างอิงจากความสามารถของภาษาสคริปต์ทีเขียนขึ้นมา อย่างเช่น VBA หรือ ActiveX ซึ่งถ้ามีความสามารถมากไวรัสก็สามารถทงานได้มากตามไปด้วย สำหรับ

Melissa นั้นออกระบาดในช่วงปลายปี 1999 โดยจะทำงานในไมโครซอฟท์เวิร์ด เมื่อมีการรันขึ้นมา Melissa จะ copy ตัวเองส่งต่อ ออกไปยังผู้รับในแอดเดรสบุ๊กได้ถึง 50 คน และเมื่อเป็นอย่างนี้ทำให้ Melissa สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว
I Love You เมื่อผุ้รับเปิดรันไฟล์ที่ส่งมาในอีเมล์ ไวรัสจะเริ่มทำงานทันที พร้อมทั้งส่งต่อให้ผู้อื่นต่อไป จากนั้นจะเริ่มลงมือทำลายเครื่องคอมพิวเตอร์ และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ทุกคนยังเข้าใจว่า มาโครไวรัสจะทำงาน ได้ก็ต่อเมื่อเราไปรันมันขึ้นมา และมันจะไม่สามารถทำงานได้เองอัตโนมัติ แต่หลังจากที่ BubbleBoy ออกอาละวาดทำให้ทุกคนเข้าใจทันทีว่าความจริงไม่ได้ เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเราได้รับอีเมล์ที่ติดไวรัส BubbleBoy มา เพียงแค่คลิกเลือกเมล์ หรือฟรีวิวอีเมล์นี้ในช่องพรีวิว โดยที่ผู้รับยังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่า อีเมล์ที่ได้รับมานั้น เขียนข้อความว่าอย่างไร ไวรัสก็สามารถทำงานได้แล้ว

วิธีป้องกัน

วิธีการป้องกันอย่างแรกคือ ควรจะหาซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสมาติดตั้งเอาไว้ในเครื่องสักตัว และไม่ควรใช้มากกว่า 1 ตัว เพราะจะสร้างปัญหาระหว่างกันก็เป็นได้ และ หลังจากนั้นก็ควรอัพเดดโปรแกรม บ่อยที่สุด ตามที่บริษัทผู้ผลิต มีการอัพเดดออกมา วิธีนี้จะช่วยให้ป้องกันให้ปลอดภัยจากไวรัสได้มากทีเดียว
สำหรับผุ้ที่ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นประจำ และใช้เอาต์ลุกเป็นซอฟแวร์รับเมล์ก็ไม่ควรจะรันไฟล์ เอ็กซีคิว หรือสคริปต ์ที่ส่งมา ให้แม้แต่จากคนที่รู้จักก็ตาม เพราะว่าบางครั้งคนนั้นไม่ได้เป็นผู้ส่ง แต่ไวรัสเป็นผู้ส่งอัตโนมัติ ถ้าหากเราเข้าใจว่าเพื่อนคนนั้นเป็นผู้ส่งจริงแล้วรันไวรัสขึ้นมา ไวรัสก็จะมีโอกาสติดในเครื่องได้เช่นกันด้วย และที่สำคัญ
อีกอย่างหนึงก็คือ สื่อใดก็ตามที่นำมาจากภายนอกล้วน แต่อาจจะนำพาไวรัสมาด้วยทั้งสิ้น จึงไม่ควรไว้ใจ
่ ควรตรวจสอบไวรัสก่อนเสมอ และควร รันซอฟแวร์ ป้องกันไวรัสค้างเอาไว้ด้วย ซึ่งไม่เจำเป็นต้อง เฉพาะแผ่นดิสก์เท่านั้น ยังรวมไปถึงแผ่น CD-Rom ,Jazz ,Zip ,Ls-120 หรือแม่แต่ Thumbdrive หรือสื่อเก็บข้อมูลอื่นๆ เพราะไวรัสสามารถติดกับข้อมูลได้ทุกแหล่งที่มันสามารถบันทึกตัวมันลงไปได้
ซอฟแวร์ที่ใช้ป้องกันไวรัสนั้นมีอยู่หลายตัวให้เลือก แต่ที่เห็นใช้กันมากๆ หน่อยคงจะเป็น Pc-cillin 200, Norton Antivirus 2001 และ Mcafee VirusScan


บันทึกการเข้า


หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!